
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559
"พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" ได้เปิดการเข้าชมเป็นกรณีพิเศษจากเดิม
โดยจะเปิดให้เข้าชมในระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2559 ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 15.00 น.
เขาให้ผู้สนใจสอบถามและจองรอบเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2559
ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-252-1965-7 และ 02-251-3999 ต่อ 230 ในวันจันทร์-ศุกร์ 09.00 – 16.00 น.
จากการติดตามข่าวหนูเล็กได้รับทราบว่าการนัดหมายเข้าชมตลอดเดือนสิงหาคม 2559 นี้เต็มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จริงๆ แล้ว หนูเล็กได้เคยเข้าชมแล้ว ที่มาเขียนรีวิวนี้ อยากนำเรื่องราวการเข้าชมครั้งนั้นมาเล่าสู่ให้ฟังค่ะ
เผื่อใครได้ผ่านมาอ่านอาจใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่า เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งควรจะไปเข้าชมสักครั้งหรือไม่
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559 เป็นวันที่ "พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" เปิดให้เข้าชมเป็นวันสุดท้าย
หลังจากเปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ฯ จะเปิดให้เข้าชมเช่นนี้เป็นประจำทุกปี
คือ ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคมถึงวันที่ 31 มีนาคม ทุกวันจันทร์ –วันเสาร์ (เว้นวันอาทิตย์) เวลา 10.00-15.00 น.
โดยมีกฎกติกามารยาทในการเข้าชมไม่กี่ข้อและทำได้ไม่ยากอะไร เช่น การโทรนัดหมายล่วงหน้าที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2252 1965-7
เพื่อจองรอบเข้าชม การแต่งกายชุดสุภาพ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ โดยเฉพาะผู้หญิงห้ามนุ่งกางเกง
และจะมีค่าธรรมเนียมการเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 150 บาท นักเรียน-นักศึกษา คนละ 50 บาท
จริงๆ แล้วพิพิธภัณฑ์ฯ เปิดให้บุคคลทั่วไปมาหลายปีแล้ว แต่หนูเล็กและพี่ใหญ่เพิ่งจะทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้
ดังนั้น ปีนี้จึงไม่ยอมพลาดโอกาสแสนพิเศษนี้กัน หนูเล็กจึงทำการจัดสรรวันว่าง
และโทรศัพท์นัดรอบการเข้าชมในรอบแรกของเช้าวันเสาร์ของเดือนมีนาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายโดยไม่รอช้า
เนื่องจากพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า อยู่ในบริเวณเดียวกันกับวังสระปทุม
ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
ดังนั้น การเข้าชมจึงกำหนดให้เข้าได้เฉพาะทางโรงแรมสยามเคมปินสกี้ทางเดียวเท่านั้น จุดสังเกตคืออยู่ใกล้ศาลปู่โสม
ถ้าจะอธิบายง่ายๆ คือ หากอยู่ที่บริเวณสยามสแควร์ ให้เดินตามถนนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสยามพารากอนกับสยามดิสคัฟเวอรี่
เดินตรงเข้าไปจนสุด สังเกตป้ายทางไปโรงแรมสยามเคมปินสกี้เท่านั้นเอง สักพักก็จะเห็นศาลปู่โสม
ทางซ้ายมือจะมีประตูทางเข้าเล็กๆ และป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ด้านหน้า หากเจอก็แสดงว่ามาถูกทางแล้ว

เมื่อไปถึงประตูทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่สอบถามชื่อเพราะเป็นการนัดหมาย
เจ้าหน้าที่จะทราบว่าในแต่ละรอบมีใครที่โทรศัพท์มานัดหมายบ้างและในแต่ละกลุ่มจะมีกี่คน
เมื่อตรวจเช็คเรียบร้อยก็จะให้เราเดินเข้าสู่ด้านในอาคารเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชม
หลังจากนั้นก็จะให้ไปถ่ายรูปเพื่อทำบัตรประจำตัวผู้เข้าชม
ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวที่เราจะการันตีได้ว่าเราได้มาชมพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพราะหลังจากนั้นเราจะต้องฝากกระเป๋าและข้าวของทุกอย่างไว้ในล็อกเกอร์
ห้ามถือเข้าไปด้านในระหว่างการเข้าชมโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะกล้องถ่ายรูปหรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ
เพราะภายในห้ามบันทึกภาพใดๆ โดยเด็ดขาด

ระหว่างการรอเวลาเข้าชมตามรอบและรอรับบัตรประจำตัว ใกล้ๆ กันนั้นจะมีห้องอาหาร "ปทุมสรัส"
ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศเรียบง่าย โปร่ง โล่ง ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพมาปรุงเมนูอาหารตำรับชาววังสระปทุมมาให้ลิ้มลองในราคาสบายกระเป๋า
โดยเฉพาะน้ำปทุมสุธา ที่มีส่วนผสมของผลฟักข้าว ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้านที่นอกจากอร่อยแล้วยังมีผลดีต่อสุขภาพ
ร้านนี้เราสามารถนั่งรับประทานอาหารเพื่อรอเวลาเข้าชมหรือกลับมารับประทานอาหารหลังจากเข้าชมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้

เมื่อได้เวลาและคณะที่จะเข้าชมในรอบนี้มากันพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเราเดินทะลุร้านปทุมสรัสออกไปอีกทางหนึ่ง
โดยจะนำไปสู่อาคารแรกสำหรับการเข้าชมเพื่อเป็นการแนะนำประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ก่อนที่จะไปชมยังตัวพระตำหนักใหญ่ที่เคยเป็นที่ประทับ
อาคารแรกคือ หอนิทรรศการ จะจัดฉายวีดีทัศน์สารคดีซึ่งประกอบไปด้วยพระราชประวัติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการการบูรณะซ่อมแซมพระตำหนักใหญ่วังสระปทุมหลังจากปล่อยให้ทิ้งร้างไปหลายปี

"วังสระปทุม" นั้น เริ่มมาจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริจะพระราชทานที่ดิน
บริเวณถนนปทุมวันหรือถนนพระรามที่ 1 ให้เป็นสถานที่สร้างวังของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
(ในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์)
พระราชโอรสซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
แต่เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จึงยังไม่มีการสร้างพระตำหนักขึ้นตราบกระทั่งรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานสิทธิ์ในที่ดินให้เป็นของพระบรมราชชนกในเวลาต่อมา
หลังจากการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 5สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จออกมาประทับภายนอกพระบรมมหาราชวัง
พระองค์โปรดฯ ที่ดินบริเวณนี้มาก ถึงแม้ว่าในขณะนั้นบริเวณปทุมวันถือว่าเป็นที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ
รวมทั้งการคมนาคมก็ลำบากมาก พระองค์ทรงเตรียมการปลูกพระตำหนักที่เรียกว่า "พระตำหนักใหญ่"
เพื่อจะเสด็จมาประทับอยู่เป็นการถาวร โดยพระองค์ทรงคิดผังพระตำหนักเอง
เนื่องจากทรงมีความรู้เรื่องทิศทางลมและฤดูกาลเป็นอย่างดีในระหว่างการก่อสร้างพระตำหนักใหญ่นั้น
พระองค์ได้เสด็จมาประทับ ณ พลับพลาไม้ริมคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราวบ่อยๆ
เมื่อพระตำหนักใหญ่สร้างเสร็จแล้ว สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จเข้าประทับ ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม
เป็นการถาวรตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2498
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งพระราชวงศ์และแห่งชาติ
ด้วยเป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ พ.ศ. 2459 ตราบจนเสด็จสวรรคต
และได้เป็นที่ประทับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในเวลาต่อมา จึงสมควรที่จะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ
แสดงพระราชกรณียกิจอันเป็นแบบอย่างอันดีงามแห่งการดำรงชีวิตที่อำนวยประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก
เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานวังสระปทุมให้เป็นที่ประทับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงระลึกถึงพระราชปรารภแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงทรงจัดการตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นสนองพระราชดำริ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระราชกรณียกิจแห่งสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2548
เพื่อดำเนินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวและจัดกิจกรรมต่างๆ สืบสานแนวพระราชดำริสืบมาจนถึงปัจจุบัน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม ในวันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551
หลังการชมพระราชประวัติและแนวทางการบูรณะวังสระปทุมให้กลับมาเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วนั้น
เจ้าหน้าที่จะให้ผู้เข้าชมเดินไปยัง "ตำหนักใหญ่" ได้เลย
ซึ่งที่ตำหนักใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับพร้อมจัดอุปกรณ์การเข้าชมให้คนละชุดจะเป็นหูฟังและกล่องเทปนำชม
ที่ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มตามหมายเลขห้องที่เข้าชมเพื่อรับฟังประวัติและคำอธิบายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
ที่อยู่ภายในห้องได้อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็จะมีเจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังเดินตามไปกับคณะผู้เข้าชม
เพื่อคอยอำนวยความสะดวกด้วย
ซึ่งพระตำหนักใหญ่ที่จัดแสดงนี้จะมีสองชั้น ผู้เข้าชมก็เดินไปตามหมายเลขจากชั้นล่างสู่ชั้นบน
และกลับมายังห้องนิทรรศการที่ห้องชั้นล่างเป็นห้องสุดท้าย
การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ฯ ณ พระตำหนักใหญ่ได้จัดห้องต่างๆ ไว้เป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่
ช่วงที่ 1 เป็นช่วงของการสร้างพระตำหนักแล้วเสร็จ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระราชบิดา)
เสด็จฯ กลับจากต่างประเทศมาประทับอยู่ โดยจัดแสดงในห้องพิธีและห้องรับแขก
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาพระราชทานน้ำสังข์ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส
ระหว่างสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งยังเป็น น.ส.สังวาลย์ ตะละภัฎ
ช่วงที่ 2 เป็นช่วงที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงเสกสมรสและมีพระราชธิดาแล้วหนึ่งพระองค์
ทรงพาครอบครัวเสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษมาประทับอยู่ที่วังสระปทุมอีกวาระหนึ่ง สิ่งของเครื่องใช้จะจัดแสดงในห้องเทา
และห้องทรงพระอักษร ซึ่งอยู่ชั้นสอง
บริเวณที่มีเหตุการณ์อันเป็นมงคลยิ่งแก่ประวัติศาสตร์ชาติไทยคือบริเวณ "เฉลียงพระตำหนักใหญ่ชั้นบน"
ซึ่งเป็นบริเวณที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดที่จะใช้เป็นที่ประทับในช่วงปลายพระชนม์ชีพ
จะอยู่ตรงเฉลียงชั้นบนหน้าห้องบรรทมซึ่งปัจจุบันจัดเป็นห้องนมัสการ เมื่อตื่นบรรทมและประทับที่บริเวณนี้ตลอดทั้งวัน
รวมทั้งเสวยพระกระยาหารด้วย และบริเวณนี้เองเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ
ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือ ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ช่วงที่ 3 จัดแสดงในห้องทรงพระสำราญ ห้องทรงนมัสการ และห้องพระบรรทม เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมขุนสงขลานครินทร์มีพระราชโอรสเพิ่มขึ้นอีก 2 พระองค์ และทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์
เสด็จฯ กลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมครอบครัว
ทุกห้องที่พี่ใหญ่และหนูเล็กเข้าชมล้วนงดงามเกินบรรยาย ข้าวของเครื่องใช้ ภาพถ่าย ที่จัดแสดงไว้สะท้อนให้เห็นถึงพระจริยาวัตร
อันงดงามของทุกพระองค์ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ได้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวถ่ายทอดผ่านสิ่งต่างๆ
ที่แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด และที่ประทับใจหนูเล็กมากที่สุดนั้น คงเป็นสิ่งที่จัดแสดงไว้ที่ห้องนิทรรศการห้องสุดท้าย
นั่นคือ พระราชหัตถเลขาที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ทรงเขียนถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ ตลอดจนการได้พบกับผู้หญิงอันเป็นที่รักอย่างสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี
และมีพระประสงค์ที่จะขอพระราชทานพระอนุญาตให้อภิเษกสมรสกัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพัน ภายในครอบครัว
ระหว่างแม่กับลูกที่เป็นไปอย่างใกล้ชิด เมื่อได้อ่านทุกตัวหนังสืออดมีน้ำตารื้นๆ ไม่ได้

ระหว่างที่หนูเล็กเดินกลับออกมาจากการเยี่ยมชมพระตำหนักใหญ่ หัวใจรู้สึกพองโตคับอก
ความรู้สึกถึงสำนึกความเป็นชาติและความรักในแผ่นดินเกิดมีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ หนูเล็กไม่แปลกใจเลยว่า
เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยของเรา จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในใจคนไทยทั้งประเทศ
พระองค์ท่านทรงเติบโตมาจากครอบครัวที่แสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักเช่นนี้เอง
จึงทำให้พระองค์มีพระหทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและพร้อมที่จะเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง
เป็นบุญนักแล้วที่หนูเล็กได้เกิดมาเป็นข้ารองพระบาทในชาตินี้และหากชาติหน้ามีจริงก็ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
[CR] เลาะรั้วชมวังสระปทุม วันดีๆ ที่ไม่ควรพลาด
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559
"พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" ได้เปิดการเข้าชมเป็นกรณีพิเศษจากเดิม
โดยจะเปิดให้เข้าชมในระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2559 ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 15.00 น.
เขาให้ผู้สนใจสอบถามและจองรอบเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2559
ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-252-1965-7 และ 02-251-3999 ต่อ 230 ในวันจันทร์-ศุกร์ 09.00 – 16.00 น.
จากการติดตามข่าวหนูเล็กได้รับทราบว่าการนัดหมายเข้าชมตลอดเดือนสิงหาคม 2559 นี้เต็มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จริงๆ แล้ว หนูเล็กได้เคยเข้าชมแล้ว ที่มาเขียนรีวิวนี้ อยากนำเรื่องราวการเข้าชมครั้งนั้นมาเล่าสู่ให้ฟังค่ะ
เผื่อใครได้ผ่านมาอ่านอาจใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่า เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งควรจะไปเข้าชมสักครั้งหรือไม่
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559 เป็นวันที่ "พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า" เปิดให้เข้าชมเป็นวันสุดท้าย
หลังจากเปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ฯ จะเปิดให้เข้าชมเช่นนี้เป็นประจำทุกปี
คือ ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคมถึงวันที่ 31 มีนาคม ทุกวันจันทร์ –วันเสาร์ (เว้นวันอาทิตย์) เวลา 10.00-15.00 น.
โดยมีกฎกติกามารยาทในการเข้าชมไม่กี่ข้อและทำได้ไม่ยากอะไร เช่น การโทรนัดหมายล่วงหน้าที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2252 1965-7
เพื่อจองรอบเข้าชม การแต่งกายชุดสุภาพ ห้ามใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ โดยเฉพาะผู้หญิงห้ามนุ่งกางเกง
และจะมีค่าธรรมเนียมการเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 150 บาท นักเรียน-นักศึกษา คนละ 50 บาท
จริงๆ แล้วพิพิธภัณฑ์ฯ เปิดให้บุคคลทั่วไปมาหลายปีแล้ว แต่หนูเล็กและพี่ใหญ่เพิ่งจะทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้
ดังนั้น ปีนี้จึงไม่ยอมพลาดโอกาสแสนพิเศษนี้กัน หนูเล็กจึงทำการจัดสรรวันว่าง
และโทรศัพท์นัดรอบการเข้าชมในรอบแรกของเช้าวันเสาร์ของเดือนมีนาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายโดยไม่รอช้า
เนื่องจากพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า อยู่ในบริเวณเดียวกันกับวังสระปทุม
ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
ดังนั้น การเข้าชมจึงกำหนดให้เข้าได้เฉพาะทางโรงแรมสยามเคมปินสกี้ทางเดียวเท่านั้น จุดสังเกตคืออยู่ใกล้ศาลปู่โสม
ถ้าจะอธิบายง่ายๆ คือ หากอยู่ที่บริเวณสยามสแควร์ ให้เดินตามถนนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสยามพารากอนกับสยามดิสคัฟเวอรี่
เดินตรงเข้าไปจนสุด สังเกตป้ายทางไปโรงแรมสยามเคมปินสกี้เท่านั้นเอง สักพักก็จะเห็นศาลปู่โสม
ทางซ้ายมือจะมีประตูทางเข้าเล็กๆ และป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ด้านหน้า หากเจอก็แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
เมื่อไปถึงประตูทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่สอบถามชื่อเพราะเป็นการนัดหมาย
เจ้าหน้าที่จะทราบว่าในแต่ละรอบมีใครที่โทรศัพท์มานัดหมายบ้างและในแต่ละกลุ่มจะมีกี่คน
เมื่อตรวจเช็คเรียบร้อยก็จะให้เราเดินเข้าสู่ด้านในอาคารเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชม
หลังจากนั้นก็จะให้ไปถ่ายรูปเพื่อทำบัตรประจำตัวผู้เข้าชม
ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นของที่ระลึกเพียงสิ่งเดียวที่เราจะการันตีได้ว่าเราได้มาชมพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพราะหลังจากนั้นเราจะต้องฝากกระเป๋าและข้าวของทุกอย่างไว้ในล็อกเกอร์
ห้ามถือเข้าไปด้านในระหว่างการเข้าชมโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะกล้องถ่ายรูปหรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ
เพราะภายในห้ามบันทึกภาพใดๆ โดยเด็ดขาด
ระหว่างการรอเวลาเข้าชมตามรอบและรอรับบัตรประจำตัว ใกล้ๆ กันนั้นจะมีห้องอาหาร "ปทุมสรัส"
ร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศเรียบง่าย โปร่ง โล่ง ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพมาปรุงเมนูอาหารตำรับชาววังสระปทุมมาให้ลิ้มลองในราคาสบายกระเป๋า
โดยเฉพาะน้ำปทุมสุธา ที่มีส่วนผสมของผลฟักข้าว ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้านที่นอกจากอร่อยแล้วยังมีผลดีต่อสุขภาพ
ร้านนี้เราสามารถนั่งรับประทานอาหารเพื่อรอเวลาเข้าชมหรือกลับมารับประทานอาหารหลังจากเข้าชมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้
เมื่อได้เวลาและคณะที่จะเข้าชมในรอบนี้มากันพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเราเดินทะลุร้านปทุมสรัสออกไปอีกทางหนึ่ง
โดยจะนำไปสู่อาคารแรกสำหรับการเข้าชมเพื่อเป็นการแนะนำประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ก่อนที่จะไปชมยังตัวพระตำหนักใหญ่ที่เคยเป็นที่ประทับ
อาคารแรกคือ หอนิทรรศการ จะจัดฉายวีดีทัศน์สารคดีซึ่งประกอบไปด้วยพระราชประวัติสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการการบูรณะซ่อมแซมพระตำหนักใหญ่วังสระปทุมหลังจากปล่อยให้ทิ้งร้างไปหลายปี
"วังสระปทุม" นั้น เริ่มมาจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริจะพระราชทานที่ดิน
บริเวณถนนปทุมวันหรือถนนพระรามที่ 1 ให้เป็นสถานที่สร้างวังของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
(ในขณะนั้นดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์)
พระราชโอรสซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
แต่เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา จึงยังไม่มีการสร้างพระตำหนักขึ้นตราบกระทั่งรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานสิทธิ์ในที่ดินให้เป็นของพระบรมราชชนกในเวลาต่อมา
หลังจากการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 5สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จออกมาประทับภายนอกพระบรมมหาราชวัง
พระองค์โปรดฯ ที่ดินบริเวณนี้มาก ถึงแม้ว่าในขณะนั้นบริเวณปทุมวันถือว่าเป็นที่ดินที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ
รวมทั้งการคมนาคมก็ลำบากมาก พระองค์ทรงเตรียมการปลูกพระตำหนักที่เรียกว่า "พระตำหนักใหญ่"
เพื่อจะเสด็จมาประทับอยู่เป็นการถาวร โดยพระองค์ทรงคิดผังพระตำหนักเอง
เนื่องจากทรงมีความรู้เรื่องทิศทางลมและฤดูกาลเป็นอย่างดีในระหว่างการก่อสร้างพระตำหนักใหญ่นั้น
พระองค์ได้เสด็จมาประทับ ณ พลับพลาไม้ริมคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราวบ่อยๆ
เมื่อพระตำหนักใหญ่สร้างเสร็จแล้ว สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้เสด็จเข้าประทับ ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม
เป็นการถาวรตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2498
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งพระราชวงศ์และแห่งชาติ
ด้วยเป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตั้งแต่ พ.ศ. 2459 ตราบจนเสด็จสวรรคต
และได้เป็นที่ประทับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในเวลาต่อมา จึงสมควรที่จะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ
แสดงพระราชกรณียกิจอันเป็นแบบอย่างอันดีงามแห่งการดำรงชีวิตที่อำนวยประโยชน์สุขแก่คนหมู่มาก
เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานวังสระปทุมให้เป็นที่ประทับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงระลึกถึงพระราชปรารภแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงทรงจัดการตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นสนองพระราชดำริ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระราชกรณียกิจแห่งสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
และโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2548
เพื่อดำเนินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวและจัดกิจกรรมต่างๆ สืบสานแนวพระราชดำริสืบมาจนถึงปัจจุบัน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการเปิดพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
ณ พระตำหนักใหญ่ วังสระปทุม ในวันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551
หลังการชมพระราชประวัติและแนวทางการบูรณะวังสระปทุมให้กลับมาเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วนั้น
เจ้าหน้าที่จะให้ผู้เข้าชมเดินไปยัง "ตำหนักใหญ่" ได้เลย
ซึ่งที่ตำหนักใหญ่จะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับพร้อมจัดอุปกรณ์การเข้าชมให้คนละชุดจะเป็นหูฟังและกล่องเทปนำชม
ที่ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มตามหมายเลขห้องที่เข้าชมเพื่อรับฟังประวัติและคำอธิบายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
ที่อยู่ภายในห้องได้อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็จะมีเจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังเดินตามไปกับคณะผู้เข้าชม
เพื่อคอยอำนวยความสะดวกด้วย
ซึ่งพระตำหนักใหญ่ที่จัดแสดงนี้จะมีสองชั้น ผู้เข้าชมก็เดินไปตามหมายเลขจากชั้นล่างสู่ชั้นบน
และกลับมายังห้องนิทรรศการที่ห้องชั้นล่างเป็นห้องสุดท้าย
การจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ฯ ณ พระตำหนักใหญ่ได้จัดห้องต่างๆ ไว้เป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่
ช่วงที่ 1 เป็นช่วงของการสร้างพระตำหนักแล้วเสร็จ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระราชบิดา)
เสด็จฯ กลับจากต่างประเทศมาประทับอยู่ โดยจัดแสดงในห้องพิธีและห้องรับแขก
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาพระราชทานน้ำสังข์ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส
ระหว่างสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งยังเป็น น.ส.สังวาลย์ ตะละภัฎ
ช่วงที่ 2 เป็นช่วงที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงเสกสมรสและมีพระราชธิดาแล้วหนึ่งพระองค์
ทรงพาครอบครัวเสด็จฯ กลับจากประเทศอังกฤษมาประทับอยู่ที่วังสระปทุมอีกวาระหนึ่ง สิ่งของเครื่องใช้จะจัดแสดงในห้องเทา
และห้องทรงพระอักษร ซึ่งอยู่ชั้นสอง
บริเวณที่มีเหตุการณ์อันเป็นมงคลยิ่งแก่ประวัติศาสตร์ชาติไทยคือบริเวณ "เฉลียงพระตำหนักใหญ่ชั้นบน"
ซึ่งเป็นบริเวณที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดที่จะใช้เป็นที่ประทับในช่วงปลายพระชนม์ชีพ
จะอยู่ตรงเฉลียงชั้นบนหน้าห้องบรรทมซึ่งปัจจุบันจัดเป็นห้องนมัสการ เมื่อตื่นบรรทมและประทับที่บริเวณนี้ตลอดทั้งวัน
รวมทั้งเสวยพระกระยาหารด้วย และบริเวณนี้เองเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ
ของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือ ทรงเป็นประธานในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ช่วงที่ 3 จัดแสดงในห้องทรงพระสำราญ ห้องทรงนมัสการ และห้องพระบรรทม เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมขุนสงขลานครินทร์มีพระราชโอรสเพิ่มขึ้นอีก 2 พระองค์ และทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์
เสด็จฯ กลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมครอบครัว
ทุกห้องที่พี่ใหญ่และหนูเล็กเข้าชมล้วนงดงามเกินบรรยาย ข้าวของเครื่องใช้ ภาพถ่าย ที่จัดแสดงไว้สะท้อนให้เห็นถึงพระจริยาวัตร
อันงดงามของทุกพระองค์ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ได้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวถ่ายทอดผ่านสิ่งต่างๆ
ที่แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด และที่ประทับใจหนูเล็กมากที่สุดนั้น คงเป็นสิ่งที่จัดแสดงไว้ที่ห้องนิทรรศการห้องสุดท้าย
นั่นคือ พระราชหัตถเลขาที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ทรงเขียนถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
บอกเล่าถึงความเป็นอยู่ ตลอดจนการได้พบกับผู้หญิงอันเป็นที่รักอย่างสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี
และมีพระประสงค์ที่จะขอพระราชทานพระอนุญาตให้อภิเษกสมรสกัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความผูกพัน ภายในครอบครัว
ระหว่างแม่กับลูกที่เป็นไปอย่างใกล้ชิด เมื่อได้อ่านทุกตัวหนังสืออดมีน้ำตารื้นๆ ไม่ได้
ระหว่างที่หนูเล็กเดินกลับออกมาจากการเยี่ยมชมพระตำหนักใหญ่ หัวใจรู้สึกพองโตคับอก
ความรู้สึกถึงสำนึกความเป็นชาติและความรักในแผ่นดินเกิดมีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ หนูเล็กไม่แปลกใจเลยว่า
เพราะเหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยของเรา จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในใจคนไทยทั้งประเทศ
พระองค์ท่านทรงเติบโตมาจากครอบครัวที่แสนอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรักเช่นนี้เอง
จึงทำให้พระองค์มีพระหทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและพร้อมที่จะเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง
เป็นบุญนักแล้วที่หนูเล็กได้เกิดมาเป็นข้ารองพระบาทในชาตินี้และหากชาติหน้ามีจริงก็ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น