บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๑๑)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณน้ำแข็งเกล็ด, คุณ Lady Star 919, จารย์จี GTW, น้องนุ้ย ณวลี, คุณเขมปัณณ์ แมวอ้วนตัวนั้น ชื่อO-iamBear, คุณ วราภรณ์ pink, คุณ กลูตาเมท, พาราพัฒน์, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง, จารย์จี GTW, คุณสายป่านสีชมพู, คุณซูซี่ Susisiri, คุณเกียรติ96517 (เพิ่งเห็นจากบทก่อนๆ ค่ะ), คุณ sixty-half, คุณ แอม วิเชียรฉาย

ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑  http://pantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓  http://pantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔  http://pantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕  http://pantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖  http://pantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗  http://pantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘  http://pantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙  http://pantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://pantip.com/topic/35411784


บทที่ ๑๑



    “คุณแม่ของผมจะไปด้วย คุณสร้อยไม่ต้องเป็นห่วงไอรีนหรอกนะครับ”

    สร้อยมองชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพียงแค่เขาบอกว่าจะพาลูกเลี้ยงไปพบมารดาชาวอังกฤษของเธอที่หัวหิน นั่นก็แปลกประหลาดมหัศจรรย์เพียงพออยู่แล้ว ใครจะคิดไปถึงว่าเขาจะตามหาแหม่มมาร์กาเร็ตจนพบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังจัดการให้ผู้หญิงคนนั้นเดินทางจากสิงคโปร์มากรุงสยาม ติดต่อหาที่พักให้อย่างเรียบร้อยอีกด้วย แม้เขาจะบอกว่า

    “มิสเตอร์ เอ็ดเวิร์ด รัทริชจ์ สามีของแหม่มตั้งใจอยู่นานแล้วครับ ว่าจะมาดูลู่ทางขยายการค้าของเขามาที่นี่”

    “คุณพระเจอตัวแหม่มมาร์กาเร็ตได้อย่างไรคะ” เมื่อสงสัยก็ต้องถาม

    “ผมถามไปที่สถานทูตอังกฤษครับ แรกเลยก็คิดว่าที่นั่นต้องรู้อะไรบ้าง จนได้ที่อยู่ของ มิสเตอร์ สเปนเซอร์ พ่อของแหม่ม ติดต่อเขาไป จนได้ที่อยู่ของแหม่มที่สิงคโปร์”

    สร้อยจำผู้หญิงคนนั้นได้ดี จำใบหน้าสวยเก๋ ผมสีทองเส้นละเอียด ผิวขาวนวลเนียนราวงาช้าง นัยน์ตาแจ่มใส…สีเหมือนท้องฟ้ายามปราศจากเมฆหมอก ผู้หญิงต่างชาติต่างภาษาคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเงียบเชียบ แล้วก็จากไปในลักษณะเดียวกัน ทิ้งไว้ก็แต่ลูกสาวตัวน้อยนิดซึ่งเพิ่งเริ่มเดินเตาะแตะ ยังจำวันที่หล่อนจำใจต้องทิ้งลูกไปได้ดี ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนจนอายุเข้ากลางคนแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นใครร้องไห้ราวจะขาดใจตายได้ขนาดนั้นมาก่อน คราวนั้นยังอดเห็นอกเห็นใจไม่ได้ในฐานที่เป็นแม่ด้วยกัน

    “แหม่มอยู่สิงคโปร์นานแล้วรึคะ”

    “สองปีแล้วกระมังครับ”

    “ยุ่งยากกับคุณพระแท้ๆ”

    ริมฝีปากได้รูปของ ‘คุณพระ’ เหยียดยิ้ม

    “ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอกครับ ผมคิดว่าไอรีนคงอยากพบแม่ ถ้าไม่มีใครตามหาให้ ก็คงไม่ได้พบกัน”

    แน่แล้ว…การที่คุณพระหนุ่มทุ่มเทถึงขั้นตามหามารดาของสาวน้อยให้โดยไม่มีใครขอร้องแบบนี้ เขาจะทำเพื่ออะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อชนะใจหญิงสาว ไม่เพียงแต่ตามหาตัวผู้หญิงคนนั้นจนพบเท่านั้น ยังจัดการให้หล่อนได้เดินทางมาพบลูก แล้วนี่ยังจะพาแม่ของตัวเองให้ไปรู้จักอีกด้วย ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้พบกัน แม้เขาจะอ้างว่าเพื่อกันมิให้เกิดการครหาได้ถ้าจะไปหัวหินพร้อมสาวน้อยตามลำพังก็เถอะ

    แรกๆ ที่นายพันโทหนุ่มเข้ามาพัวพันกับไอรีน ไม่ว่าด้วยการรับเป็นผู้ปกครอง จ่ายค่าเล่าเรียน ค่าอยู่ประจำให้ทั้งหมด หรือแม้แต่รับเป็นผู้ใหญ่ให้สบโชค สร้อยคิดว่าเป็นเพียงความพึงพอใจฉาบฉวย ค่อนข้างมั่นใจว่าความสนใจนั้นจะเป็นไปในลักษณะที่ต้องการเอาไปเป็นเมียเก็บ หรืออย่างดีก็เมียรอง ผู้ชายวัยกำลังหนุ่มฉกรรจ์ มีฐานะและชาติตระกูลดีขนาดนั้น ตำแหน่งหน้าที่การงานก็กำลังก้าวหน้า ยศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าคนรุ่นเดียวกัน คนที่จะมาเป็นภรรยาแต่งก็ต้องเป็นหญิงสาวซึ่งเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ ไม่ใช่เด็กสาววัยเพียงสิบเจ็ดปี เพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนมัธยม แม้จะมีบิดาเป็นคุณพระ แต่ก็มิใช่ลูกซึ่งเกิดจากภรรยาเอก ไหนเลยจะสู้ผู้หญิงซึ่งมีวัยไม่ห่างกันมากนัก เป็นผู้หญิงที่ผ่านการอบรมเรื่องกิริยามารยาท การเข้าสังคม และการครองเรือนมาแล้วเป็นอย่างดี และที่สำคัญ…มาจากครอบครัวในระดับเดียวกัน ผู้หญิงลักษณะนั้นมีให้เลือกมากมาย ยิ่งเป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างพระรามรณรงค์ด้วยแล้ว มีหรือผู้หญิงที่ไหนจะเกี่ยงงอน

    แม้ก่อนนี้สร้อยจะเคยขวางหูขวางตาลูกเลี้ยงอยู่บ้างในฐานะที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง แต่ระยะสองเดือนที่ผ่านมา นับแต่สาวน้อยเรียนจบและกลับมาอยู่บ้าน เธอเป็นคนเดียวที่เฝ้าดูแลเอาใจใส่หล่อนอย่างไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่อาบน้ำเช็ดตัว คอยดูแลให้กินข้าวกินน้ำตามเวลา คอยต้มยา จัดยาให้ และไม่ว่าหล่อนนึกอยากอะไร เธอจะไปเสาะแสวงหามาทำให้กินจนได้ทุกครั้ง เพลาใดที่นอนไม่หลับ ก็เอาหนังสือมานั่งอ่านให้ฟังได้จนดึกจนดื่น

    ในส่วนลึก หล่อนสังหรณ์ใจด้วยว่าอาจเป็นได้ที่แหม่มมาร์กาเร็ตมากรุงสยามเพื่อรับตัวลูกสาวไปอยู่ด้วย คราใดที่คิดเช่นนั้น ก็ให้ใจหายได้ทุกที ในเมื่อเวลานี้ จะว่าไปแล้ว หล่อนก็เหมือนไม่เหลือใครอีกเลย ลูกชายแม้จะยังอยู่ใกล้ตัว แต่ก็มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ กลับบ้านมืดค่ำเสมอ ไหนเลยจะมีเวลามาใกล้ชิดแม่เหมือนเช่นลูกสาว

    ลูกสะใภ้นั้นแรกๆ ก็ยอมอยู่บ้านหลังนี้ดีอยู่หรอก ตกลงกันแล้วว่าจะใช้ที่นี่เป็นเรือนหอ แต่มิช้ามินานก็ได้ข่าวว่าเถ้าแก่หลีผู้เป็นพ่อสร้างเรือนหลังใหม่ให้ในบริเวณบ้านที่ราชวงศ์ และนับแต่เรือนหลังนั้นเริ่มลงหลักปักเสา หล่อนก็แทบกลับไปอยู่กับพ่อแม่เลยทีเดียว ในขณะที่สบโชคยังคงกลับจากงานมานอนบ้าน จึงดูเหมือนทั้งคู่แยกกันอยู่กลายๆ จนสร้อยเองเริ่มสงสัยว่ามันเรื่องอะไรกัน

    เมื่อถามเข้าทีไร ลูกชายจะบอกเพียงว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมียเคยชินกับความสะดวกสบาย บ้านนั้นมีบ่าวไพร่คอยรับใช้พร้อมพรั่ง ผิดกับที่นี่ บ่าวของที่นี่มีเหลืออยู่ก็เพียงนางไวและอ่อน เมื่อไม่มีคนคอยดูแลทำความสะอาดเช่นก่อน ทั้งตัวเรือนและรอบบ้านก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม ทั้งรกร้าง งานบ้านต้องช่วยกันทำ

    จนในที่สุดก็มีเหลือแต่ไอรีนคนเดียวเท่านั้นที่พอพึ่งพาอาศัยได้

    เรื่องที่ทำให้หนักใจที่สุดคงไม่มีอะไรเกินเรื่องของลูกชาย นานวันเข้าก็สังเกตเห็นว่าความแตกแยกระหว่างสบโชคและภรรยารุนแรงขึ้นทุกที ทั้งที่เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นาน แม่ปรางนั้นหลังจากที่พี่ชายออกเดินทางไปยุโรป ก็ไม่เคยมาที่บ้านนี้อีกเลย

    สร้อยพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่อยู่นานจนอดรนทนต่อไปไม่ไหว สงสัยมาแต่แรกแล้วว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกิดขึ้นและดำเนินไปรวดเร็วจนผิดปกติ พอเอ่ยปากถาม สบโชคก็ยอมสารภาพแต่โดยดี

    “ปรางไปมาหาสู่ผมตั้งแต่ผมอยู่อยุธยาแล้วครับคุณแม่”

    ว่าแล้วไหมเล่า…สร้อยไม่เคยปะติดปะต่อเรื่องไปไกลถึงขั้นนั้น เถ้าแก่หลีมีโรงสีอยู่ที่อยุธยา และแม่ปรางก็อยู่ที่นั่น เมื่อเพื่อนของพี่ชายไปประจำการณ์อยู่ในค่ายทหารใกล้ๆ ไหนเลยจะไม่มีโอกาสพบกัน พอสบโชคย้ายมาอยู่พระนคร มิช้ามินานหญิงสาวก็ตามมา

    “โชคไปทำอะไรลูกสาวเขาอย่างนั้นใช่ไหม” หลังจากไต่ถามอ้อมไปอ้อมมาอยู่พักใหญ่ หล่อนก็เข้าจุดที่สงสัยได้ในที่สุด

    นายร้อยตรีหนุ่มเงียบไปถนัดใจ นานทีเดียวกว่าจะหลุดปากออกมาได้

    “ครับ…คุณแม่ ปรางกำลังตั้งท้อง”

    เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะมองเห็นว่าชีวิตคู่ของลูกชายจะเป็นเช่นไร ได้แต่หวังว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะมีสติเพียงพอที่จะประคับประคองครอบครัวของตัวไปได้จนตลอดรอดฝั่ง อย่างน้อยๆก็เพื่อลูกซึ่งกำลังจะเกิดมา

    “ถ้าแม่แข็งแรงกว่านี้ แม่คงไปเยี่ยมแม่ปรางได้บ้างหรอก”

    “คุณแม่อย่าห่วงเรื่องนั้นเลยครับ ปรางควรเป็นฝ่ายมาดูคุณแม่บ้าง”

    “คนกำลังท้องกำลังไส้” หล่อนพยายามประนีประนอม

    สบโชคส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ลุกหนีไปเสีย ทำให้คนเป็นแม่รู้ว่าลูกชายซึ่งปกติก็ไม่ช่างพูดช่างคุยอยู่แล้วคิดอย่างไร นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้ยกเรื่องนั้นขึ้นมาเอ่ยถึงอีก

    ยิ่งแก่ตัวลง สร้อยก็ยิ่งเข้าใจความว้าเหว่ ความต้องการให้มีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีโรคร้ายคุกคามอยู่เช่นนี้ ไอรีนกลายเป็นคนใกล้ชิดคนเดียวที่เหลืออยู่ ยามใดที่หล่อนต้องการใครให้มาคอยฟังหล่อนพร่ำบ่น ก็ได้สาวน้อยนั่นแหละ…คนเดียวเท่านั้นจริงๆ…ที่นั่งฟังอยู่ได้เป็นนานสองนาน

ความคิดของหล่อนเกี่ยวกับอนาคตของลูกเลี้ยงจึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยคิดว่าสาวน้อยไม่ควรได้ดีเกินหน้าลูกจริงๆ ของตัวเอง บัดนี้เธอเป็น ‘ลูก’ เพียงคนเดียวที่หล่อนอยากเห็นได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นแล้วถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของลูกสาว และสภาพชีวิตครอบครัวที่เริ่มง่อนแง่นของลูกชาย

    “แหม่มจะไม่มาบางกอกหรอกรึคะ” อดคิดไม่ได้ว่าบางทีมาร์กาเร็ตอาจไม่อยากมาเห็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำร้ายจิตใจหล่อนอย่างรุนแรง

    “ตอนนี้แหม่มคงยังไม่มาบางกอกครับ ผมแนะนำให้ไปพบกันที่หัวหินก่อน มิสเตอร์ รัทริชจ์ ก็ชอบอกชอบใจ บอกว่าอยากเห็นหัวหินมานานแล้ว หลังจากนั้นแหม่มคงมาบางกอกบ้างกระมัง”

    “คุณหญิงเก่งนะคะ นั่งรถยนต์ไปไหนได้ไกลๆ”

    รามยิ้ม “คุณแม่ชอบเที่ยวครับ ท่านไปพระบาทหกครั้งแล้ว เวลาไปแต่ละครั้ง ต้องนั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ แล้วนั่งเกวียนไปอีกทอด แต่คุณแม่ก็ยังอยากไปอีก จะให้ครบเจ็ดครั้งให้ได้ หัวหินก็ไปบ่อย มีบ้านพักที่คุณพ่อสร้างไว้ที่นั่นหลังหนึ่งครับ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่