บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๓๓)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ สมาชิกหมายเลข 1399661, คุณดาว Lady Star 919, คุณ เปรียว sixtyone, คุณ ริมแม่โขง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, จารย์จี GTW, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ สมาชิกหมายเลข 3406650
ขอบคุณสำหรับทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ ๒๐ http://pantip.com/topic/35490729
บทที่ ๒๑ http://pantip.com/topic/35500221
บทที่ ๒๒ http://pantip.com/topic/35507830
บทที่ ๒๓  http://pantip.com/topic/35514634
บทที่ ๒๔ http://pantip.com/topic/35524338
บทที่ ๒๕ http://pantip.com/topic/35533699
บทที่ ๒๖ http://pantip.com/topic/35542378
บทที่ ๒๗ http://pantip.com/topic/35546044
บทที่ ๒๘ http://pantip.com/topic/35552335
บทที่ ๒๙ http://pantip.com/topic/35559158
บทที่ ๓๐ http://pantip.com/topic/35566013
บทที่ ๓๑ http://pantip.com/topic/35572936

บทนี้มีสะเทือนใจนิดหน่อยนะคะ ความจริงก็สะเทือนใจมากแหละค่ะ เป็นเหตุการณ์ที่เป็นที่มาของส่วนหนึ่งในบทนำค่ะ


บทที่ ๓๓



    "เป็นอะไรหรือ ไอรีน"

    หญิงสาวลืมตาเมื่อได้ยินเสียงทุ้มๆ ที่คุ้นหู ยิ้มให้อย่างอ่อนระโหยพอเห็นว่าเป็นใคร

    “เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะพี่ประพันธ์ นั่งสักครู่ก็คงหาย ไม่ได้คุยกับพี่เลย คนมากเหลือเกิน”

    หญิงสาวตั้งใจจะขยับที่บนม้านั่งตัวสั้นๆ ใต้ซุ้มอินทนิลนั้นให้ แต่แล้วก็ลังเล บริเวณนี้ค่อนข้างมืด เป็นซุ้มซึ่งปลูกไม้เลื้อยไว้เพื่อบังตาบริเวณด้านข้างของตัวตึกและเรือนบ่าวซึ่งตั้งเยื้องไปทางด้านหลัง เมื่ออินทนิลขึ้นดกหนา จึงให้ร่มเงาเพียงพอที่จะเอาม้าไม้มาวางไว้เป็นที่นั่งเล่น แม้ว่าไปแล้วในเวลากลางวันที่นี่ไม่ใช่ที่รโหฐานเสียทีเดียว หากเวลานี้รอบตัวค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจากราวไฟหน้าบ้านซึ่งส่องเลยมาบริเวณนี้บ้างก็น้อยเต็มที จึงทำให้ดูเหมือนลับตาผู้คน เลยไปไม่ไกลเป็นทางผ่านไปมาของเด็กชายสามคนซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ลำเลียงจานชามใช้แล้วจากหน้าบ้านไปล้างในเรือนครัว และขนที่ล้างสะอาดแล้วมาเพิ่มบนโต๊ะอาหารถ้าเห็นว่าจำเป็น

    นายร้อยตรีหนุ่มจึงยังคงยืนอยู่เช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายไม่ออกปากเชิญ ก็ไม่กล้าถือวิสาสะลงนั่งเคียงข้าง เกรงว่าถ้ามีใครมาเห็นเข้าอาจเป็นที่เสื่อมเสียของคุณหญิงสาวน้อยได้

    “พี่เห็นเธอยุ่ง ก็เลยอยู่แต่ห่างๆ คนมากจริงๆ นะ”

    "ส่วนใหญ่คุณรามเป็นคนเชิญค่ะพี่ เมื่อครู่พี่นั่งอยู่ตรงไหนคะ ทำไมไม่เห็นเลย"

    ประพันธ์ลอบยิ้มในความมืด จะเห็นได้อย่างไรก็ในเมื่อลากเอาเก้าอี้ไปนั่งแอบอยู่ข้างกระถางต้นไม้ใบใหญ่ข้างบันไดขึ้นตึกเพื่อจะได้เฝ้าดูหญิงสาวได้ถนัดใจโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ในเมื่อบริเวณนั้นแทบไม่มีใครเดินผ่าน และในเมื่อมีคนมากขนาดนั้น จึงไม่มีใครให้ความสนใจใครสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซึ่งพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจของใคร

    "คนมากอย่างนี้คงเห็นกันยาก พี่เห็นเธอยุ่งมากด้วย ก็เลยไม่อยากรบกวน" ชายหนุ่มแก้ตัวไปเสียอย่างนั้น

    เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเอนตัวพิงซุ้มไม้ สาวน้อยรีบขยับที่บนม้านั่งให้ คิดได้ว่าเสียมารยาทหากปล่อยให้เขาซึ่งเป็นทั้งแขกและเพื่อนสนิทของพี่ชาย รวมทั้งเป็นผู้ซึ่งเธอให้ความเคารพนับถือเสมอมายังคงยืนอยู่เช่นนั้น

    "พี่ประพันธ์นั่งสิคะ"

    ประพันธ์ลังเลอยู่เพียงอึดใจ แล้วนั่งลงแต่โดยดี

    "พี่ดูๆ เหมือนเธอเหนื่อยนะ ไปพักเสียดีไหม"

    ในความสลัว หญิงสาวยิ้มให้อย่างแห้งแล้ง จริงๆ แล้วไม่เพียงแต่เพลียอย่างเดียวเท่านั้นหรอก หากยังมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่ชักจะรุนแรงขึ้นทุกทีตามมาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งนานเข้าผู้คนจำนวนมากทำให้วิงเวียนศีรษะอย่างไรชอบกล

    "ไม่ดีกว่าค่ะพี่ แขกมากอย่างนี้ จะหายไปเสียเฉยๆ ก็น่าเกลียด นั่งที่นี่สักครู่ก็คงค่อยดีขึ้น"

    ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเพียงเท่านั้นแล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไปครู่ใหญ่ เวลาหลายเดือนที่ห่างเหินกัน ทำให้ไม่รู้ว่าควรยกเอาเรื่องอะไรมาพูดคุยกันดี ไม่เพียงเท่านั้นสถานะของหญิงสาวในเวลานี้สูงเกินกว่านายร้อยตรีอย่างเขาจะให้ความสนิทสนมเหมือนเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเพียงน้องสาวของเพื่อนสนิท ในเวลานี้เธอเป็นภรรยาของผู้บังคับบัญชาซึ่งมีบุญคุณล้นเหลือ แม้แต่นั่งเคียงกันจนเกือบชิดเช่นนี้ก็ยังไม่กล้าหันไปมอง

    นานทีเดียวกว่าเสียงใสๆ จะทำลายความเงียบขึ้นก่อน

    "พี่โชคบอกว่าพี่ประพันธ์ย้ายไปโรงเรียนนายร้อยแล้วจะได้เลื่อนยศเป็นร้อยโท"

    "พี่ก็หวังว่าอย่างนั้น ตอนนี้ได้ยินแต่พูดๆ กัน ท่านว่าพี่ควรจะได้ร้อยโทเมื่อย้ายไปแล้ว โชคก็เหมือนกัน ไม่นานโชคก็จะได้ยศร้อยโทเหมือนกันเพราะเป็นนายทหารติดตามท่าน ท่านบอกเธอหรือยัง"

    เป็นที่รู้กันว่า 'ท่าน' ในที่นี้หมายถึงใคร รามส่งเสริมทั้งประพันธ์และสบโชคมาโดยตลอด สบโชคในเวลานี้มาเป็นนายทหารคนสนิทของเขาได้หลายเดือนแล้ว และด้วยตำแหน่งนั้นก็มีส่วนช่วยให้หน้าที่การงานก้าวหน้าขึ้นด้วย

    โดยส่วนตัวแล้วประพันธ์ไม่เคยลืมบุญคุณและความเป็นหัวหน้างานที่ดีของราม นับแต่สนับสนุนให้ได้ไปฝึกทหารยังต่างประเทศ ซึ่งช่วยให้เขามีคุณวุฒิเพียงพอที่จะไปเป็นครูสอนนักเรียนนายร้อย การเป็นครูสอนที่นั่นจะช่วยให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ไปได้เรื่อยๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นงานที่มั่นคง เขาไม่ต้องย้ายไปไหนอีก จะสอนอยู่ที่นั่นได้จนเกษียณอายุจากราชการเลยทีเดียว

    "บอกแล้วค่ะ"

    "โชคก็คงอยู่กับท่านไปอีกนาน..."

    ชายหนุ่มปรารภสืบไป แต่ก็สะดุดเพียงกลางประโยคเมื่อทอดสายตากลับไปทางหน้าบ้านแล้วเห็นหลังไวๆ ของใครคนหนึ่งหลบวูบลับไปจากมุมตึก หากก็ไม่ติดใจสงสัยอะไร

    "ก็คงอย่างนั้นค่ะ คุณลุงคุณป้าสบายดีหรือคะ ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านเลย"

    หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง พยายามชวนอีกฝ่ายคุยตามมารยาทเสียมากกว่า แม้จะนับถือชายหนุ่มอย่างพี่ชาย แต่เหตุที่ไม่เคยชินกับการมีคนชิดใกล้ซึ่งเป็นผู้ชาย นอกจากพี่ พ่อ และมาบัดนี้...สามี จึงให้ขัดเขินเมื่อต้องนั่งเคียงจนเกือบชิดเขาในที่มืดๆ อย่างนี้

    "เตี่ยสบายดี ส่วนแม่ก็ไปอยุธยาหลายวันแล้ว ตอนนี้ไปๆ มาๆ เพราะห่วงที่นั่น ตั้งแต่ปรางออกเรือนแล้วมาอยู่กรุงเทพ ปรางก็ไม่กลับอยุธยาอีก ก็เลยไม่มีใครดูแลโรงสี"

    "แล้วน้องชายของพี่ละคะ"

    ไอรีนไม่เคยเจอประพจน์...น้องชายของนายร้อยตรีหนุ่ม รู้ก็แต่เพียงว่าเขาดูแลโรงสีของบิดาอยู่ที่อยุธยา

    "ที่จริงแม่ห่วงพจน์นั่นแหละ แม่เอาโรงสีมาเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง ตอนนี้ที่ได้ไปอยุธยาบ่อยหน่อยก็เพราะนายพจน์ไปติดผู้หญิง แม่พี่ไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่ เลยต้องไปคอยเฝ้าลูกชายเอาไว้"

    ประพันธ์หัวเราะหึๆ ในลำคอ

    คุณหญิงสาวน้อยพลอยหัวเราะตาม นั่นดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพ่อแม่ซึ่งมีลูกอยู่ในวัยหนุ่มสาว สมัยก่อนพ่อแม่มักเป็นฝ่ายจัดหาผู้หญิงซึ่งเห็นว่าเหมาะสมให้ลูก หากมาสมัยนี้หนุ่มสาวเริ่มเลือกคู่ครองกันเองบ้างแล้ว ผู้ใหญ่จึงต้องคอยสอดส่องดูแลกันมากขึ้น

    แต่เมื่อไม่รู้จักน้องชายคนเล็กของเขา ยังไม่เคยเจอตัวกัน จึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ เธอเปลี่ยนเรื่องซึ่งยกขึ้นมาชวนคุยอีก

    "พี่โชคบอกว่าคุณลุงกำลังสร้างเรือนให้พี่ประพันธ์"

    "ก็อย่างนั้น ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หลังไม่ใหญ่หรอก พอๆ กับของปรางกับโชคนั่นแหละ"

    จริงๆ แล้วเขาอยากบอกเสียนักว่าตึกหลังนั้นจุดประสงค์ดั้งเดิมของเจ้าสัวปิงคือตั้งใจสร้างให้เป็นเรือนหอของลูกชายคนโต แต่ในเวลานี้เมื่อไม่มีเจ้าสาวเสียแล้ว เขาก็คงต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง

    ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของสมาชิกในครอบครัวเพื่อนพี่ชายแล้ว ไอรีนหมดเรื่องที่จะแสวงหามาชวนเขาคุยอีก ในเมื่อชีวิตจำกัดขอบเขตอยู่เพียงภายในบ้าน เรื่องราวภายนอกเท่าที่รู้ในเวลานี้ก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของสามีซึ่งเขาเอามาเล่าให้ฟังเท่านั้น แถมเมื่อทั้งสองฝ่ายพยายามจำกัดเรื่องที่คุยกันให้เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่เฉียดใกล้ความรู้สึกซึ่งฝ่ายหนึ่งเคยมีให้อีกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามทาบทามสู่ขอเธอ ดังนั้นเพียงไม่นานจึงเหมือนจะหมดเรื่องพูดคุยกันแต่เพียงเท่านั้น

    จนเด็กชายกำลังจะเข้ารุ่นหนุ่มขนจานกองโต วางซ้อนกันเสียสูง มาหยุดเมียงมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หญิงสาวจึงร้องถาม

    "มีอะไรหรือกริช"

    กริชขยับเข้ามาใกล้อย่างเกรงอกเกรงใจ ไม่สบายใจตั้งแต่เห็นคุณวิไลอ้อมมุมตึกตรงรี่เข้าไปหาพี่ชายซึ่งเพิ่งออกมาส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่สองคนขึ้นรถ แล้วได้ยินหล่อนเปรยลอยๆ

    'เอ! แม่ไอรีนไปไหนเสียแล้วคะ พี่รามเห็นไหม ตะกี้เห็นเดินไปกับเพื่อนพี่ชายเขา แล้วหายเงียบกันไปเลย'

    เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่ใจว่าคุณวิไลเห็นคุณหญิงแล้ว และต้องการให้เจ้าคุณผู้เป็นพี่ชายได้เห็นด้วย จึงรีบรวบรวมจานชามทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วตรงรี่มาข้างตัวตึก

    "คุณท่านกำลังตามหาคุณหญิงขอรับ" จำเป็นต้องบอกไปเช่นนั้นเมื่อคิดไม่ออกในทันทีว่าควรออกปากเตือนอย่างไร

    ไอรีนแทบลืมความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนพลีย ผุดลุกจากม้านั่ง เอ่ยปากขอโทษคนข้างๆ แล้วก้าวเร็วรี่จนเกือบเหมือนวิ่งเพื่ออ้อมไปหน้าบ้าน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่