บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๕)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณคุณนันท์ turtle_cheesecake, น้องนุ้ย ณวลี, คุณ สายป่านสีชมพู, จารย์จี GTW, คุณซอง SONG982, คุณ Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 895185
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
ตอนนี้ขอลงถี่หน่อยเพราะเพิ่งเริ่มเรื่อง ถึงบทที่ ๑๐ แล้วจะลงห่างขึ้นนะคะ เป็นอาทิตย์ละ ๒ บท

บทนำ - บทที่ ๑  http://pantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓  http://pantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔  http://pantip.com/topic/35383294



บทที่ ๕



    เสียงกระแอมกระไอสองสามครั้งทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวบนระเบียงเรือนยิ่งผละออกห่างจากกันยิ่งขึ้น

    “แม่เจ้าโวย ทำไมมืดยังงี้วะ ดาวเดือนหลบไปอยู่ข้างไหนโม้ด คนจะคุยกัน จะมองหน้ากันเห็นเร้อ”

    เสียงห้าวที่ตั้งใจจะให้ดังกว่าปกตินั้นเอ่ยเกินจริง เพิ่งจะเริ่มมืด ยังพอมองเห็นกันได้บ้าง

    ฝ่ายหญิงสาวผละมาที่บันไดระเบียง แล้วเดินลงอย่างรวดเร็ว

    “ใครล่ะนั่นน่ะ”

    เสียงยั่วเย้ายังไม่ยอมหยุด จนคนที่ถูกเอ่ยถึงเดินเข้ามาใกล้ เหลือบตาขึ้นมองเพียงแวบเดียวแล้วไม่ให้ความสนใจใดๆอีก เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเกือบถึงตัวคนพูด

“พุทโธ่พุทถัง นึกว่าใคร มาทำอะไรอยู่ที่นี่มืดๆล่ะหือ”

แจ้งมองนายทหารหนุ่มซึ่งตามมาข้างหลังสาวน้อยอย่างขุ่นมัวในอารมณ์ แล้วเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้มเย้ยหยันอยู่ในทีเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของฝ่ายนั้น
ไอรีนยังคงก้มหน้าก้มตาสาวเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเดินผ่าน อับอายเหมือนเด็กเล็กๆทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ ซอยเท้าถี่ๆอ้อมตัวเรือนไปขึ้นบันได ไม่สนใจคนที่กำลังจ้ำอ้าวๆตามมาข้างหลัง     

ประพันธ์เองก็เข้าใจ จึงได้แต่เดินตามเงียบๆ

พอขึ้นเรือนไปถึงหน้าห้องโถง เห็นอนงค์กำลังวางถาดใส่แก้วน้ำอัดลมสำหรับเลี้ยงแขกลงบนพื้น ไอรีนตรงเข้าไปช่วย

นัยน์ตาคมลึกจับจ้องที่ร่างเล็กๆนั้นตั้งแต่กลับเข้ามาในห้องโถงแล้ว มองตามเมื่อเห็นรับถาดมาเสียจากมารดาเลี้ยง แล้วย้ายแก้วจากถาดลงวางบนพื้นตรงหน้าแขกแต่ละคน ไล่จากหลังห้องเรื่อยมาข้างหน้า

พอมาถึงตัว ก็ลดสายตาลงดูมือบาง นิ้วเรียวยาวราวลำเทียนเลื่อนแก้วน้ำอัดลมสีแดงมาให้ ตาจับอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ก่อนไล่ต่อไปตามลำแขนกลมกลึงซึ่งกำลังเคลื่อนไหวเชื่องช้า เลยเรื่อยไปจนถึงใบหน้าแจ่มกระจ่างที่ก้มต่ำ ผมสีน้ำตาลหวีเสยไปข้างหลัง ถักไว้เป็นเปียเดี่ยว ผิวบริเวณหน้าผากและสองข้างแก้มนวลเนียน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนครุ่นคิด ขนตาทอดเงาเป็นแพบนสันแก้ม จมูกเมื่อดูใกล้ๆจึงเห็นว่าปลายเชิดน้อยๆ

...ช่างมองได้ไม่เบื่อเสียจริงๆ เธอกำลังฟังเขาพูด ทำไมจะดูไม่ออก

    “...พระองค์ทรงรับสั่งว่าดีโมเครซี่ในสยามเราเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ขอรับ แต่ต้องใช้เวลา ทรงดำริว่าน่าจะเริ่มจากให้มีการปกครองแบบมิวนิสิพัลลิตี…"
ในขณะที่ตาจับนิ่งอยู่ที่ภาพหมดจดงดงามจับตาจับใจ ปากและสมองก็ยังคงทำงานไปได้เรื่อยๆเช่นกัน

    "มิวนิสิพัลลิตี?"

    เสียงถามของพระนิติบดินทร์ผู้เป็นอาทำให้ไอรีนชายตามองคนที่เอ่ยคำนั้นขึ้นก่อน พอสบตาที่กำลังจ้องอย่างเพ่งพิศ ก็รีบหันกลับไปหยิบแก้วใส่น้ำอัดลมอีกใบจากถาดมาวางให้ตรงหน้าอาสะใภ้ หล่อนนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของผู้เป็นสามี

    "มิวนิสิพัลลิตี...การปกครองแบบเทศบาลขอรับ ทรงดำริว่านั่นเป็นเบื้องต้นที่จะให้ประชาชนได้เรียนรู้วิธีการปกครองด้วยตัวเอง"

    "อ้อ!"

    "กระแสดีโมเครซี่กำลังแรงมากขอรับ หลายประเทศในยุโรป อย่างฝรั่งเศส เยอรมนี เปลี่ยนการปกครองไปแล้ว นักเรียนไทยหลายคนที่เรียนอยู่ที่นั่นเริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้แล้วขอรับ แต่คนของเราที่นี่ยังไม่พร้อมที่จะมีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง"

    สีหน้าของคนฟังครุ่นคิด เงียบไปเป็นครู่

    "แล้วพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ไม่คัดค้านกันรึ พ่อราม อาว่าต้องมีบ้างล่ะ จริงไหม"

    ไอรีนเงยหน้าขึ้นดูคนพูดเมื่อได้ยินคำเรียกชื่อเดิมของนายพันโทหนุ่มอย่างคนกันเอง  สงสัยว่าอาสนิทสนมกับเขาถึงขั้นนับญาติกันตั้งแต่เมื่อไร

    อีกอย่างคำถามนั้นน่าสนใจไม่น้อย จึงอยากได้ยินคำตอบให้ชัดๆ ใจคิดไปถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปที่เคยอ่านจากหนังสือนอกเวลาเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิวิติในฝรั่งเศสที่มีการล้มราชวงศ์ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกและพระราชินี มารี อังตัวเน็ต ถูกปลงพระชนม์ด้วยการตัดพระเศียร ขุนนางถูกตามล่าฆ่าฟัน ประชาชนลุกฮือกันทุกหย่อมหญ้า ผู้คนตกอยู่ในความหวาดกลัวเมื่อกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

    น่าหวาดหวั่นน้อยอยู่เสียเมื่อไรกันเล่า การปฏิวัติป่าเถื่อนนั้นทำให้คนรักต้องพรากจากกัน ผู้ชายคนหนึ่งยอมตายแทนสามีของผู้หญิงที่ตัวรัก  ซิดนีย์ คาร์ตัน* จากหนังสือเล่มนั้นกลายเป็นผู้ชายในอุดมคติอยู่พักใหญ่ จะมีใครในชีวิตจริงไหมที่สละชีวิตของตัวเองเพื่อความรักได้อย่างนั้น

รามชายตามองใบหน้าหมดจดอีกครั้ง เห็นนัยน์สีน้ำตาลเลื่อนลอยเหมือนกำลังฝัน ยิ้มน้อยๆจึงผุดขึ้นที่มุมปาก ตอบคำถาม ‘คุณพระ’ ผู้สูงวัยกว่าหลายปีอย่างผู้รู้เห็นและเข้าใจความเป็นไปของบ้านเมือง เขาเป็นคนหนึ่งที่ใครๆมองว่าถูกเรียกตัวมาดำรงตำแหน่งปัจจุบันเพราะความสนิทสนมใกล้ชิดกับเชื้อพระวงศ์ และเพราะมาจากเชื้อสายขุนน้ำขุนนางติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

“หลายพระองค์คัดค้านขอรับ แต่คิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขอรับ อยู่แต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”

เสียงขยับตัวของพระสี่รูปบนอาสนะข้างหีบศพทำให้ทุกคนหันไปมองเกือบพร้อมกัน

    "เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อนะ พ่อราม อาสนใจเรื่องนี้ หาใครที่รู้จริงๆไม่ได้เลย อาเองก็ออกจากราชการมานาน"

พระพินิจตบเข่าคนเล่าเบาๆ สรุปบทสนทนาเพียงแค่นั้นเมื่อพระเริ่มสวดรอบสอง

    ไอรีนหยิบถาดซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า ขยับจะถอยห่างออกมา แต่คุณสำรวยแตะแขนไว้ จึงกลับลงนั่งพับเพียบข้างๆ เลื่อนถาดมาไว้เสียอีกด้าน แล้วประนมมือขึ้นไหว้พระ เอนตัวมาฟังคำถามของอาสะใภ้

    รามรู้ว่าสาวน้อยนั่งอยู่ข้างหลัง จึงถือโอกาสเงี่ยหูฟังอาหลานกระซิบกระซาบกันอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้เสียงพระสวดจะดัง และเสียงพูดคุยปรึกษากันนั้นจะเบามาก แต่ก็พอจับใจความคำพูดของคุณสำรวยได้บ้าง

    หล่อนบอกว่าหาเวลาจะพูดคุยกับหลานสาวอยู่นานวัน แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะอีกฝ่ายมัวแต่ยุ่งทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา หล่อนถามสารทุกข์สุขดิบของสาวน้อย ถามเรื่องเรียนหนังสือ แล้วบอกว่ามีผ้าดำอยู่หลายผืน ตั้งใจจะเอามาให้หลายวันแล้ว แต่เมื่อไม่ได้คุยกันก่อนว่ามีชุดดำเพียงพอหรือไม่ จึงยังไม่ได้เอามาจนแล้วจนรอด จะเอามาให้ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันทำบุญครบรอบเจ็ดวัน เห็นว่าใส่เสื้อขาว กับซิ่นดำซ้ำกันอยู่สองวันแล้ว

    ตลอดเวลาไม่ได้ยินว่าสาวน้อยเลือดผสมตอบว่าอย่างไรบ้าง ได้ยินก็เพียงแว่วๆว่าพูดอะไรบางอย่างเพียงสั้นๆ เบาเสียจนจับใจความไม่ได้เลย

    ได้ยินผู้เป็นอาสะใภ้ยืนยันว่าจะเอาผ้ามาให้เพราะมีอยู่หลายผืน เก็บไว้เฉยๆก็ไม่ได้ใช้ทำอะไร หล่อนบอกว่าซื้อผ้าเป็นกุลีเพราะได้ราคาถูกกว่าซื้อแยกเป็นชิ้น ผ้าซิ่นหนึ่งกุลีมียี่สิบผืน แต่ละกุลีมีหลายสี แต่ลายเดียวกันหมด เมื่อขายตามราคาขายส่ง ราคาจึงถูกมาก

    คราวนี้ได้ยินเสียงใสไพเราะตอบพอให้ได้ยินว่าเอาเสื้อไปย้อมดำหลายตัวแล้ว ซิ่นดำก็มีสามผืน พอผลัดใส่ผลัดซักไปได้ทั้งห้าสิบวัน

    แต่คุณสำรวยยังยืนยันว่าเอาผ้ามาตัดเพิ่มก็ไม่เสียหลายอะไร อย่างซิ่นที่ใส่ไปโรงเรียนก็ควรเป็นสีดำ ก็ต้องมีไว้หลายผืน จะได้ไม่ต้องคอยซักกันบ่อยๆ

    จากนั้นก็ถามว่าที่ชวนให้ไปอยู่ที่บ้านจนกว่าจะเรียนจบจะว่าอย่างไร  บ้านของหล่อนที่ซอยสระสรงอยู่ใกล้คอนแวนต์มากกว่าที่นี่

    คราวนี้คนที่แอบฟังอย่างตั้งใจอยู่ข้างหน้าเหลียวหลังมามองแว่บหนึ่งเพื่อให้ได้ยินคำตอบของสาวน้อย แต่ก็ไม่ได้ยินชัดๆอยู่ดี แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังอย่างไรก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่