บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทนำ - บทที่ ๑)

หลังจากโพสต์ รอยรัก กับ รอยอาลัย เรื่องเก่าเก๋ากึ๊กที่เขียนเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ก็ถึงคิวเรื่องนี้ค่ะ เรื่องนี้เคยลงที่พันทิปนี่เมื่อนานกว่า 10 ปีมาแล้วค่ะ ดูปีที่พิมพ์รวมเล่มคือปี 2552 โพสต์ที่นี่อย่างน้อยก็ 3 ปีก่อนหน้านั้น แสดงว่าโพสต์เมื่อปี 2548-49 ตอนนั้นแทบไม่มีคนอ่านเลย เม่าโศก หรืออาจมีแต่ก็คงน้อยมากเพราะมีผู้แสดงความคิดเห็นบทละไม่เกิน 3 คน คนหนึ่งคือคุณ scottie ขาประจำถนนนักเขียนพันทิปรุ่นดึกดำบรรพ์คงจำคุณก๊อตตี้ได้เพราะคุณก๊อตตี้อ่านทุกเรื่องและส่งเสียงให้กำลังใจผู้เขียนทุกเรื่องเลย ตอนนี้หมดลิขสิทธิ์กับแจ่มใสแล้วก็เลยมาโพสต์ใหม่นะคะ มีแก้นิดหน่อย แต่ก็น้อยมากค่ะ ไปโพสต์ให้โหลดอ่านฟรีไว้ที่ mebmarket ด้วยค่ะ ที่นี่ค่ะ https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=34505 ที่เมพนั่นเวลาอ่านความคิดเห็นของคนที่โหลดไปอ่านแต่ละครั้งแล้วปลื้มใจเป็นที่สุด สำหรับผู้เขียนนิยายแล้วคงไม่มีอะไรน่าปลื้มใจไปยิ่งกว่าเมื่อผู้อ่านบอกว่าอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่อง เหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์เหล่านั้น มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครตัวนั้นตัวนี้ คือไม่ใช่เหมือนคนนอกที่นั่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องจากระยะห่าง คิดว่านั่นคือความสำเร็จสุดยอดของผู้เขียนแล้วค่ะถ้าผู้อ่านรู้สึกอย่างนั้น

จะลงเรื่องนี้อาทิตย์ละ 2 บทนะคะ ยาวมาก (ตอนที่ลงในเมพเป็นอีบุ๊กยาว 1,200 กว่าหน้าแล้วไม่อยากเชี่อเลยว่าสมัยนั้นตัวเองเวิ่นเว้อได้ขนาดนั้น) จบแล้วจะต่อด้วยภาคต่อของเรื่องนี้ด้วยค่ะ ภาคต่อของเรื่องนี้ชื่อเรื่อง ในฝั่งฝัน ค่ะ ในขณะที่ บันทึกคุณหญิงไอรีน นี่พิมพ์กับแจ่มใส ในฝั่งฝัน พิมพ์กับพิมพ์คำค่ะ จนมีคนสงสัยว่าเป็นคนเขียนคนเดียวกันหรือเปล่าเพราะเห็นชื่อตัวละครเหมือนกัน ในฝั่งฝันก็หมดลิขสิทธิ์แล้วค่ะ

อ้อ! เรื่อง จำหลักไว้ในสายลม กับ เพียงเธอ ก็จะลงต่อไปเรื่อยๆ จนจบนะคะ จำหลักไว้ในสายลม จะพยายามลงอาทิตย์ละบทค่ะ บางบทอาจช้าหน่อยถ้างานหลวงยุ่งมากนะคะ


บันทึกคุณหญิงไอรีน


บทนำ


ต้นพุทธศักราช  ๒๔๘๙



ระดับน้ำขึ้นสูงเกือบถึงขั้นบนสุดของบันได ฝนซึ่งตกหนักเมื่อคืนทำให้ใต้พื้นผิวน้ำขุ่นคลั่ก จอกแหนลอยเป็นแพเรี่ยชายฝั่ง บางส่วนลอยมาติดคาอยู่ที่ขั้นบันได จนเมื่อมีเรือแจวผ่านมา ก่อให้เกิดระลอกคลื่น กวาดพาให้หลุดลอยต่อไปอีก

ลำคลองบริเวณนี้เคยมีเรือผ่านไปมามากมาย แต่หลังสงครามสงบได้ไม่นานอย่างเช่นในเวลานี้ จำนวนเรือที่ใช้เครื่องในการขับเคลื่อนลดจำนวนลงมาก มีเหลือให้เห็นบ้างก็เรือพายเรือแจวเป็นหลัก เหตุก็เพราะเรือประเภทนั้นไม่ต้องอาศัยน้ำมันซึ่งมีราคาแพงและยังคงหาซื้อได้ยากยิ่ง

    ซากปรักหักพังของบ้านเรือนสองฝั่งคลองเป็นเครื่องย้ำเตือนได้ตลอดเวลาว่าประเทศเพิ่งผ่านสภาวะเช่นไรมาหมาดๆ

    ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มนั่งโดดเดี่ยวอยู่บนสะพาน มีกระเป๋าสานใบเล็กๆวางอยู่ข้างตัว ศาลาท่าน้ำซึ่งสร้างคร่อมสะพานถูกระเบิดพังไม่เหลือรูปร่างเดิมมานานหลายเดือนแล้ว ที่พอหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง…ว่าครั้งหนึ่งบริเวณนี้เคยมีศาลาให้ผู้อยู่อาศัยมานั่งตากลมในเวลาเย็นและขึ้นลงเรือในเวลาเช้า…มีเพียงเสาหักๆสองต้นกับม้านั่งฝั่งซ้าย ซึ่งมีเหลืออยู่ก็แต่แผ่นไม้ยาวตอกติดกัน ส่วนที่เป็นหลังคายอดแหลมแบบเรือนทรงไทยนั้น ไม่เหลือแม้แต่ซากให้เห็น คงมีคนมางัดเพื่อเอาไม้ไปใช้เป็นฟืน ช่วงสงครามเป็นเช่นนั้นแทบจะทุกหนทุกแห่ง ในเมื่อน้ำมันตะเกียงหายาก จึงมีคนออกแสวงหาฟืนเพื่อก่อไฟหุงต้มและเพื่อให้แสงสว่าง ยังสงสัยอยู่ว่าเสาสองต้น กับแผ่นไม้ที่เคยเป็นม้านั่งหลุดรอดมาได้อย่างไร

“"มาถึงนานแล้วหรือกริช” เสียงห้าวๆดังขึ้นทางด้านหลัง

    ชายหนุ่มหันมอง แล้วขยับลุกยืนทันควัน ก้มลงหยิบกระเป๋าสานติดมือขึ้นมาด้วย

    “ไม่นานหรอกครับลุง”

    ขายาวๆก้าวเดินไปอีกด้านของท่าน้ำ มองดูร่างผอมเกร็งคว้าหลัก ซึ่งจริงๆแล้วเคยเป็นเสาค้ำศาลา แต่หักเหลือเพียงครึ่งเดียว แล้วดึงเรือเข้าจอดเทียบ กระโดดขึ้นบนแผ่นไม้ยาวอย่างคล่องแคล่วผิดวัย

    ชายหนุ่มเข้าช่วยดึงเชือกจากเรือขึ้นมาผูกไว้กับหลัก แล้วยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่านับได้หลายปีอย่างนอบน้อม ชายสูงอายุตบไหล่ล่ำสันอย่างยินดี

    “คล้ำไปนะ”

    คนถูกทักลูบแขนตัวเองแล้วหัวเราะแหะๆ

    “ครับ ลุง” ตอบได้เพียงเท่านั้น แล้วตามร่างผอมเกร็งซึ่งออกเดินนำไปทางเรือนไม้หลังเล็กทางฝั่งซ้าย

“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับที่ตัวตึกยังอยู่ดีได้อย่างนี้”

    “จริงแหละ ระเบิดลงที่ศาลาท่าน้ำเข้าจังเบอร์เมื่อเดือนแปดปีก่อนโน้น แต่แปลก ตัวตึกใหญ่ไม่กระเทือนเลยคุณ คงเป็นบารมีของคุณท่าน”
สองมือเหี่ยวย่นยกไหว้ท่วมหัว คนฟังเข้าใจว่าคนพูดหมายถึงใคร

“พวกลุงยังกลัวกันว่าคุณหญิงท่านจะโดนลูกหลงเข้าด้วย ตอนนั้นระเบิดลงทุกคืน ท่านไปจากที่นี่เสียได้นั่นแหละดีแล้ว เพราะตอนนั้นไม่มีใครเหลือแล้ว มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ทั้งคุณวิไล รำพึง แม่นาบ ท่านให้ลุงกับสมบุญไปเฝ้าสวนฝั่งขะโน้นเพราะคนเช่าเขาขอเลิกเช่า เขาอพยพหนีระเบิดไปอยู่กันที่หัวเมืองเสีย”

ใบหน้าคมคายสะท้อนร่องรอยกังวล

    “แล้วท่านเป็นอะไรบ้างไหมครับลุง”

    “เช้าสมบุญพายเรือมาดูท่าน พอไม่เห็นว่าเป็นอะไรกันที ก็โล่งใจกันไปที คอยระเบิดลงครั้งต่อไปกันอีก” ศีรษะซึ่งเริ่มสั่นคลอนตามประสาคนแก่ส่ายไปมา

    “ผมนี่ไม่ไหวเลยครับลุง ผมกลับชะอำแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ถ้าท่านให้คนส่งข่าวให้รู้บ้าง ผมจะได้มาช่วยอีกคน”

    “โอย! ไม่มีใครอยากรบกวนพ่อหรอก พ่อเพิ่งกลับลงไปไม่นาน ระยะนั้นแถวนั้นก็แย่เหมือนกันมิใช่รึ คุณหญิงท่านรู้เหมือนกัน ก็ห้ามไว้ ยิ่งระยะนั้นระเบิดลงโครมๆ ใครจะไปบอกให้คุณขึ้นมากันเล่า”

ร่างผอมๆที่ทำท่าจะเลี้ยวนำไปทางเรือนไม้ชะงักอยู่ครู่

“เออ…อยากไปดูข้างในไหมล่ะ ประตูหน้าไม่ได้ใส่ประแจ ข้างในมันไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

    “ไปดูนิดก็ดีครับลุง”

    ชายสองวัยจึงเดินตามกันมาจนถึงตึกสร้างด้วยอิฐถือปูนหลังใหญ่ ครั้งหนึ่งสถานที่แห่งนี้เคยโอ่อ่า เป็นที่เชิดหน้าชูตาของผู้อยู่อาศัย แม้ทุกวันนี้ ก็ยังมีซากของความหรูยืนหยัดอยู่ให้เห็น

ตัวตึกเป็นทรงยุโรป สร้างต้นรัชกาลที่หก เป็นตึกสองชั้น มีมุขยื่นออกมาด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม แล้วขยายเป็นปีกออกไปทั้งสองข้าง หลังคาปั้นหยาปูกระเบื้อง หน้าต่างชั้นบนก่อซุ้มยื่นออกมาเป็นกันสาด ฉลุไม้เป็นครีบไว้โดยรอบ ลายหยดน้ำฝนใต้ชายคาละเอียดยิบ รอบตัวตึกก่อรูปบัวหงายคาดระหว่างชั้น  หน้าต่างบานเกล็ดมีทรงสูงและกว้างเพื่อไม่ให้ตัวบ้านดูทึบทึม แถมยังมีช่องลมเหนือหน้าต่างเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม กรุกระจกหลากสี ส่งประกายแวววาวยามสะท้อนแสงแดด และยังพาเอาแสงจากภายนอกเข้าไปภายในได้อีกไม่น้อย ก่อนนี้ในเวลากลางวัน หน้าต่างเหล่านั้นมักจะเปิดไว้กว้างทุกบาน แต่บัดนี้ปิดสนิททั้งหมด หน้าต่างชั้นบนบานหนึ่งหลุดจากกรอบลงมาห้อยอย่างหมิ่นเหม่ น่ากลัวว่ามันจะตกลงมาเบื้องล่างไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง
สีซึ่งเคยขาวนวลของตัวตึกบัดนี้ดูหม่นหมอง บางตอนมีร่องรอยด่างดำของความชื้นที่สะสมอยู่นานจนเป็นตะไคร่จับเรื้อรัง

    รอบตัวตึกเป็นบริเวณกว้าง ครั้งหนึ่งเคยมีไม้ใหญ่ปลูกไว้ร่มรื่น แต่ขณะนี้กลับดูรกรุงรังเพราะขาดการดูแล แถมยังมีวัชพืชขึ้นให้เห็นอยู่ทั่วไป
ข้างบันไดขึ้นตึกมีพุ่มแก้วขนาดใหญ่ มันยังคงอยู่ที่เดิม และยังคงมีดอกสะพรั่ง นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถึงกระนั้น รอบๆต้นก็ยังมีหญ้าขึ้นสูงจนดูรกเรื้อ

    ชายสูงวัยอ่านสายตาของผู้มาเยือนออก จึงเอ่ยเหมือนแก้ตัว

    “ไม่มีใครมีเวลามาตัดหญ้าให้ ไม่มีใครช่วยดูแลบ้าน สมบุญหรือไม่ก็นังเอิบมาดูบ้างเป็นบางครั้ง กลัวงูน่ะ หญ้าขึ้นรกๆหน้าบ้านแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละนะ ช่วงหลังๆนี่ระเบิดมันลงถี่เหลือเกิน ก็เลยไม่มีใครคิดจะข้ามฟากมาฝั่งนี้ แค่วิ่งหนีไม่ให้ระเบิดหล่นใส่หัวได้พ้นทุกคืนก็บุญแล้วละ”

    ชายหนุ่มได้แต่รับรู้เพียงสั้นๆ

    “ครับ”

    สลดหดหู่กับสภาพบ้านที่ตัวเองเคยวิ่งเข้าวิ่งออก คิดถึงใบหน้างดงามของผู้เคยเป็นเจ้าของ...ผู้ซึ่งชายชราเรียก ‘คุณหญิง’

“เคยมีคนมาติดต่อขอซื้อนะ ทั้งตึกใหญ่ ทั้งเรือนไม้ แต่คุณหญิงไม่ยอมขายท่าเดียว”

    เมื่อขึ้นบันไดมาถึงประตูหน้าตัวตึก กริชจึงเห็นว่ามันปิดไว้เฉยๆจริงๆ มองดูชายชราดันบานประตูหน้าออกกว้าง กลิ่นอับๆเหมือนจะโชยตามออกมา

    “ตามสบายนะพ่อ ข้าวของไม่มีอะไรเหลือแล้ว” ย้ำประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง

“อ้อ! นี่ประแจเรือนไม้ กับประแจหีบเก็บของของคุณหญิง”

‘ลุง’ล้วงกระเป๋าเสื้อคอกลมสีน้ำเงินคล้ำ เก่าคร่ำคร่า หยิบกุญแจสองดอกซึ่งใช้เชือกเส้นสั้นๆร้อยเอาไว้ด้วยกันออกมาส่งให้

“พ่อกริชมาแล้ว หมดหน้าที่ของลุงแล้ว ตอนที่คุณหญิงฝากบ้านไว้กับลุง ท่านบอกอย่างที่ลุงส่งหนังสือไปบอกคุณนั่นแหละ ท่านบอกว่าให้ช่วยดูๆ คอยวันพ่อกริชกลับ” เสียงห้าวแตกพร่าด้วยวัยฟังดูเลื่อนลอย เหมือนรำพึงกับตัวเอง แหงนหน้าขึ้นพิจารณาชั้นบนของสถานที่ซึ่งตน ‘ดูๆ’ มานับเดือน หารู้ไม่ว่าประโยคหลังทำให้คนฟังเต็มตื้นเพียงไร

'…คอยวันที่พ่อกริชกลับ’

    “ครับ”

ชายหนุ่มรับรู้ ถ้าไม่เป็นเพราะสภาพสงคราม และงานที่ต้องทำเพื่อชาติ คงไม่รู้สึกผิดที่แทบไม่มีโอกาสได้มาดูความเป็นอยู่ของเจ้าของคนสุดท้ายของที่นี่เลย เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใจจึงแล่นไปอยู่เสียที่เรือนหลังเล็ก ที่นั่นเก็บเรื่องราวในอดีตที่ฝังจิตฝังใจไว้มากกว่าตึกใหญ่ตรงหน้า

    “แล้วนี่คืนนี้จะนอนที่ไหน”

    “ผมคิดว่าจะค้างที่นี่สักคืนครับ”

“แน่ใจรึ ไฟฟ้าไม่มีน่ะ น้ำก็ไม่มีให้ใช้” บอกอย่างเป็นห่วงเป็นใย

    “ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ผมอยู่ได้ แค่คืนเดียว”

    “แน่ใจนะ” ย้ำถามอีกครั้งด้วยรู้ว่าพอค่ำลง บริเวณนี้จะมืดสนิทจริงๆ แถมความกว้างใหญ่ของอาณาเขตทำให้อยู่ห่างจากเพื่อนบ้านมากทีเดียว

    “ครับ วันนี้ได้ดูจนทั่วแล้ว คงบอกได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

    ชายชราพยักหน้ารับรู้ ลดสายตาลงมองเข้าไปภายในบ้าน ทำท่าจะผละจาก แต่เสียงทุ้มๆของชายหนุ่มดึงตัวไว้อีกครู่

    “เอ่อ! ลุงครับ”

เรียกไว้แล้วชะงักไปอึดใจ

    “คุณวิไลมาดูบ้านบ้างหรือเปล่าครับ”

    คนถูกเรียกว่าลุงส่ายหน้า

    “ไม่เลย ตั้งแต่ไปอยู่กับคุณนพพร ก็ไม่เห็นมาอีกเลย คงวางมือไปแล้วกระมัง เพราะถ้าคุณหญิงยกให้พ่อกริชเป็นคนจัดการเรื่องที่นี่แบบนี้ แสดงว่าคุณวิไลก็คงไม่สนใจบ้านนี้แล้ว” แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้อีก

    “แล้วนี่กินอะไรหรือยัง ถ้ายัง ไปกินข้าวบ้านลุงเสียก่อน ขากลับมาก็เอาเรือลุงมาไว้ใช้ เอาน้ำมาไว้กิน เอาตะเกียงมาสักดวง ไม่งั้นมืดตายเลย”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ลุงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

    ชายหนุ่มยกมือไหว้อีกครั้ง มือเหี่ยวย่นยกขึ้นครึ่งๆกลางๆในท่ารับรู้ เป็นการบอกลาไปด้วยในตัว ชำเลืองมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง แต่แล้วก็ยังลังเล ยังไม่วายเป็นห่วง

“คืนนี้ไปนอนบ้านลุงไม่ดีกว่ารึ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย”

“ขอบพระคุณครับลุง เกรงใจลุงเปล่าๆ คืนนี้ผมนอนที่นี่ได้จริงๆครับ”

จะบอกใครได้อย่างไรว่านานเหลือเกินแล้วที่โหยหาวันเวลากลับมาสัมผัสสถานที่ซึ่งเธอผู้นั้นเคยอยู่อาศัย ผืนดินที่เธอเคยย่ำเดิน ห้องที่เธอเคยหลับนอน
ชายชราพยักหน้ารับรู้ ก่อนผละเดินกลับไปที่ท่าน้ำ

    คนอ่อนวัยกว่ามองตามร่างผอมเกร็งกระย่องกระแย่งห่างออกไป แล้วหันกลับมาที่ประตูบ้าน สูดลมหายใจยาวเหมือนตั้งสติ ก่อนก้าวล่วงเข้าไปภายใน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่