ในฝั่งฝัน (บทที่ 4)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, คุณ ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง, คุณ tedta, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องดาว Lady Star 919, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ PuPaKae, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ มานีโอลา
ชื่อหายไปคนหนึ่ง ใครก็ไม่ทราบ ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทแรก - บทที่ 1  http://pantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://pantip.com/topic/35648626


บทที่ 4



    "กระผมคิดว่าคุณหญิงควรกลับพระนครให้เร็วที่สุดก่อนที่ญี่ปุ่นจะยึดทางรถไฟขอรับ"

    ชายหนุ่มเตือนสติด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง ไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่เขาจำเป็นต้องใช้คำพูดลักษณะนี้กับเธอ

    หญิงสาวผงกศีรษะรับรู้และเห็นจริงตามนั้น หากสีหน้าก็ยังสะท้อนชัดถึงความวุ่นวายใจ ผิดหวังนั้นแน่ล่ะ ก็ในเมื่อดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม  ว่าแม้โอกาสจะได้ขึ้นไปบนเกาะตะรุเตาเพื่อพบสามีนั้นมีน้อยเต็มที แต่ก็ขอให้ได้ไปเห็นสภาพสถานที่ซึ่งเขาถูกคุมขังอยู่สักนิดก็ยังดี ขอให้ได้รู้ว่าเขามีความเป็นอยู่อย่างไร ลำบากลำบนหรือไม่แค่ไหน และขอให้ได้ฝากเสื้อ กางเกงและเสื้อกันหนาวซึ่งเตรียมมาให้เขาไปกับคนที่ไว้ใจได้ เท่านั้นก็พอแล้ว

    แต่นี่ความหวังพังทลายหมดสิ้น หลายเดือนทีเดียวที่เธอตัดเย็บเสื้อผ้าเตรียมมาให้สามี หลังขดหลังแข็งเย็บเสื้อกางเกงเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืนอย่างตั้งอกตั้งใจ จรดปลายเข็มลงบนเนื้อผ้าแต่ละครั้งอย่างสุขใจ ว่าทั้งหมดนั้นจะไปถึงคุณราม เขาจะได้ใช้ ที่เคยถักเสื้อกันหนาวให้เขาเอาติดไปด้วยครั้งหลังสุดก็สองปีมาแล้ว เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะมีโอกาสได้สวมใส่บ้างไหม หรือว่าที่นั่นมีชุดนักโทษให้ แต่ช่างเถอะ เพียงแค่คิดว่าได้ทำอะไรให้เขาบ้าง เท่านั้นก็อิ่มอกอิ่มใจและพอเรียกความรู้สึกอบอุ่นเมื่อมีเขาอยู่ชิดใกล้กลับคืนมาได้บ้างแล้ว

    กริชเองก็ดูออก เข้าใจความรู้สึกได้ดี จึงหาวิถีทางปลอบโยนเท่าที่จะคิดได้

    "ให้เรื่องสงบแล้วคุณหญิงค่อยมาใหม่ดีกว่าขอรับ ถึงอย่างไรคุณอัมพรก็คงยังอยู่สตูลอีกนาน"

    ไอรีนยิ้มแห้งแล้ง ยิ้มอย่างจะบอกขอบใจผู้ให้ความหวัง สิ่งนี้มิใช่หรือที่ประคับประคองชีวิตของเธอมานาน นับแต่คุณรามเข้าร่วมกับกบฏบวรเดชและถูกจับกุมคุมขังนั่นเลยทีเดียว

    กริชแน่ใจว่าความผิดหวังคราวนี้ของคุณหญิงคงรุนแรงกว่าความหวาดกลัวเรื่องสงคราม แม้จะได้ยินและรับรู้ถึงเสียงของการสู้รบ และแม้คำว่าสงครามจะฟังดูน่าประหวั่นพรั่นพรึง หากก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นการสู้รบจริงๆ เลยสักครั้ง ยายไวขนาดอายุมากที่สุดในที่นี้ และมีชีวิตอยู่เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสส่งกองเรือบุกขึ้นมาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่เคยเห็น แกได้ยินแต่เสียงระเบิดและเสียงยิงต่อสู้เหมือนคราวนี้เช่นกัน

    ด้วยเหตุนั้น เรื่องของสงครามจึงเป็นเรื่องที่ยังไกลตัว แม้ในเวลานี้จะรู้ว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ตาม

    "กำลังคิดว่าคงต้องเป็นอย่างนั้นแหละกริช"

    เธอจำต้องยอมรับความจริง นับแต่สามีต้องโทษนี่ก็เข้าไปร่วมแปดปีแล้ว เธอรับภาระทุกสิ่งทุกอย่างจากเขามาแบกไว้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งบ้าน ทั้งสวนสองฝั่งคลอง ทั้งห้องแถวของคุณหญิงละออผู้ล่วงลับ ทั้งผู้คนในบ้านนับสิบชีวิต แม้แต่น้องสาวของสามีก็ตกมาเป็นภาระของเธอ คุณวิไลช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ก็ในเมื่ออยู่แต่กับบ้านมาตลอดชีวิตก็ว่าได้ ที่จริงมิใช่ว่ามีใครห้ามออกไปไหนหรอก แต่เป็นหล่อนเองที่ไม่ชอบออกนอกบ้าน สาเหตุนั้นมีมากมาย เท่าที่เคยได้ยินก็ว่าร้อนบ้าง ไม่ชอบแดดบ้าง ไปไหนที่มีคนมากๆ ก็เวียนศีรษะเสียอีก โลกของหล่อนจึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัดเต็มที

    ด้วยเหตุนั้น เด็กสาวซึ่งเคยแต่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ใหญ่ เริ่มจากบิดา พอเข้าเรียนประจำก็มีนางชีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ดูแล ออกจากโรงเรียนก็มาอยู่บ้านสามี มีเขาทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับผู้ปกครองอีกคน ชีวิตก่อนหน้านั้นจึงไม่เคยให้มีอะไรต้องคิด ไม่เคยต้องตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง ไม่เคยมีภาระรับผิดชอบทรัพย์สินหรือชีวิตของใคร พอเขาต้องโทษ ชีวิตพลิกกลับบนลงล่าง ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน กลายเป็นที่พึ่งพิงของผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีอายุมากกว่าและเห็นโลกมานานกว่าเสียด้วยซ้ำ

    "ยายยังป่วย ไม่รู้ว่าจะเดินทางได้ไหม" เธอเปรยเหมือนรำพึง

    อาการไข้ของนางไวดีขึ้นบ้างแล้ว หากทว่าความชราทำให้ฟื้นตัวได้ไม่รวดเร็วเหมือนคนหนุ่มสาว

    กริชคิดเรื่องนั้นไว้ก่อนหน้า

    "ให้ยายอยู่ที่นี่กับชัยไปก่อนดีกว่าขอรับ ที่นี่คงยังไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเพราะไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ กระผมจะพาคุณหญิงกลับกรุงเทพขอรับ"

    "ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันกลับคนเดียวได้ ถ้ากริชไปพระนครแล้วงานทางนี้ละจ๊ะ กริชจะทิ้งงานไปในเวลาแบบนี้ได้อย่างไรกัน"

    เรื่องนั้นนายธรรมการหนุ่มก็วางแผนไว้แล้วเช่นกัน เมื่อครู่ก่อนกลับมาส่งข่าวเรื่องสงครามก็ได้ไปตรวจดูสภาพความเป็นไปที่โรงเรียน เห็นเด็กๆ พากันตื่นเต้นจนไม่เป็นอันทำอะไร เด็กหลายคนไม่มาโรงเรียน พ่อแม่คงเก็บตัวไว้กับบ้านด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาไปถึง ครูซึ่งในเวลานี้มีสี่คนแล้วกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่าควรทำอย่างไรต่อไป เขาจึงมอบหมายให้ครูพรหมซึ่งมีอาวุโสที่สุดในที่นั้นเป็นผู้ตัดสินใจในระหว่างที่ไม่อยู่ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้ หรือถ้าญี่ปุ่นเคลื่อนกองทหารมาถึงชะอำ ก็ให้นักเรียนหยุดเรียนและปิดโรงเรียนจนกว่าเขาจะกลับ กะว่าเมื่อขึ้นไปพระนครแล้วก็จะถือโอกาสสอบถามถึงระเบียบการและวิธีปฏิบัติในเวลาเช่นนี้ด้วย

    "กระผมจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วขอรับ"

    นางไวซึ่งนั่งฟังอยู่ห่างๆ เสริมขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนายสาว

    "ให้พ่อกริชไปด้วยดีแล้วแหละเจ้าค่ะ เวลาอย่างนี้คุณจะนั่งรถไฟไปคนเดียวได้อย่างไรกัน"

    นางเองก็อยากกลับไปด้วย แต่เห็นจริงตามที่ชายหนุ่มว่า นางอายุมากแล้ว แม้อาการไข้จะดีขึ้นแล้ว แต่ถ้ากลับไปด้วยในเวลาอย่างนี้ก็รังแต่จะเป็นภาระของนายเสียเปล่าๆ ว่าไปแล้วอยู่ที่นี่ก็สบายดี ชะอำอากาศปลอดโปร่ง เงียบสงบ อีกทั้งยังเห็นเด็กหนุ่มอยู่กันตามลำพังเพียงสองคน อาหารการกินหรือก็ตามมีตามเกิด คิดว่าอาจพอช่วยดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยและข้าวปลาอาหารได้ในระหว่างนี้ ในเมื่อที่บ้านริมคลองสาทร 'คุณหญิง' แทบไม่ยอมให้นางแตะต้องงานอะไรอีกแล้ว

    'ยายแก่แล้ว อยู่เฉยๆ เถอะจ๊ะ' เธอเคยบอกกึ่งสั่งว่าอย่างนั้น

    นางไวทำงานมาตลอดชีวิต จะให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกัน ถ้าอยู่ที่นี่คงทำประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย

    "กริชแน่ใจนะจ๊ะว่าจะไม่เดือดร้อน"

    ถึงกระนั้นคุณหญิงวัยสาวก็ยังอดเกรงใจเสียมิได้ กริชหาใช่เด็กในบ้านของสามีเหมือนก่อนอีกแล้ว เวลานี้เขาเติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม มีการศึกษาดี มีหน้าที่การงานที่มีเกียรติ

    "คุณหญิงวางใจเถิดขอรับ"

    สรุปเรื่องนั้นแล้วเขาชี้ให้เห็นถึงความเร่งร้อนของสถานการณ์

    "ญี่ปุ่นกำลังเคลื่อนกองทหารเข้าพระนครขอรับ เกรงกันว่าถ้าญี่ปุ่นยึดทางเดินรถไฟคุณหญิงจะติดอยู่ที่นี่ เราต้องไปกันวันนี้เลยขอรับ มีรถไฟเที่ยวจากชุมพรอีกเที่ยว มาถึงบ่ายนี้ขอรับ"

    "ถ้ากริชเห็นว่าอย่างนั้น…ก็ได้จ้ะ"

    การเป็นเมียนายทหารซึ่งผ่านอะไรมาแล้วมากมายทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็ว และเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่หันกลับไปพิรี้พิไรใดๆ อีก

    เมื่อได้คำตอบรับ นายธรรมการหนุ่มขยับลุกจากเก้าอี้ทันควัน

    "ถ้าคุณหญิงไม่ว่ากระไร กระผมจะไปจองตั๋วรถไฟเดี๋ยวนี้เลยขอรับ"

    เธอลุกตาม จะทำอะไรก็คงต้องรีบทำ เวลากระชั้นอย่างนี้

    "ฉันจะไปเก็บเสื้อผ้า ให้ฉันจัดกระเป๋าให้ไหมจ๊ะกริช"

    ได้ยินข้อเสนอนั้นกริชซาบซึ้งใจเสียนัก เพียงแค่คุณหญิงตัดเย็บเสื้อกางเกงมาให้เขาและสุชัยคนละสองชุดก็ตื้นตันจนล้นเหลือแล้ว รู้ว่าเธอคงเย็บเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยตัวเอง เสื้อกางเกงซึ่งเธอเตรียมมาให้สามีก็คงเย็บด้วยตัวเองเช่นกัน นั่นก็หลายชุดพออยู่แล้ว ยังเสื้อกันหนาวอีก คงไม่ได้หลับได้นอนเลยกระมัง

    "กระผมกลับมาจัดเองได้ขอรับ คุณหญิงอย่าต้องลำบากเลย"

    กริชตัดสินใจถีบจักรยานไปสถานีรถไฟเพื่อจองตั๋วแทนที่จะเดิน ในเมื่อมีเวลาไม่มากนัก ปกติเขาไม่ค่อยได้ใช้จักรยานซึ่งสรรพากรอำเภอทิ้งไว้ก่อนย้ายออกไปสักเท่าไรนัก มันจึงถูกทิ้งอยู่ใต้ถุนบ้านจนขึ้นสนิมเกือบทั้งคันแล้ว

    พอคล้อยหลังเจ้าของบ้านพัก นางไวก็มานั่งกอดเข่าเจ่าจุกดูนายสาวพับเสื้อและผ้าซิ่นซึ่งติดตัวมาเพียงไม่กี่ชุดลงกระเป๋าตาละห้อย แม้จะเห็นว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากก็ยังไม่วายทั้งอาลัยทั้งเป็นห่วงหญิงสาวซึ่งตัวมีส่วนเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยแยกจากกัน นอกจากเวลาที่เธอต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากนั้นไปไหนก็หอบหิ้วกันไป คุณหญิงย้ายไปอยู่บ้านสามีนางก็ติดตามไปอยู่ด้วย

    "ฉันไม่ได้ทอดทิ้งยายหรอกนะจ๊ะ ไปดูทางพระนครเสียก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าที่นั่นไม่น่ากลัว ฉันจะกลับมารับยายจ้ะ"

    มือเหี่ยวย่น...ร้อนระอุด้วยพิษไข้ซึ่งยังคงมีอยู่...วางทาบลงบนหลังมือที่กำลังจะปิดกระเป๋า คำพูดซึ่งอ่อนหวานเสมอทำให้นางไวอดคิดไม่ได้ว่าอย่างนี้นี่เล่าเจ้าคุณผู้สามีจึงได้หวงแหนเสียนัก ก็ดูเอาเถอะ นางเคยเห็นกับตา ผู้ชายไม่ว่าหน้าไหนมองคุณหญิงของท่านนานเกินไปก็จะได้เห็นปฏิกิริยาไม่ชอบอกชอบใจเป็นผลตอบกลับแทบจะทันทีทันควัน

    ไอรีนมีเสื้อผ้าของตัวเองติดตัวมาเพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนที่เหลือเป็นเสื้อ กางเกง และเสื้อกันหนาวซึ่งเตรียมมาให้สามี นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเสื้อกางเกงซึ่งเธอติดมาให้กริชและสุชัย เมื่อเอาเสื้อผ้าพวกนั้นออกหมด กระเป๋าจึงว่างเลยทีเดียว

    "คุณเจ้าขา อย่าห่วงบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตาย บ่าวอยู่ที่นี่ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ จะได้ไม่ไปเป็นภาระของคุณอีกคน"

    นางรู้เห็นและเข้าใจภาระของนายสาวได้ดีกว่าใคร แม้ลึกๆ จะสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล สังหรณ์ใจว่าบางทีอาจไม่มีโอกาสได้เห็น 'คุณ' ของนางอีก ทำใจให้คิดอยู่แต่ว่าคงเป็นเพราะสภาพสงครามซึ่งฟังดูน่าประหวั่นพรั่นพรึง อีกทั้งสถานการณ์อย่างนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าจะจบสิ้นลงเมื่อไร และจะมีผลต่อผู้คนอย่างไร ถ้าจากกันในเวลาปกติเหมือนครั้งที่หญิงสาวไปเข้าโรงเรียนประจำ นางคงไม่รู้สึกเช่นนี้

    "ถ้ากรุงเทพไม่มีอะไรน่ากลัว ฉันจะกลับมารับยายนะจ๊ะ" ไอรีนย้ำประโยคนั้นอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าวันนั้นจะมาไม่ถึง

    เธอเคยคิด...เมื่อสงครามสงบแล้ว...ว่าถ้ารู้อะไรล่วงหน้า เธอจะทิ้งยายไวไว้ที่ชะอำไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่