ก่อนที่ผมจะมาฝึกในแนวทางนี้ ผมเสียเงินกับการเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเยอะมากเป็นหมื่นๆ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ผมก็ยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกแปลไม่ได้เหมื่อนเดิม แต่ผมก็ไม่ท้อน่ะครับ ก็หาข้อมูลจากกูเกิลนี้ล่ะว่าทำยังไงถึงจะอ่านภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจ ได้ข้อมูลว่าให้ดูหนังซับไทยมั้ง ฟังเพลงอังกฤษมั้ง อ่านนิยายอังกฤษมั้งผมลอง

ทุกอย่างเลยครับแต่ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย จนมาถึงวิธีสุดท้ายอ่านนิยายอังกฤษ หนังสือแรกที่ผมอ่านก็แฮรี่พอตเตอร์นี้ล่ะครับ ยืมมาจากพี่ชายอีกที แต่อ่านไม่จบหรอกน่ะครับเบื่อก่อน หลังจากอ่านไปได้ 10กว่าหน้า เพราะต้องเปิดดิกแปล

ทุกคำเลยแถมแปลเสร็จต้องมานั่งเรียงคำคำให้เป็นประโยคอีกว่ามันจะสื่ออะไร ตอนนั้นถึงกับเอาหนังสือทุบหัวตัวเองเลยล่ะครับ ว่าทำไมเราถึงโง่อย่างนี้ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ยุ่งกับภาษาอังกฤษนานเลยครับ จนวันหนึ่งต้องไปซื้อหนังสือเรียนที่ศูนย์เรียนที่ศูนย์หนังสือไปกับเพื่อนแลัวพบเจอกับหนังสือนิทานสำหรับเด็ก
ก็ที่แปลหน้าต่อหน้าพร้อมกับคำอ่านลองเปิดๆอ่านดู แฮะพอเข้าใจแฮะ ก็ซื้อไป 2 เล่ม(หนังสือสำหรับเด็กอนุบาล) โดนเพื่อนล้อเสียเลยว่าอนุบาลหมีน้อย พอกลับไปอ่านเข้าใจแฮะ ถ้าไม่เข้าใจก็แปลกล่ะเพราะมันแปลหน้าต่อหน้า ผมก็เริ่มทะยอยซื้อไปอ่าน 10เล่มแรกจำได้เลยดูแถบที่เขาแปลไว้ข้างหน้ากระดาษเกือบทุกคำ แต่พอผ่านๆไป20-30เล่ม ก็แทบไม่ได้ดูแถบที่เขาแปลไว้ให้เลย พออ่านๆไปสัก50เล่มได้ก็เบือครับเริ่มไม่ท้าทายล่ะ เพราะอ่านแบบไม่ดูแถบข้างแล้วเข้าใจเกือบหมด ทีนี้ผมก็อยากอ่านอังกฤษที่มันเป็นนิยายจริงๆกับเขามั่งสิครับก็ไปจัด หนังสือ Oxford ซึ่งมันก็ยังมีแปลให้หน้าต่อหน้าแต่ก็น้อยจึงต้องเปิดดิกช่วยถ้าคำไหนผมเดาคำแล้วมันแหม่งๆไม่สอดคล้องกับประโยค แต่ด้วยความขี้เกรียจของกระผม ผมก็เลยไปซื้อTalking Dict มาซ่ะเลยอิอิ กดอย่างเดียวอ่านสบายเลย พออ่านไปได้6-7เล่มนี้ผมก็แถบไม่เปิดดิกและไม่ดูแถบที่เขาแปลให้แล้วล่ะครับ ผมก็ไล่อ่านมันจนครบทุกเล่มล่ะครับ หลังจากนั้นผมก็อ่านพวกนิยายเยาว์ชนไม่ลำบากมากนัก เช่น Divergent Hunger Games อื่นๆ แต่บอกตามตรงผมเข้าใจแค่60-75% เองน่ะครับ เพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่องไวยากรณ์อาศัยอ่านเยอะๆผ่านตาเยอะๆพอผ่านตาเยอะๆมันรู้สึกจำได้เองและนึกขึ้นมาได้เองเวลาเจอรูปแบบประโยคแบบนี้ วิธีที่ผมใช้มันค่อนข้างดิบๆๆน่ะ ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไรน่ะครับ
ฝึกษาอังกฤษจากการอ่านนิยายอังกฤษ (เป็นกำลังใจให้แก่ผู้กำลังฝึกในแนวทางนี้)
ก็ที่แปลหน้าต่อหน้าพร้อมกับคำอ่านลองเปิดๆอ่านดู แฮะพอเข้าใจแฮะ ก็ซื้อไป 2 เล่ม(หนังสือสำหรับเด็กอนุบาล) โดนเพื่อนล้อเสียเลยว่าอนุบาลหมีน้อย พอกลับไปอ่านเข้าใจแฮะ ถ้าไม่เข้าใจก็แปลกล่ะเพราะมันแปลหน้าต่อหน้า ผมก็เริ่มทะยอยซื้อไปอ่าน 10เล่มแรกจำได้เลยดูแถบที่เขาแปลไว้ข้างหน้ากระดาษเกือบทุกคำ แต่พอผ่านๆไป20-30เล่ม ก็แทบไม่ได้ดูแถบที่เขาแปลไว้ให้เลย พออ่านๆไปสัก50เล่มได้ก็เบือครับเริ่มไม่ท้าทายล่ะ เพราะอ่านแบบไม่ดูแถบข้างแล้วเข้าใจเกือบหมด ทีนี้ผมก็อยากอ่านอังกฤษที่มันเป็นนิยายจริงๆกับเขามั่งสิครับก็ไปจัด หนังสือ Oxford ซึ่งมันก็ยังมีแปลให้หน้าต่อหน้าแต่ก็น้อยจึงต้องเปิดดิกช่วยถ้าคำไหนผมเดาคำแล้วมันแหม่งๆไม่สอดคล้องกับประโยค แต่ด้วยความขี้เกรียจของกระผม ผมก็เลยไปซื้อTalking Dict มาซ่ะเลยอิอิ กดอย่างเดียวอ่านสบายเลย พออ่านไปได้6-7เล่มนี้ผมก็แถบไม่เปิดดิกและไม่ดูแถบที่เขาแปลให้แล้วล่ะครับ ผมก็ไล่อ่านมันจนครบทุกเล่มล่ะครับ หลังจากนั้นผมก็อ่านพวกนิยายเยาว์ชนไม่ลำบากมากนัก เช่น Divergent Hunger Games อื่นๆ แต่บอกตามตรงผมเข้าใจแค่60-75% เองน่ะครับ เพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่องไวยากรณ์อาศัยอ่านเยอะๆผ่านตาเยอะๆพอผ่านตาเยอะๆมันรู้สึกจำได้เองและนึกขึ้นมาได้เองเวลาเจอรูปแบบประโยคแบบนี้ วิธีที่ผมใช้มันค่อนข้างดิบๆๆน่ะ ไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไรน่ะครับ