จากเพจ ทนายนอกศาล
"กับดัก" ที่อันตรายที่สุดในการซื้อรถมือสอง (แบบซื้อขายกันเอง) ... นั่นคือ "การโอนลอย"!
นี่คือจุดที่เปลี่ยนจาก "การซื้อ" เป็น "การถูกโกง" ได้ง่ายที่สุด "การโอนลอย" คือการที่คุณจ่ายเงินครบ แต่ได้รับแค่ "ชุดเอกสาร" (เล่มทะเบียน + ใบโอน + สำเนาบัตร ปชช. ของเจ้าของเก่า) มาดำเนินการเองทีหลัง
"มุมมืด" ที่คนไม่ค่อยพูดถึง: ทำไมเจ้าของเก่าถึง "ไม่ยอมโอน" ในภายหลัง?
ตั้งใจโกง (Scam): เขารับเงินคุณไปแล้ว แต่ก็ไปแจ้งความว่า "เล่มทะเบียนหาย" แล้วไปขอออกเล่มใหม่ที่ขนส่ง จากนั้นนำเล่มใหม่ไปขายต่อให้คนอื่น (รถคันเดียวมีเจ้าของ 2 คน) หรือนำไปกู้ไฟแนนซ์
มีปัญหาซ่อนเร้น (Hidden Problem): รถคันนั้นถูก "อายัด" จากเจ้าหนี้, คดีความ, หรือไฟแนนซ์อยู่ ซึ่งเขารู้ดีว่า "โอนไม่ได้" แต่จงใจปกปิดเพื่อรีบขาย
กับดักใบสั่ง (Ticket Trap): มีใบสั่งที่โดนกล้องถ่ายค้างในระบบเยอะมาก พอคุณไปโอน ขนส่งจะบังคับให้คุณ "จ่ายใบสั่งเก่าทั้งหมด" ก่อน
เคล็ดลับที่ 1: "วิธีที่ปลอดภัยที่สุด" (The 100% Safe Move)
"ห้ามโอนลอย... ให้โอนที่ขนส่งเท่านั้น" นี่คือวิธีที่ "โปร" เขาทำกัน และเป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัย 100% ถ้าผู้ขาย "สุจริตใจ" เขาต้องทำตามวิธีนี้ได้
ขั้นตอน (The Process):
นัดเจอกันที่ "สำนักงานขนส่ง" (DLT)
นำรถไปตรวจสภาพ และยื่นเอกสารการโอน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ด้วยกันทั้งคู่
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบทุกอย่าง (ลายเซ็นจริงไหม? รถถูกอายัดหรือไม่? มีใบสั่งค้างไหม?)
จังหวะ "จ่ายเงิน" (The Golden Moment): ห้ามจ่ายเงินก่อนเด็ดขาด ให้จ่ายเงิน (หรือโอนผ่าน App) หลังจากที่ เจ้าหน้าที่ขนส่ง "ยืนยัน" ว่าเอกสารทุกอย่างถูกต้อง และกำลังดำเนินการออกเล่มใหม่ที่เป็น "ชื่อของคุณ"
คุณรับเล่มทะเบียนที่เป็นชื่อคุณกลับบ้าน ส่วนผู้ขายได้เงินกลับบ้าน จบในวันเดียว
"มุมมืด" (Red Flag):
ถ้าผู้ขายบ่ายเบี่ยง อ้างว่า "ไม่ว่างไปขนส่ง", "ติดธุระ" หรือ "เดี๋ยวเซ็นลอยไว้ให้" นี่คือสัญญาณอันตรายสูงสุด ให้สงสัยไว้ก่อนว่ารถอาจมีปัญหา
เคล็ดลับที่ 2: "ถ้าจำเป็นต้องโอนลอย" (วิธีทำสัญญาที่รัดกุมที่สุด)
หาก "จำเป็น" ต้องโอนลอยจริงๆ คุณต้องสร้าง "เกราะป้องกัน" ทางกฎหมาย ห้ามใช้สัญญาซื้อขายหน้าเดียวจบแบบทั่วไป
A. เช็กลิสต์ "ชุดเอกสารโอนลอย" (ห้ามพลาด)
เล่มทะเบียนรถ (เล่มเขียว): ต้องเป็น "ตัวจริง"
สำเนาบัตรประชาชน (เจ้าของเก่า): "ห้ามหมดอายุ" (สำคัญที่สุด!) และต้องมีลายเซ็นรับรองสำเนา
สำเนาทะเบียนบ้าน (เจ้าของเก่า): (เหมือนข้อ 2)
แบบคำขอโอน (ใบโอนของขนส่ง): ต้องมีลายเซ็นผู้โอน (เจ้าของเก่า) ในช่อง "ผู้โอน" (เคล็ดลับ: ให้คุณกรอกชื่อ "ผู้รับโอน" (ชื่อคุณ) ลงไปต่อหน้าเขาเลย)
หนังสือมอบอำนาจ (เผื่อไว้): ให้เขาเซ็นในช่อง "ผู้มอบอำนาจ"
B. 3 "ประโยคทอง" ที่ต้องมีในสัญญา (ไม้ตายทางกฎหมาย) ใน "สัญญาซื้อขายรถยนต์" ของคุณ ต้องเพิ่ม 3 ข้อนี้เข้าไปเพื่อ "มัดตัว" ผู้ขาย:
1. ประโยคทองที่ 1 (รับประกันการโอน): "ผู้ขายขอรับรองว่า รถยนต์คันนี้ (ทะเบียน...) ไม่มีภาระผูกพัน, การอายัด, หรือหนี้สินใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีความหรือเจ้าหนี้ และผู้ขายรับประกันว่าผู้ซื้อจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันนี้ได้ตามกฎหมายทุกประการ"
2. ประโยคทองที่ 2 (บทลงโทษขั้นเด็ดขาด): "หากภายหลังปรากฏว่าผู้ซื้อ ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันนี้ได้ ด้วยเหตุผลใดๆ ที่มาจากตัวผู้ขาย (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การที่ผู้ขายแจ้งอายัด, แจ้งเล่มหาย, หรือรถมีภาระผูกพันซ่อนเร้น) ผู้ขายตกลงยินยอม คืนเงินค่ารถยนต์เต็มจำนวน และชำระ ค่าเสียหายและค่าปรับ ให้แก่ผู้ซื้อเป็นจำนวนเงิน ... (เช่น 50,000 บาท)... บาท ทันที"
3. ประโยคทองที่ 3 (จัดการใบสั่งเก่า): "ผู้ขายขอรับผิดชอบ ใบสั่งจราจรและค่าปรับทั้งหมด ที่เกิดขึ้น ก่อน วันที่และเวลาที่ทำสัญญานี้ หากผู้ซื้อไม่สามารถดำเนินการโอนรถหรือต่อภาษีได้เนื่องจากใบสั่งค้างชำระดังกล่าว ผู้ขายตกลงเป็นผู้ชำระค่าปรับนั้นทั้งหมด"
เคล็ดลับที่ 3: "หลักฐานมัดตัว" (The Evidence Lock)
ห้ามจ่ายเงินสด: ให้โอนเงินผ่าน Mobile Banking เท่านั้น "สลิปการโอน" คือหลักฐานที่ดีที่สุด
ถ่ายวิดีโอตอนเซ็น: ถ่ายคลิปสั้นๆ ตอนที่ผู้ขายกำลัง "เซ็นชื่อ" ในสัญญา และใน "ชุดโอนลอย"
ถ่ายรูปคู่: ถ่ายรูปผู้ขาย "ถือบัตรประชาชนตัวจริง" คู่กับ "เล่มทะเบียนรถ"
สรุป: วิธีที่ดีที่สุดคือ "ไปโอนที่ขนส่ง" (เคล็ดลับที่ 1) แต่ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ให้ใช้ "สัญญารัดกุม" (เคล็ดลับที่ 2) + "หลักฐานมัดตัว" (เคล็ดลับที่ 3) รวมกัน คุณจะปลอดภัยที่สุดครับ
ภาพจากเพจ
"กับดัก" ที่อันตรายที่สุดในการซื้อรถมือสอง (แบบซื้อขายกันเอง) ... นั่นคือ "การโอนลอย"