สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
1. ธุรกิจแอลกอฮอลเป็นธุรกิจที่มีภาษีสูงครับ โดยเฉพาะในประเทศไทยสูงถึง 150% ความเสี่ยงของธุรกิจแอลกอฮอลคือ ภาษีมีแนวโน้มจะสูงขึ้นได้อีก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาษีสูง จะกระทบยอดขายตามหลักของราคาสินค้าที่แพงขึ้น ก็มีโอกาสทำให้คนบริโภคลดลง
2. การทำธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ หรือธุรกิจอาหาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกัน ทำให้เกิดการ Diversify ในตัวของบริษัท หรือก็คือการกระจายความเสี่ยง ถ้าทั้งบริษัทยืนอยู่แค่ธุรกิจแอลกอฮอล แล้วเกิดปัญหาแบบข้อที่ 1 จนยอดขายลดวูบ กิจการก็มีปัญหา คงไม่ถึงกับเจ๊ง แต่แน่นอนว่ายอดขายลด กำไรก็ลดลง ในขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ ภาษีไม่มาก กำไรยังดี แม้ว่าจะมีคู่แข่งเยอะ แต่มันก็เสมือนการ Diversify ของบริษัท
3. แบรนด์ใหญ่โดยเฉพาะที่ทำกิจการเครื่องดื่มต่างๆ เขามีช่องทางการจัดส่ง การดีลกับร้านค้าผู้จัดจำหน่าย ตั้งแต่ห้างค้าปลีก ค้าส่ง ยี่ปั๊วะ ร้านอาหาร โรงแรม ภัตตาคาร ฯลฯ ดังนั้นการนำเครื่องดื่มชนิดอื่นๆเข้าไปจัดจำหน่ายด้วย ด้วยการที่เขามีช่องทางการจัดส่ง การค้า อยู่แล้ว เขาก็สามารถดำเนินการได้ง่าย ต้นทุนการจัดส่งสินค้าเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่มีช่องทางการจัดส่ง หรือตลาดเพื่อขาย
4. สินค้าแบรนด์ใหญ่สามารถทำการตลาดได้ง่าย เพราะพวกเขามีทั้งทุน มีทั้งช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ "มีแบรนด์" เป็นตัวสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ แม้ว่าบริษัทจะผลิตสินค้าทำลายสุขภาพ (เครื่องดื่มแอลกอฮอล) แต่ก็สามารถผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพได้เช่นกัน (แม้ว่าจะมีน้ำตาลเยอะมากแต่ก็เอาเถอะ อนุโลมว่ามันไม่มึนเมาจนกลายเป็นเหตุทะเลาะ/อุบัติเหตุก็แล้วกัน)
5. สินค้าจำพวกเหล้า เบียร์ แอลกอฮอลต่างๆ บริษัทเองก็จำเป็นต้องหา Product หรือสูตรใหม่ๆ เพื่อมาตอบสนองกับตลาดด้วย เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ ใน Product ชนิดหนึ่ง เองก็ยังต้องมีการ Diversify และในตัวบริษัทขนาดใหญ่เอง ก็จำเป็นต้องมีการ Diversify เพื่อกระจายสัดส่วนรายได้และผลกำไร (กระจายความเสี่ยง)
2. การทำธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ หรือธุรกิจอาหาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกัน ทำให้เกิดการ Diversify ในตัวของบริษัท หรือก็คือการกระจายความเสี่ยง ถ้าทั้งบริษัทยืนอยู่แค่ธุรกิจแอลกอฮอล แล้วเกิดปัญหาแบบข้อที่ 1 จนยอดขายลดวูบ กิจการก็มีปัญหา คงไม่ถึงกับเจ๊ง แต่แน่นอนว่ายอดขายลด กำไรก็ลดลง ในขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ ภาษีไม่มาก กำไรยังดี แม้ว่าจะมีคู่แข่งเยอะ แต่มันก็เสมือนการ Diversify ของบริษัท
3. แบรนด์ใหญ่โดยเฉพาะที่ทำกิจการเครื่องดื่มต่างๆ เขามีช่องทางการจัดส่ง การดีลกับร้านค้าผู้จัดจำหน่าย ตั้งแต่ห้างค้าปลีก ค้าส่ง ยี่ปั๊วะ ร้านอาหาร โรงแรม ภัตตาคาร ฯลฯ ดังนั้นการนำเครื่องดื่มชนิดอื่นๆเข้าไปจัดจำหน่ายด้วย ด้วยการที่เขามีช่องทางการจัดส่ง การค้า อยู่แล้ว เขาก็สามารถดำเนินการได้ง่าย ต้นทุนการจัดส่งสินค้าเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่มีช่องทางการจัดส่ง หรือตลาดเพื่อขาย
4. สินค้าแบรนด์ใหญ่สามารถทำการตลาดได้ง่าย เพราะพวกเขามีทั้งทุน มีทั้งช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ "มีแบรนด์" เป็นตัวสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ แม้ว่าบริษัทจะผลิตสินค้าทำลายสุขภาพ (เครื่องดื่มแอลกอฮอล) แต่ก็สามารถผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพได้เช่นกัน (แม้ว่าจะมีน้ำตาลเยอะมากแต่ก็เอาเถอะ อนุโลมว่ามันไม่มึนเมาจนกลายเป็นเหตุทะเลาะ/อุบัติเหตุก็แล้วกัน)
5. สินค้าจำพวกเหล้า เบียร์ แอลกอฮอลต่างๆ บริษัทเองก็จำเป็นต้องหา Product หรือสูตรใหม่ๆ เพื่อมาตอบสนองกับตลาดด้วย เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ ใน Product ชนิดหนึ่ง เองก็ยังต้องมีการ Diversify และในตัวบริษัทขนาดใหญ่เอง ก็จำเป็นต้องมีการ Diversify เพื่อกระจายสัดส่วนรายได้และผลกำไร (กระจายความเสี่ยง)
แสดงความคิดเห็น
บริษัทที่ทำธุรกิจแอลกอฮอล์ใหญ่ๆ น่าจะขายดีอยู่แล้ว จะมาทำธุรกิจ นอน-แอลกอฮอล์ ให้เหนื่อยอีกทำไม
แล้วเขาจะมาทำธุรกิจอื่นที่ มีการแข่งขันสูง หรือ คู่แข่งมาก หรือลูกค้าไม่ได้เยอะ อย่างอื่นอีกทำไมครับ จะคุ้มสำหรับเขาหรือครับ