ทำไมวิทยาศาสตร์ถึงแก้ความงมงายบางอย่างไม่ได้นะ

กระทู้คำถาม
คืองี้ เราอ่ะเคยคิดว่า เอ๊... ทำไมวิทยาศาสตร์ถึงแก้ความงมงายบางอย่างไม่ได้นะ ทั้งที่มีการพิสูจน์ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ตีลังกายัน มีคลิปวิดิโอ มีการทดลองสารพัดก็ตั้งเยอะแล้ว จนได้อ่านหนังสือเล่มนึง อธิบายได้ดีมาก ไม่รู้ว่าเคยอ่านกันรึยัง แต่อยากเอามาบอกต่อเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน เรายังไม่บอกชื่อหนังสือนะ อยากให้อ่านเนื้อหาก่อน แต่ถ้าอ่านแล้วไม่เห็นด้วย ไม่พอใจก็อย่าด่าเรานะ 55

ขอบคุณล่วงหน้า

ปล.เราตัดมา 1 ใน 3 นะ เนื้อหาเยอะมากกกกก เอาเฉพาะส่วนที่ตอบคำถามเราได้มาลงน่ะ 555
--------------------------------------------------------------

1.ก่อนอื่น เราคงจะต้องยอมรับกันถึงคุณค่า หรือประโยชน์ หรือจะเรียกเป็นศัพท์สูงๆ หน่อยก็คือ คุณูปการที่วิทยาศาสตร์ได้ทำไว้ให้แก่มนุษยชาติ วิทยาศาสตร์มีประโยชน์เป็นอเนกอนันต์ เช่น เครื่องบิน วิทยุ โทรศัพท์ ดาวเทียม วงการแพทย์ และชีววิทยา

2.แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้แต่ในชีวิตประจำวันที่ใกล้ตัวเดี๋ยวนี้ คนก็ถูกคุกคามด้วยภัยธรรมชาติอย่างใหม่อันนี้กันมาก เช่น ผักหรือปลาแช่ฟอร์มาลิน อันนี้ก็เป็นสภาพปัจจุบันที่คนไม่น้อยมีความหวาดกลัวมีชีวิตอยู่ด้วยความระแวงหวั่นใจ แล้วมันก็คุกคามต่อชีวิตของคนจริงๆ

3.เวลานี้วิทยาศาสตร์ได้เข้าไปแปลกปนอยู่ในธรรมชาติ คือ เรารู้สึกเหมือนกับว่าวิทยาศาสตร์กับธรรมชาติเวลานี้เป็นคนละพวก คือ คนมองคล้ายๆ กับว่าวิทยาศาสตร์เป็นพวกหนึ่ง และธรรมชาติเป็นอีกพวกหนึ่ง เป็นคนละพวกกัน ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ววิทยาศาสตร์ก็คือการศึกษาธรรมชาติ อยู่ด้วยกันมากับธรรมชาติ

4.วิทยาศาสตร์นั้นโดยพื้นฐานของมัน จะต้องเป็นพวกเดียวกับธรรมชาติ แต่ปัจจุบันนี้คนได้มีความรู้สึกว่า สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่มิใช่ธรรมชาติ เราเคยเรียกสิ่งที่ทำขึ้นมาด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เอามาประยุกต์ใช้โดยผ่านทางเทคโนโลยี ว่าเป็นของวิทยาศาสตร์ เราเรียกชื่อโดยเอาคำว่าวิทยาศาสตร์ต่อท้ายคำนั้นๆ เช่น ไตที่ทำด้วยเทคโนโลยี ก็เป็นไตวิทยาศาสตร์ ปอดที่ทำด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็เป็นปอดวิทยาศาสตร์

5.แล้วต่อมาบางทีก็เปลี่ยนเรียกปอดวิทยาศาสตร์ เป็นปอดเทียมไปไตวิทยาศาสตร์ก็เป็นไตเทียม เอ๊ะ! ไปๆ มาๆ ของวิทยาศาสตร์นี่กลายเป็นของเทียมไปแล้ว

6.ทีนี้ถ้ามองลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก มนุษย์นี้ประกอบด้วยกายกับใจ โลกวิทยาศาสตร์นั้น เป็นโลกฝ่ายวัตถุ ซึ่งควรจะเข้าคู่กันกับฝ่ายกายในชีวิตของมนุษย์ แต่พอเรามาพิจารณาในแง่นี้ กลับปรากฏว่า ส่วนร่างกายนี้ยังไม่เปลี่ยน แต่ส่วนที่เปลี่ยนกลับเป็นส่วนจิตใจ

7.หมายความว่า วิทยาศาสตร์ได้มีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีจิตใจแบบจิตใจเทียม คือเป็นจิตใจที่ชื่นชอบของวิทยาศาสตร์ร่วมหอลงโรงกับของวิทยาศาสตร์ หันไปหาของเทียม เป็นจิตใจที่แปลกแยกจากธรรมชาติ

8.สิ่งที่เราต้องการคือเทคโนโลยีชนิดไปทำประโยชน์ แต่ตอนนี้มันเกิดปัญหาขึ้นมาเพราะกลายเป็นว่าเอาเทคโนโลยีไปหาประโยชน์ และคนนี่แหละที่เป็นตัวการ แทนที่จะเอาเทคโนโลยีไปทำประโยชน์ ก็เอาไปหาประโยชน์

9.เมื่อปัญหาอยู่ที่การใช้หรือเอาไปใช้ ตั้งแต่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ผิดๆ ตลอดจนเอาเทคโนโลยีไปใช้เพื่อหาประโยชน์ หรือแม้แต่เอาไปใช้ทำลายกันก็ตาม ทั้งหมดนั้น ก็เป็นปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ทั้งสิ้น

10.เมื่อปัญหาเกิดจากมนุษย์ ก็มาลงที่เรื่องจริยธรรม หรือศีลธรรมเท่านั้นเอง วิธีแก้ปัญหาทั้งหมดก็มีคำตอบที่ตรงไปตรงมา แน่นอนและง่ายที่สุด คือ เมื่อคนมีศีลธรรมหรือมีจริยธรรมแล้ว ปัญหาก็หมดไปวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะถูกใช้ในทางที่เป็นคุณ

11.เวลาคนพูดถึงคุณค่าของวิทยาศาสตร์นั้น คนเขามองเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ ผ่านทางเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้น

12.วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีนี้ได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ในความเจริญก้าวหน้ามาด้วยกัน ที่จริงนั้นเทคโนโลยีก็เป็นปัจจัยที่ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามาได้มากมาย

13.อะไรเล่า ที่ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามาได้ สิ่งนั้นก็คือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญก็คือ การสังเกตและการทดลอง ในการสังเกตทดลองเบื้องต้น จะใช้ประสาททั้ง ๕ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยเฉพาะก็ตาคือดู แล้วก็หูคือฟัง แล้วก็กายคือสัมผัส สามอย่างนี้สำคัญอย่างยิ่ง ในการสังเกตทดลองทางวิทยาศาสตร์

14.แต่อินทรีย์ของมนุษย์ หรือประสาทอย่างที่ว่าเมื่อกี้ (ทางพระใช้คำว่าอินทรีย์) มันมีขีดขั้น มีวิสัยจำกัด เราใช้ตาดูดาวไปได้ไม่ไกลเท่าไร เห็น จักรวาลไม่กว้าง ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีเจริญขึ้น มีกล้องโทรทรรศน์ กล้องส่องดูดาว นั่นแหละจึงทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าไปได้

15.เวลานี้ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ได้มาไกลมากแล้ว จนกำลังจะสุดแดนแห่งโลกวัตถุ ขอบเขตของวิทยาศาสตร์นั้นอยู่ที่โลกวัตถุ แต่ตอนนี้มันจะสุดเขตของแดนแห่งโลกวัตถุแล้ว และกำลังเข้ามาจ่อแดนของจิตใจ

16.อย่างคอมพิวเตอร์เวลานี้มี AI แล้ว AI ก็คือ artificial intelligence ที่เขาเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นี้ ต่อไปจะทำให้คอมพิวเตอร์ มีจิตใจหรือไม่ เรื่องนี้กำลังเป็นปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยถกเถียงกันอยู่

17.อันนี้แสดงว่า วิทยาศาสตร์กำลังเข้ามาจ่อแดนของจิตใจ เมื่อจ่อแดนของจิตใจ ก็ก้าวเข้ามาสู่แดนของศาสนา

18.อีกด้านหนึ่งก็คือ ในแง่ของการพิสูจน์หรือวิธีพิสูจน์ เมื่อมาถึงขั้นนี้ วิธีการพิสูจน์นั้นก็กำลังจะพ้นเลยขอบเขตของอินทรีย์ 5 ออกไปแต่ก่อนนี้ เราใช้อินทรีย์ ๕ เปล่าเปลือย คือ ตา หู และร่างกายล้วนๆ แล้วต่อมาเราก็อาศัยอุปกรณ์ที่ขยายวิสัยแห่งอินทรีย์ของมนุษย์ เมื่ออินทรีย์เปล่าๆ ไม่สามารถจะรับรู้ หรือรับทราบได้ เราก็เอาพวกอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ขยายวิสัยอินทรีย์นั้นมาใช้

19.แต่มาถึงตอนนี้แม้แต่อุปกรณ์เหล่านั้นก็อาจจะพิสูจน์ไม่ไหว คือไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ เมื่อถึงขั้นนี้ การพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ก็กลายมาเป็นเรื่องของคณิตศาสตร์ คือใช้ภาษาคณิตศาสตร์เป็นสื่อ แล้วก็มาอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์

20.จุดกำเนิดของวิทยาศาสตร์คือความใฝ่รู้ในความจริงของธรรมชาติ ความใฝ่รู้ต่อความจริงของธรรมชาติ ซึ่งเป็นความคิดหมายใฝ่ฝันอยู่ในใจ พร้อมด้วยความเชื่อว่าในธรรมชาติมีกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลที่สม่ำเสมอแน่นอน สองประการนี้แหละเป็นฐานที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มประกอบกิจกรรม ในการค้นคว้าศึกษา หาความรู้ที่อยู่เบื้องหลังของธรรมชาติ

21.เพราะฉะนั้น จุดกำเนิดของวิทยาศาสตร์จึงอยู่ที่ใจของมนุษย์อยู่ที่ความใฝ่รู้และศรัทธาหรือความเชื่อ

22.มนุษย์ก็คิดว่า เมื่อไรเราเอาชนะธรรมชาติได้เราก็จะสามารถปรุงแต่งประดิษฐ์สร้างสรรค์วัตถุอะไรต่างๆ ขึ้นมาบำรุงบำเรอตนให้พรั่งพร้อม เมื่อนั้นเราก็จะมีความสุขอย่างสมบูรณ์ แล้วก็ค้นคิดวิทยาการมาทำการต่างๆ ตามแนวคิดนี้ ความเจริญก็เกิดขึ้นมากมายในยุคที่ผ่านมาซึ่งเรียกกันว่าเป็นยุคอุตสาหกรรม จนกระทั่งเกิดมีการพูดอย่างนี้ขึ้นมาว่าวิทยาศาสตร์ในยุคที่ผ่านมานี้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่รับใช้อุตสาหกรรม

23.เป็นอันว่า วิทยาศาสตร์นี้เป็นตัวสำคัญที่จะให้เข้าหรือให้ผ่านพ้นอุตสาหกรรมได้ ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกว่า ฉันนี่แหละที่เป็นผู้ทำให้อุตสาหกรรมเจริญขึ้นมาได้ แต่ในทางกลับกัน ทางฝ่ายอุตสาหกรรมก็บอกว่า วิทยาศาสตร์น่ะหรือ ก็เป็นผู้รับใช้ฉันน่ะซี แล้วแต่ใครจะพูด

24.มนุษย์นี้ ถูกภัยธรรมชาติบีบคั้น เกิดความกลัวภัยขึ้นมา ก็เริ่มที่จะหาคำตอบ และการที่จะหาคำตอบก็คือ เกิดความสนใจต่อธรรมชาตินั่นเอง ในฝ่ายศาสนานี้มีความใฝ่ปรารถนาจะพ้นภัยส่วนทางฝ่ายวิทยาศาสตร์ เราพูดไปแล้วเมื่อกี้ว่ามีความใฝ่ปรารถนาที่จะรู้ความจริงของธรรมชาติ ตรงนี้แหละที่จะเห็นจุดบรรจบเราพูดถึงฝ่ายศาสนาว่า มีความใฝ่ปรารถนาที่จะพ้นภัย

25.ธรรมชาติและภัยจากธรรมชาติที่มนุษย์หรือชีวิตจะต้องเผชิญนี้เป็นเรื่องต่อหน้า เกี่ยวข้องกับชีวิต ความเป็นความตาย ซึ่งจะต้องมีคำตอบ และปฏิบัติได้ทันที รอไม่ได้ ภัยอยู่ข้างหน้าแล้ว มันมาถึงแล้วสถานการณ์อยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะทำอย่างไรก็ทำ ต้องมีคำตอบให้ทำได้ทันที

26.พร้อมกันนั้นมันก็เป็นเรื่องของหมู่ชนหรือสังคมทั้งหมด ทุกคนจะต้องเผชิญร่วมกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะต้องมีผู้เสนอคำตอบขึ้น ชนิดที่จะให้ปฏิบัติได้ทันที ซึ่งพอแก่การถึงความยุติทีเดียว สำหรับหมู่ชนนั้นทั้งหมดพร้อมกัน เมื่อมีผู้เสนอคำตอบอย่างว่านั้นขึ้นแล้วและเป็นที่ยอมรับกัน คำตอบแบบนี้แหละก็ได้กลายมาเป็น “ศาสนา”

27.ทีนี้ อีกพวกหนึ่ง หรือพร้อมกันนั้นในคนเดียวกันนั่นเอง เมื่อผ่านสถานการณ์นั้นไปแล้ว หรือสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่บีบคั้น ก็มีเวลาที่จะค่อยรวบรวมหาข้อมูล คิดค้นตรวจสอบความจริงไปเรื่อยๆ พวกนี้ได้คำตอบมา เป็นความรู้จากการสังเกตและทดลอง ต่อมาเราเรียกว่าเป็น “วิทยาศาสตร์” เป็นความรู้จากการที่ค่อยๆ พิสูจน์ได้ทีละอย่างๆ ทีละเรื่องๆ มา

28.มีข้อสังเกตแทรกเข้ามาตรงนี้หน่อยหนึ่ง ดังได้กล่าวแล้วว่าศาสนาเป็นเรื่องของคนหมู่ใหญ่ทั้งสังคมหรือทั้งชุมชน ก็มีปัญหาว่า จะคุมแก่นคำสอนของตนให้คงอยู่ โดยให้คนทั้งหมดถือเหมือนกันทำเหมือนกันไปได้เรื่อยๆ อย่างไร คำตอบก็คือ ศาสนาเป็นเรื่องของศรัทธา มากับศรัทธาอยู่แล้ว ศาสนาก็เลยใช้ศรัทธาเป็นเครื่องคุมรักษาแก่นของตนไว้ โดยให้หลักความเชื่อที่จะต้องยึดถือและทำตามอย่างตายตัว ชนิดที่ไม่ต้องถามหาเหตุผล อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า dogma (ข้อกำหนดตายตัวของลัทธิ)

29.ส่วนวิทยาศาสตร์อยู่ในวงจำกัดของคนที่เข้าถึง ซึ่งจะต้องรู้จักใช้ปัญญา ก็รักษาสาระของตนไว้ด้วยความจริงที่พิสูจน์ได้ โดยใช้วิธีการที่ถูกต้อง วิทยาศาสตร์ก็จึงรักษาและเผยแพร่หลักของตนออกไป ด้วยวิธีการแห่งปัญญา ที่มีชื่อเฉพาะว่าวิธีวิทยาศาสตร์ (scientific method)

30.เพราะฉะนั้น มองในแง่หนึ่ง ศาสนาก็คือการให้คำตอบเบ็ดเสร็จคือ ให้คำตอบที่เชื่อว่าเป็นความจริงพื้นฐานของโลกและชีวิตอย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าความจริงรวบยอด จบทีเดียว คลุมจากข้างบนลงมาทีเดียวหมดเลย

31.แต่วิทยาศาสตร์นั้นตรงข้าม วิทยาศาสตร์เป็นการพยายามพิสูจน์ความจริงปลีกย่อยทีละเรื่องละอย่าง เป็นความจริงเฉพาะเรื่องเฉพาะอย่าง ก้าวไปหาความจริงที่ครอบคลุมทีละน้อยๆ

32.เพราะศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นอย่างที่ว่ามานี้ ก็เลยมีคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่พอใจทั้งกับศาสนาและกับวิทยาศาสตร์ คนพวกนี้ต้องการคำตอบเกี่ยวกับความจริงพื้นฐานของโลกและชีวิต ชนิดที่เป็นคำตอบเบ็ดเสร็จอย่างที่ว่ามาแล้ว

33.แต่เมื่อดูทางด้านศาสนา แม้จะให้คำตอบเบ็ดเสร็จถึงความจริงพื้นฐาน แต่คำตอบนั้นก็ไม่เห็นเป็นเหตุเป็นผลที่จะรู้เข้าใจได้ด้วยปัญญา จะให้เชื่อเพียงด้วยศรัทธา เขาก็รู้สึกว่ายอมรับไม่ได้

34.และเมื่อหันไปดูทางด้านวิทยาศาสตร์ แม้จะให้คำตอบเป็นเหตุเป็นผลพิสูจน์ได้ รู้เข้าใจด้วยปัญญา แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบชนิดเบ็ดเสร็จที่ความจริงพื้นฐาน เพราะยังพิสูจน์ไม่ถึง ซึ่งเขาก็รอไม่ได้

35.คนพวกนี้ก็เลยพยายามคิดค้นหาคำตอบขั้นเบ็ดเสร็จนั้นเอาเอง ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ใช้วิธีการคิดหาเหตุผล จะให้เข้าถึงความจริงพื้นฐานด้วยวิธีการทางเหตุผลนั้น โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์วิธีการหาความจริงเบ็ดเสร็จแบบนี้ ก็กลายเป็นวิชาการขึ้นมาอย่างหนึ่งเรียกว่าปรัชญา

36.ถ้าพูดแบบเอาง่ายเข้าว่า ก็อาจจะเทียบแดนความรู้ ๓ ประเภทนี้ได้ โดยกำหนดเอาที่คำตอบเบ็ดเสร็จเกี่ยวกับความจริงพื้นฐานของธรรมชาติ หรือของโลกและชีวิตเป็นหลัก กล่าวคือ
          1. วิทยาศาสตร์ยังไม่ให้คำตอบ โดยต้องรอการพิสูจน์ก่อน
          2. ปรัชญา พยายามให้คำตอบ ในระหว่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ โดยเอาความคิดเหตุผลแทนการพิสูจน์ไปก่อน
          3. ศาสนา ให้คำตอบเด็ดขาดไปเลย โดยไม่ต้องพิสูจน์

37.ทั้งวิทยาศาสตร์และปรัชญาต่างก็เกิดตามศาสนามา และต่างก็จะมาให้คำตอบที่มุ่งให้ชัดเจนจะแจ้งกว่าศาสนา แต่ทั้งสองอย่างก็ยังไม่อาจให้คำตอบที่สนองความต้องการที่จะพอแก่การและพอแก่ใจของมนุษย์ได้ ศาสนาจึงยังคงและยังต้องทำหน้าที่ให้คำตอบแบบทันทีทันใดที่พอแก่การ ซึ่งตั้งอยู่บนฐานแห่งศรัทธานั้นต่อไป
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 21
มีเพื่อนคนหนึ่ง มาถามผมว่า โจทย์ข้อนี้ทำถูกไหม
ผมอ่านโจทย์ ทำความเข้าใจสมการ อยู่พักนึง
แล้วบอกไปว่า ใช้สูตรทีเดียวไม่ออก โจทย์หลอก
เพื่อนบอกเชื่อมาตลอดว่า สูตรนี้ทำโจทย์แนวนี้ได้

สรุปว่า... วิทยาศาสตร์ หรือ ศาสนา ในปัจจุบัน
เราเชื่ออยู่ หรือ เราเข้าใจมันอยู่จริงๆ
เราเองไม่ได้ทำการทดลองเอง พอมีเหตุผลก็เชื่อแล้ว
หรือกล้าบอกว่า เราไปพบ ไปเห็น ด้วยตัวเราเอง

สุดท้าย...กลายเป็นการตั้งใจศึกษา หรือ ปฏิบัติ
อย่างยิ่ง ถึงควรถูกสรรเสริญ เพราะเราพบเองจริงๆ
เราสามารถบอกตัวเองได้ว่า เราเชื่อตามที่เราเข้าใจ
เราพร้อมเปลี่ยนแปลง เมื่อเราพบสิ่งที่มีเหตุผลกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่