เราอย่าเอาวิทยาศาสตร์ไป ปนกันกับศาสนาพุทธ
เพราะ เราไม่ใช่ นักวิทยาศาสตร์
( เราต้องรู้จักตัวเองด้วย ว่าเราเป็นอะไร เป็นนักเที่ยว นักเสพ นักกินเหล้า นักซื้อของเทคโนโลยี
เราไม่ใช่คนสร้าง หรือเราไม่ใช่นักดิษฐิ
แต่เราเป็น ชาวพุทธที่อยู่ในบัตรประชาชน แต่ยังไม่ได้เป็น ชาวพุทธที่แท้จริงที
( ถ้าชาวไทย รู้ธรรมของสัมมาสมัพุทธเจ้าได้ สายกลาง ก็จะเป็น (( สยามเมืองยิ้มอีกครั้ง ))
( ตอนนี้เป็นสยามเมืองร้อน ) ร้อนจิตใจ คนใจร้อน บ้ากันไปหมด อิอิ
ถ้าใครเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมขอยอมแพ้ ผมจะไม่พูดกับนักวิทยาศาสตร์เลย
ศาสนาพุทธนั้น เป็น ศาสตร์ทางด้านจิตใจ ซึ้งอยู่เหนือโลกและไปป่นกับสิ่งงมงายเหนือธรรมชาติ
แต่คนเรา เพราะ ความเขลา มันก็เลยเอาไปป่นกับวิทยาศาตร์มั่วหมดกับศาสนาพุทธ ว่าไปพิสูจน์จริงไหมกับสิ่งงมงาย
ถ้าคนเขลากับคนเขลามาเจอกันมันก็ต้องเถียงกันใช่ป่าว คนงมงายกับคนไม่เชื่อ
ธรรมชาติของโลกมี ย่อมมี 1 คู่เสมอ ด้าน + และ - ก็คือ คนงมงายกับคนไม่เชื่อหรือเรียกว่าคนต้อต้าน
แต่ถ้าคนมีปัญญา มันจะอยู่ระหว่างกลาง เห้ยเรื่องนี้จริงไหม มันจะไม่เชื่อก่อนแต่ไม่ไปทะเลาะกับคนงมงายแน่นอนเพราะไร้สาระมาก แล้วมันก็ต้องมาทดสอบดูสิว่า
ธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของจริงไหม คือ สายกลาง
แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ความดีหรือความชั่ว
แต่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชี้ถึงความเป็นตัวเราต่างหาก มี โลภ โกรธ หลง
ซึ้งเป็นอนัตตา บัญชาไม่ได้ สั่งไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทางจิตใจ
อนัตตามันมีอยู่แล้ว คือ เวลาเราร่างกายมีแผลมันก็รักษาเอง หรือแม้กระทั่งความคิดมันก็คิดเองตามความเคยชินสิ่งที่คิด
แต่ที่ไม่เห็น เพราะไปติดกามสุข จมลืมจิตลืมใจตัวเองไปแล้วไปหลงอยู่โลกความคิด
ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ในยุคเรา จะฟุ้งซ่านใน กาม คือความสุข
เช่นอยากฟังเพลง ดูหนัง ไปเที่ยว หรือแม้แต่อยากได้บ้าน หรือรถสักคันก็เพื่อ ความสุข
หรือหวังว่าสักวัน ลูกจะเลี้ยงเรายุคมันเปลี่ยนไปแล้ว สังคมเรา เปลี่ยนตลอดเพียงแต่เราไม่เห็น
เราหลงอยู่ในความสุขเสพสิ่งต่างๆ จนไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่า วันใดวันนึงเราต้อวพรัดพรากจากสิ่งที่รัก
แท้ที่จริงแล้ว ทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ เพียงแต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง
ถึงแม้เราจะ จริยธรรม ความดี
แต่ก็สู้ สัจธรรม ไม่ได้อยู่ดี คือ ความเป็นตัวเราไม่ใช่ความดีนะ และไม่ใช่ความชั่ว
แต่คือ
มีโลภ มีโกรธ มีหลง
หนทางปฏิบัติ คือ
การเรียนรู้กายรู้ใจ
ย้ำว่าอย่าเอา ศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ไป ปนกันหรือหาข้อพิสูจน์
เพราะเรา ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์
เราเป็น นักอะไรละ
นักเที่ยว นักซื้อ นักเสพ นักเดินทาง
นักเพลินสนุกสนาน นักโม้ นักอ่านข่าวแล้วสะใจข่าวว่าสิ่งนั้นงมงาย ( จนลืมจิตใจตัวเอง )
แต่เราไปยึดหลงกับวิทยศาสตร์ว่าเป็นของเรา
เราไม่ใช่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นะ
^_^ อิอิอิอิ
ธรรมมะอยู่กับทุกคน แต่เพียงทุกคนมองข้ามไป อยู่ต่อหน้าต่อตาเลย
ไม่ได้อยู่ที่ วัดหรือพระ
วิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธ คนละเรื่องกันนะ ( อย่าเอามาปนกัน )
เพราะ เราไม่ใช่ นักวิทยาศาสตร์
( เราต้องรู้จักตัวเองด้วย ว่าเราเป็นอะไร เป็นนักเที่ยว นักเสพ นักกินเหล้า นักซื้อของเทคโนโลยี
เราไม่ใช่คนสร้าง หรือเราไม่ใช่นักดิษฐิ
แต่เราเป็น ชาวพุทธที่อยู่ในบัตรประชาชน แต่ยังไม่ได้เป็น ชาวพุทธที่แท้จริงที
( ถ้าชาวไทย รู้ธรรมของสัมมาสมัพุทธเจ้าได้ สายกลาง ก็จะเป็น (( สยามเมืองยิ้มอีกครั้ง ))
( ตอนนี้เป็นสยามเมืองร้อน ) ร้อนจิตใจ คนใจร้อน บ้ากันไปหมด อิอิ
ถ้าใครเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมขอยอมแพ้ ผมจะไม่พูดกับนักวิทยาศาสตร์เลย
ศาสนาพุทธนั้น เป็น ศาสตร์ทางด้านจิตใจ ซึ้งอยู่เหนือโลกและไปป่นกับสิ่งงมงายเหนือธรรมชาติ
แต่คนเรา เพราะ ความเขลา มันก็เลยเอาไปป่นกับวิทยาศาตร์มั่วหมดกับศาสนาพุทธ ว่าไปพิสูจน์จริงไหมกับสิ่งงมงาย
ถ้าคนเขลากับคนเขลามาเจอกันมันก็ต้องเถียงกันใช่ป่าว คนงมงายกับคนไม่เชื่อ
ธรรมชาติของโลกมี ย่อมมี 1 คู่เสมอ ด้าน + และ - ก็คือ คนงมงายกับคนไม่เชื่อหรือเรียกว่าคนต้อต้าน
แต่ถ้าคนมีปัญญา มันจะอยู่ระหว่างกลาง เห้ยเรื่องนี้จริงไหม มันจะไม่เชื่อก่อนแต่ไม่ไปทะเลาะกับคนงมงายแน่นอนเพราะไร้สาระมาก แล้วมันก็ต้องมาทดสอบดูสิว่า
ธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของจริงไหม คือ สายกลาง
แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ความดีหรือความชั่ว
แต่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชี้ถึงความเป็นตัวเราต่างหาก มี โลภ โกรธ หลง
ซึ้งเป็นอนัตตา บัญชาไม่ได้ สั่งไม่ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทางจิตใจ
อนัตตามันมีอยู่แล้ว คือ เวลาเราร่างกายมีแผลมันก็รักษาเอง หรือแม้กระทั่งความคิดมันก็คิดเองตามความเคยชินสิ่งที่คิด
แต่ที่ไม่เห็น เพราะไปติดกามสุข จมลืมจิตลืมใจตัวเองไปแล้วไปหลงอยู่โลกความคิด
ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ในยุคเรา จะฟุ้งซ่านใน กาม คือความสุข
เช่นอยากฟังเพลง ดูหนัง ไปเที่ยว หรือแม้แต่อยากได้บ้าน หรือรถสักคันก็เพื่อ ความสุข
หรือหวังว่าสักวัน ลูกจะเลี้ยงเรายุคมันเปลี่ยนไปแล้ว สังคมเรา เปลี่ยนตลอดเพียงแต่เราไม่เห็น
เราหลงอยู่ในความสุขเสพสิ่งต่างๆ จนไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่า วันใดวันนึงเราต้อวพรัดพรากจากสิ่งที่รัก
แท้ที่จริงแล้ว ทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ เพียงแต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง
ถึงแม้เราจะ จริยธรรม ความดี
แต่ก็สู้ สัจธรรม ไม่ได้อยู่ดี คือ ความเป็นตัวเราไม่ใช่ความดีนะ และไม่ใช่ความชั่ว
แต่คือ
มีโลภ มีโกรธ มีหลง
หนทางปฏิบัติ คือ
การเรียนรู้กายรู้ใจ
ย้ำว่าอย่าเอา ศาสนาพุทธกับวิทยาศาสตร์ไป ปนกันหรือหาข้อพิสูจน์
เพราะเรา ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์
เราเป็น นักอะไรละ
นักเที่ยว นักซื้อ นักเสพ นักเดินทาง
นักเพลินสนุกสนาน นักโม้ นักอ่านข่าวแล้วสะใจข่าวว่าสิ่งนั้นงมงาย ( จนลืมจิตใจตัวเอง )
แต่เราไปยึดหลงกับวิทยศาสตร์ว่าเป็นของเรา
เราไม่ใช่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นะ
^_^ อิอิอิอิ
ธรรมมะอยู่กับทุกคน แต่เพียงทุกคนมองข้ามไป อยู่ต่อหน้าต่อตาเลย
ไม่ได้อยู่ที่ วัดหรือพระ