มีหลายมุมมองทางศาสนาและปรัชญามองว่าพระเจ้าคือแหล่งพลังอำนาจ แต่การตีความก็แตกต่างกันไป
ในศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนายูดาห์ จะมองว่าพระเจ้าเป็นพลังอำนาจสูงสุด ผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนจักรวาล (ในศาสนาต่างๆที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ เช่น ศาสนาฮินดู เทพเจ้าหลายองค์เป็นตัวแทนของพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ในแง่มุมต่างๆ)
สรุปก็คือ:
พระเจ้าหมายถึงมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังอำนาจสูงสุด ผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนจักรวาล, เหตุที่มุสลิมเชื่อในความมีอยู่จริงของ พลังอำนาจสูงสุด ผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนจักรวาล (พระเจ้า) ก็เพราะเราสามารถมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างและการควบคุมระบบธรรมชาติ โดยแหล่งพลังอำนาจของพระเจ้า ซึ่งเราเห็นอยู่ทุกๆันเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
ประการที่สำคัญที่สุดคิอ ยังไม่เคยมีผู้ใดพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ว่าไม่มี พลังอำนาจสูงสุดที่ทำให้เกิดจักรวาลและการควบคุมวงจรธรรมชาติ เนื่องจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายอย่างที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ ส่วนมากจะมีการท้าทายให้พิสูจน์ความมีอยู่จริงของพระเจ้า
แต่ไม่เคยมีผู้ใดพิสูจน์ว่าแหล่งพลังอำนาจ หรือพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริง
อัลลอฮ์ (หรือแหล่งพลังอำนาจ)
เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในศาสนาอิสลามหรือระบบอิสลาม
อัลลอฮ์เป็นคำภาษาอาหรับที่หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า และเป็นศูนย์กลางของความศรัทธาของศาสนาอิสลาม มุสลิมมองศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิด (ผู้สร้าง)จักรวาล ผู้ทรงอำนาจสูงสุด และทรงรอบรู้ทุกสิ่ง อัลลอฮ์ทรงมีอำนาจและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดเหนือทุกสิ่ง อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งอย่างครบถ้วน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อัลลอฮ์มักถูกอธิบายว่าทรงเมตตาและกรุณาปรานี เน้นย้ำถึงการให้อภัยและการชี้นำสำหรับมนุษยชาติ ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาตินี้มีอยู่สัญชาตญาณของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (สัตว์ชั้นสูง)
อัลกุรอานคือ คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม มีการอ้างอิงถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของอัลลอฮ์มากมาย มุสลิมแสดงออกถึงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผ่านการละหมาด การถือศีลอด และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆมุสลิมประกาศศรัทธา (ชะฮาดะฮ์) ยืนยันถึงความเชื่อมั่นในความเป็นหนึ่งเดียวของอัลลอฮ์
ความเข้าใจในอัลลอฮ์ในฐานะผู้ทรงอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ หล่อหลอมความเชื่อและการปฏิบัติของชาวมุสลิมกว่าพันล้านคนทั่วโลก
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ต้น "มะม่วง" ต้นแรกถือกำเนิดมาจากพลังอำนาจสูงสุด การเกิดมะม่วงต้นแรกไม่ได้เกิดจากเม็ดมะม่วง แต่เกิดจากผู้ให้กำเนิด
"ผู้สร้าง" หรือ พลังอำนาจที่สูงสุด หลังจากต้นมะม่วงเจริญเติบโตแล้วก็ปรับเข้าวงจรตามธรรมชาติที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังอำนาจที่สูงสุด และก็เกิดมีการแพร่พันธ์ุโดยการใช้เม็ด มีดินฟ้า(อุณหภูมิ) อากาศ เป็นปัจจัย จึงจะเกิดเป็นมะม่วงต้นใหม่ และเมื่อมนุษย์มีความรู้มากขึ้นก็นำวิธีการทางเกษรตกรรมต่างๆมาขยายพันธุ์พืช และใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกับการกำเนิดของสัตว์โลกทั้งหลาย
นักเทววิทยาและนักปรัชญาหลายคนสำรวจว่าทฤษฎีควอนตัมอาจสนับสนุนแนวคิดเรื่องผู้สร้างหรือจักรวาลที่มีจุดมุ่งหมายได้อย่างไร แต่การตีความเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลและมีความหลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนายังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างซับซ้อน โดยยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันว่าทฤษฎีควอนตัมส่งผลกระทบต่อความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทฤษฎีควอนตัมไม่ได้ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยตรง แต่กลับก่อให้เกิดคำถามและการอภิปรายเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง ซึ่งบางคนตีความในบริบททางเทววิทยา
แนวคิดหลักในทฤษฎีควอนตัม:
การซ้อนทับ: อนุภาคสามารถดำรงอยู่ได้ในหลายสถานะพร้อมกันจนกว่าจะถูกสังเกตได้ ซึ่งท้าทายแนวคิดคลาสสิกเกี่ยวกับความเป็นจริง
การพันกัน: อนุภาคสามารถเชื่อมโยงกันในรูปแบบที่ดูเหมือนจะท้าทายฟิสิกส์คลาสสิก ชี้ให้เห็นถึงระดับความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในจักรวาล
ผลกระทบจากผู้สังเกตการณ์: การสังเกตการณ์ส่งผลต่อสถานะของระบบควอนตัม นำไปสู่นัยทางปรัชญาเกี่ยวกับจิตสำนึกและความเป็นจริง
นัยทางปรัชญา:
บางคนโต้แย้งว่ากลศาสตร์ควอนตัมเปิดประตูสู่การตีความที่สอดคล้องกับมุมมองทางจิตวิญญาณหรืออภิปรัชญา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงจักรวาลที่เชื่อมโยงกันหรือได้รับอิทธิพลจากจิตสำนึก บางคนยืนยันว่ากลศาสตร์ควอนตัมไม่ได้ให้หลักฐานสนับสนุนหรือคัดค้านการดำรงอยู่ของพระเจ้า เนื่องจากกลศาสตร์ควอนตัมเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางกายภาพเป็นหลัก มากกว่าคำถามทางอภิปรัชญา
การตีความทางเทววิทยา:
นักเทววิทยาและนักปรัชญาหลายคนสำรวจว่าทฤษฎีควอนตัมอาจสนับสนุนแนวคิดเรื่องผู้สร้างหรือจักรวาลที่มีจุดมุ่งหมายได้อย่างไร แต่การตีความเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลและมีความหลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนายังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างซับซ้อน โดยยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันว่าทฤษฎีควอนตัมส่งผลกระทบต่อความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร
บทสรุป: แม้ว่าทฤษฎีควอนตัมจะนำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการอภิปรายทางเทววิทยาได้ แต่ทฤษฎี ควอนตัมไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า การผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการสำรวจและถกเถียง
สำหรับทฤษฎีที่ไม่เชื่อว่ามีผู้สร้างจะเริ่มอธิบายการเกิดของพืชและสัตว์โลกเฉพาะเท่าที่มนุษย์มีประสพการณ์เท่านั้น เช่นการปลูกมะม่วงจะต้องเริ่มต้นจากเม็ดมะม่วงก่อน เม็ดมะม่วงจะดูดซึมสารบำรุงชีวิตต่างๆจากดินเรียกว่าปัจจัยหรือเหตุปัจจัย ทฤษฎีนี้จะไม่กล่าวถึงชีวิตทางจิตวิญญาณ เพราะต้องการเพียงหาความสุขเฉพาะตัวบนโลกมนุษย์เท่านั้น, มองว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นความทุกข์ การที่มนุษย์มีความทุกข์นั้นเนื่องมาจากความต้องการสนองอารมณ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า "กิเลส" (ได้แก่ ความรัก โลภ โกรธ หลง หิว กระหาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบครัวและสังคม ซึ่งเป็นคุณลักษณะประจำชีวิตของสัตว์โลก) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เราไม่อาจจจะ กำจัดกิเลสให้หมดไปอย่างสมบูรณ์ได้ เพราะว่า "กิเลส" เป็นคุณสมบัติของธรรมชาติของชีวิตมนุษย์และสัตว์โลกโดยทั่วๆไปโดยสิ้นเชิง การที่มนุษย์เราจะประสพความสุขที่แท้จริงได้ก็เพียงการควบคุมกิเลสให้เกิดความพอดี โดยวิธีการที่ผู้สร้างกำหนดให้มนุษย์ปฏิบัติ ไว้ในคัมภีร์ซึ่งเป็นคู่มือชีวิต
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีผู้สร้างสามารถเข้าใจได้จากการมองเห็นจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราซึ่งเป็นผลของการสร้าง ไม่ต้องการการพิสูจน์์ โดยวิธีการใดๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีที่ปฏิเสธผู้สร้าง อธิบายว่าสรรพสิ่งต่างๆเกิดจากเหคุปัจจัย ซึ่งขาดการอธิบายถึงการมาและการเกิดของปัจจัยหรือเหตุปัจจัยทั้งหลายว่าเกิดขึ้นจากอะไร การกำจัดกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตใจมนุษย์ซึ่งเกิดจากความต้องการตามธรรมชาติของสัตว์โลกนั้น ให้หมดไปโดยสมบูรณ์นั้นย่อมไม่อาจจะทำได้เนื่องจากกิเลสบางอย่างเป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อคงชีวิตอยู่ การขจัดกิเลสอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้นคือการจบชีวิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทฤษฎีการสร้างและทฤษฎีการปฏิเสธการสร้าง นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกันสองประการเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิตและจักรวาล
ทฤษฎีผู้สร้าง
นิยาม: ทฤษฎีนี้ตั้งสมมติฐานว่าจักรวาลและชีวิตถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือ พลังอำนาจสูงสุด
บริบททางศาสนา: มักเชื่อมโยงกับข้อความทางศาสนา เช่น บันทึกปฐมกาลในพระคัมภีร์ ซึ่งบรรยายถึงพระเจ้าที่สร้างโลก
พื้นฐานทางปรัชญา: สนับสนุนแนวคิดที่ว่าชีวิตมีจุดมุ่งหมายและความหมาย โดยมักเน้นถึงความหมายทางศีลธรรมและจริยธรรม
ทฤษฎีการปฏิเสธการสร้าง
นิยาม: มุมมองนี้ปฏิเสธแนวคิดเรื่องผู้สร้างโดยพระเจ้า โดยมักสนับสนุนคำอธิบายตามธรรมชาติเกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาล
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์: สอดคล้องกับทฤษฎีต่างๆ เช่น วิวัฒนาการและบิ๊กแบง ซึ่งอธิบายการพัฒนาของชีวิตและจักรวาลผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ
การวิพากษ์ทฤษฎีการสร้าง: โต้แย้งว่ามุมมองของผู้เชื่อเรื่องการสร้างขาดหลักฐานเชิงประจักษ์และอาศัยศรัทธามากกว่าการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์
ความแตกต่างที่สำคัญ
คำอธิบายเกี่ยวกับต้นกำเนิด: ทฤษฎีการสร้างโลกระบุว่าต้นกำเนิดมาจากพลังเหนือธรรมชาติ ในขณะที่ทฤษฎีการปฏิเสธการสร้างโลกอาศัยคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
หลักฐานและวิธีการ: ทฤษฎีการสร้างโลกมักใช้ข้อความทางศาสนาเป็นหลักฐาน ในขณะที่ทฤษฎีการปฏิเสธการสร้างโลกเน้นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์
"ทฤษฎีผู้สร้าง" และ "ทฤษฎีปฏิเสธผู้สร้าง"สะท้อนความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับการดำรงอยู่และธรรมชาติของความเป็นจริง ซึ่งมีอิทธิพลต่อหลากหลายสาขา เช่น วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และเทววิทยา แม้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการและบิ๊กแบง จะมีความมั่นคง แต่การสืบค้นทางวิทยาศาสตร์ก็เปิดรับหลักฐานและการตีความใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับปรุงหรือขยายขอบเขตของทฤษฎีเหล่านี้ได้
กฏธรรมชาติจะมีอยู่ก่อนจักวาลเกิดหรือ?
กฎเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตได้ ขณะที่บางทฤษฎีมองว่ากฎเหล่านี้เป็นคุณสมบัติโดยธรรมชาติของความเป็นจริง ความเข้าใจ
ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาล ทฤษฎีต่างๆ เช่น แรงโน้มถ่วงควอนตัมและ
สมมติฐานพหุจักรวาล ล้วนสำรวจคำถามเหล่านี้ แต่ยังคงเป็นการคาดเดา โดยสรุป
การดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาลนั้นยังไม่ชัดเจน และยัง
คงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบทั้งในทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
กฎธรรมชาติตามที่เราเข้าใจกัน คือกรอบแนวคิดที่อธิบายพฤติกรรมของจักรวาล การดำรงอยู่ของกฎเหล่านี้ก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิดขึ้นเป็นหัวข้อถกเถียงทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์
แนวคิดเกี่ยวกับกฎธรรมชาติโดยทั่วๆไป
โดยทั่วไปแล้ว กฎธรรมชาติจะถูกนิยามภายใต้บริบทของจักรวาล กฎเหล่านี้อธิบายความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่สังเกตได้ในปรากฏการณ์ทางกายภาพ ส่วนแนวคิดเรื่อง "มีมาก่อน" จักรวาลนั้นซับซ้อน เนื่องจากเวลาอาจเริ่มต้นด้วยบิ๊กแบง บางทฤษฎีเสนอว่ากฎธรรมชาติเกิดขึ้นพร้อมกับจักรวาล ในขณะที่บางทฤษฎีเสนอว่ากฎเหล่านี้อาจมีอยู่จริงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งนอกจักรวาลของเรา ส่วนมุมมองทางปรัชญาที่หลากหลายเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎและการดำรงอยู่ของกฎโดยไม่ขึ้นอยู่กับจักรวาล.
บางทฤษฎีโต้แย้งว่ากฎเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตได้ ขณะที่บางทฤษฎีมองว่ากฎเหล่านี้เป็นคุณสมบัติโดยธรรมชาติของความเป็นจริง
ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาล ทฤษฎีต่างๆ เช่น แรง
โน้มถ่วงควอนตัมและสมมติฐานพหุจักรวาล ล้วนสำรวจคำถามเหล่านี้ แต่ยังคงเป็นการคาดเดา
โดยสรุปแล้ว การดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อน
จักรวาลนั้นยังไม่ชัดเจน และยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบทั้งในทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
สำหรับศาสนาอิสลามผู้สร้างได้สร้างกฏธรรมชาติขึ้นมาพร้อมการสร้างจักรวาล เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามพระประสงค์ของผู้สร้าง
"ทฤษฎีผู้สร้าง" VS. "ทฤษฎีปฏิเสธผู้สร้าง"
สรุปก็คือ:
พระเจ้าหมายถึงมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังอำนาจสูงสุด ผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนจักรวาล, เหตุที่มุสลิมเชื่อในความมีอยู่จริงของ พลังอำนาจสูงสุด ผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนจักรวาล (พระเจ้า) ก็เพราะเราสามารถมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างและการควบคุมระบบธรรมชาติ โดยแหล่งพลังอำนาจของพระเจ้า ซึ่งเราเห็นอยู่ทุกๆันเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
ประการที่สำคัญที่สุดคิอ ยังไม่เคยมีผู้ใดพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ว่าไม่มี พลังอำนาจสูงสุดที่ทำให้เกิดจักรวาลและการควบคุมวงจรธรรมชาติ เนื่องจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายอย่างที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ ส่วนมากจะมีการท้าทายให้พิสูจน์ความมีอยู่จริงของพระเจ้า แต่ไม่เคยมีผู้ใดพิสูจน์ว่าแหล่งพลังอำนาจ หรือพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริง
อัลลอฮ์ (หรือแหล่งพลังอำนาจ) เป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในศาสนาอิสลามหรือระบบอิสลาม
อัลลอฮ์เป็นคำภาษาอาหรับที่หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า และเป็นศูนย์กลางของความศรัทธาของศาสนาอิสลาม มุสลิมมองศรัทธาว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิด (ผู้สร้าง)จักรวาล ผู้ทรงอำนาจสูงสุด และทรงรอบรู้ทุกสิ่ง อัลลอฮ์ทรงมีอำนาจและสิทธิอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดเหนือทุกสิ่ง อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งอย่างครบถ้วน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อัลลอฮ์มักถูกอธิบายว่าทรงเมตตาและกรุณาปรานี เน้นย้ำถึงการให้อภัยและการชี้นำสำหรับมนุษยชาติ ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาตินี้มีอยู่สัญชาตญาณของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย (สัตว์ชั้นสูง)
อัลกุรอานคือ คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม มีการอ้างอิงถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของอัลลอฮ์มากมาย มุสลิมแสดงออกถึงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผ่านการละหมาด การถือศีลอด และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆมุสลิมประกาศศรัทธา (ชะฮาดะฮ์) ยืนยันถึงความเชื่อมั่นในความเป็นหนึ่งเดียวของอัลลอฮ์
ความเข้าใจในอัลลอฮ์ในฐานะผู้ทรงอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ หล่อหลอมความเชื่อและการปฏิบัติของชาวมุสลิมกว่าพันล้านคนทั่วโลก
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ต้น "มะม่วง" ต้นแรกถือกำเนิดมาจากพลังอำนาจสูงสุด การเกิดมะม่วงต้นแรกไม่ได้เกิดจากเม็ดมะม่วง แต่เกิดจากผู้ให้กำเนิด "ผู้สร้าง" หรือ พลังอำนาจที่สูงสุด หลังจากต้นมะม่วงเจริญเติบโตแล้วก็ปรับเข้าวงจรตามธรรมชาติที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังอำนาจที่สูงสุด และก็เกิดมีการแพร่พันธ์ุโดยการใช้เม็ด มีดินฟ้า(อุณหภูมิ) อากาศ เป็นปัจจัย จึงจะเกิดเป็นมะม่วงต้นใหม่ และเมื่อมนุษย์มีความรู้มากขึ้นก็นำวิธีการทางเกษรตกรรมต่างๆมาขยายพันธุ์พืช และใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกับการกำเนิดของสัตว์โลกทั้งหลาย
นักเทววิทยาและนักปรัชญาหลายคนสำรวจว่าทฤษฎีควอนตัมอาจสนับสนุนแนวคิดเรื่องผู้สร้างหรือจักรวาลที่มีจุดมุ่งหมายได้อย่างไร แต่การตีความเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลและมีความหลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนายังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันอย่างซับซ้อน โดยยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันว่าทฤษฎีควอนตัมส่งผลกระทบต่อความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับทฤษฎีที่ไม่เชื่อว่ามีผู้สร้างจะเริ่มอธิบายการเกิดของพืชและสัตว์โลกเฉพาะเท่าที่มนุษย์มีประสพการณ์เท่านั้น เช่นการปลูกมะม่วงจะต้องเริ่มต้นจากเม็ดมะม่วงก่อน เม็ดมะม่วงจะดูดซึมสารบำรุงชีวิตต่างๆจากดินเรียกว่าปัจจัยหรือเหตุปัจจัย ทฤษฎีนี้จะไม่กล่าวถึงชีวิตทางจิตวิญญาณ เพราะต้องการเพียงหาความสุขเฉพาะตัวบนโลกมนุษย์เท่านั้น, มองว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นความทุกข์ การที่มนุษย์มีความทุกข์นั้นเนื่องมาจากความต้องการสนองอารมณ์ตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า "กิเลส" (ได้แก่ ความรัก โลภ โกรธ หลง หิว กระหาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบครัวและสังคม ซึ่งเป็นคุณลักษณะประจำชีวิตของสัตว์โลก) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เราไม่อาจจจะ กำจัดกิเลสให้หมดไปอย่างสมบูรณ์ได้ เพราะว่า "กิเลส" เป็นคุณสมบัติของธรรมชาติของชีวิตมนุษย์และสัตว์โลกโดยทั่วๆไปโดยสิ้นเชิง การที่มนุษย์เราจะประสพความสุขที่แท้จริงได้ก็เพียงการควบคุมกิเลสให้เกิดความพอดี โดยวิธีการที่ผู้สร้างกำหนดให้มนุษย์ปฏิบัติ ไว้ในคัมภีร์ซึ่งเป็นคู่มือชีวิต
จะเห็นได้ว่าทฤษฎีผู้สร้างสามารถเข้าใจได้จากการมองเห็นจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราซึ่งเป็นผลของการสร้าง ไม่ต้องการการพิสูจน์์ โดยวิธีการใดๆ ซึ่งต่างจากทฤษฎีที่ปฏิเสธผู้สร้าง อธิบายว่าสรรพสิ่งต่างๆเกิดจากเหคุปัจจัย ซึ่งขาดการอธิบายถึงการมาและการเกิดของปัจจัยหรือเหตุปัจจัยทั้งหลายว่าเกิดขึ้นจากอะไร การกำจัดกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตใจมนุษย์ซึ่งเกิดจากความต้องการตามธรรมชาติของสัตว์โลกนั้น ให้หมดไปโดยสมบูรณ์นั้นย่อมไม่อาจจะทำได้เนื่องจากกิเลสบางอย่างเป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อคงชีวิตอยู่ การขจัดกิเลสอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้นคือการจบชีวิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กฏธรรมชาติจะมีอยู่ก่อนจักวาลเกิดหรือ?
กฎเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตได้ ขณะที่บางทฤษฎีมองว่ากฎเหล่านี้เป็นคุณสมบัติโดยธรรมชาติของความเป็นจริง ความเข้าใจ
ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาล ทฤษฎีต่างๆ เช่น แรงโน้มถ่วงควอนตัมและ
สมมติฐานพหุจักรวาล ล้วนสำรวจคำถามเหล่านี้ แต่ยังคงเป็นการคาดเดา โดยสรุป การดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาลนั้นยังไม่ชัดเจน และยัง
คงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบทั้งในทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
กฎธรรมชาติตามที่เราเข้าใจกัน คือกรอบแนวคิดที่อธิบายพฤติกรรมของจักรวาล การดำรงอยู่ของกฎเหล่านี้ก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิดขึ้นเป็นหัวข้อถกเถียงทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์
แนวคิดเกี่ยวกับกฎธรรมชาติโดยทั่วๆไป
โดยทั่วไปแล้ว กฎธรรมชาติจะถูกนิยามภายใต้บริบทของจักรวาล กฎเหล่านี้อธิบายความสัมพันธ์และพฤติกรรมที่สังเกตได้ในปรากฏการณ์ทางกายภาพ ส่วนแนวคิดเรื่อง "มีมาก่อน" จักรวาลนั้นซับซ้อน เนื่องจากเวลาอาจเริ่มต้นด้วยบิ๊กแบง บางทฤษฎีเสนอว่ากฎธรรมชาติเกิดขึ้นพร้อมกับจักรวาล ในขณะที่บางทฤษฎีเสนอว่ากฎเหล่านี้อาจมีอยู่จริงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งนอกจักรวาลของเรา ส่วนมุมมองทางปรัชญาที่หลากหลายเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎและการดำรงอยู่ของกฎโดยไม่ขึ้นอยู่กับจักรวาล. บางทฤษฎีโต้แย้งว่ากฎเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งที่สังเกตได้ ขณะที่บางทฤษฎีมองว่ากฎเหล่านี้เป็นคุณสมบัติโดยธรรมชาติของความเป็นจริง
ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อนจักรวาล ทฤษฎีต่างๆ เช่น แรง
โน้มถ่วงควอนตัมและสมมติฐานพหุจักรวาล ล้วนสำรวจคำถามเหล่านี้ แต่ยังคงเป็นการคาดเดา โดยสรุปแล้ว การดำรงอยู่ของกฎธรรมชาติก่อน
จักรวาลนั้นยังไม่ชัดเจน และยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบทั้งในทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา
สำหรับศาสนาอิสลามผู้สร้างได้สร้างกฏธรรมชาติขึ้นมาพร้อมการสร้างจักรวาล เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามพระประสงค์ของผู้สร้าง