สวัสดีค่ะเพือนๆ วันนี้แก้วจะกลับมา Hit the book! รีวิวหนังสืออีกครั้งค่ะ
รอบนี้จะมารีวิวเป็นหนังสือที่ไม่ใช่นิยาย วรรณกรรม หรือเรื่องสั้น แต่เป็นเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ธรรมะ ซึ่งมีชื่อว่า “ธรรมะหน้าเด้ง” ค่ะ

ค่ะ ธรรมะ 5555 เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไป
เรื่องของเรื่อง ที่แก้วสนใจอ่านเรื่องนี้ ก็เพราะรู้สึกว่ามีความจริงบางอย่าง ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง และเชื่อว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายๆคนมาแล้วเหมือนกัน
นั่นก็คือเวลาที่เรามีความสุข ความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้นมาจาก “ข้างใน” แล้วแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า และร่างกายเรา จนกลายเป็นความสุขจาก “ภายใน”
แล้วตราบใดที่ความรู้สึกนั้นยังอยู่กับเรา เราจะยิ้มตลอดเวลา แม้ว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะหน้าเฉยๆ ไม่ได้หัวเราะ หรือตั้งใจยิ้มอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าของเราจะยิ้มออกมาเอง ผิวของเราจะดูเปล่งปลั่ง สดใส แม้ว่าจะมีริ้วรอย สิว รอยดำต่างๆอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนภายในช่วงเวลานั้น แต่มันจะดูเหมือนว่าอะไรๆบนเครื่องหน้าเรา จะดูสดใสเจิดจ้ากว่าเดิม จนแม้แต่คนรอบข้างเราก็รู้สึกได้ ถึงขั้นต้องทักว่า ไปทำอะไรมา ทำไมดูดี สดใส และไม่โทรม
แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นหายไป เราจะกลับเข้าสู่ 2 สภาวะตามเดิม
ถ้าไม่สภาวะเฉยๆ ก็คือสภาวะสุดโต่งไปเลย -- โกรธ เศร้า เซ็ง แค้น อิจฉา -- และอีกหลายอารมณ์ที่แปรปรวนไปตามสถานการณ์
แล้วออร่าความเปล่งปลั่งสดใสนั้นก็จะดับวูบหายไปเลย -- ไม่ว่าจะที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือผิวกายของเรา
ใช่มั้ยคะ เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่มั้ยคะ ?
ซึ่งมันน่าสงสัยมากๆ ว่าทำไมจิตและอารมณ์ของเรา มันเกี่ยวดองกับกายภาพได้มากขนาดนี้
หากจะมองแค่ว่า ไม่เห็นแปลก ก็ในเมื่อคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้ม ต้องดูดีกว่าคนอารมณ์เสีย หน้าบูดบึ้ง อยู่แล้ว
คนไม่เครียด ชิลๆไปตามสายลมและแสงแดด ก็ต้องดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์กว่าคนจริงจัง ทำงานตะบี้ตะบัน ขยันแหลกลาญอยู่แล้วเป็นธรรมดา
มันเป็นไปตามจิตวิทยาที่มีต่อตนเองและคนรอบข้าง
เอาให้ชัดกว่านี้อีก ตามที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็คือคนใจเย็น อารมณ์ดี พักผ่อนเพียงพอ และ ไม่เครียดมักจะมีระบบต่างๆในร่างกายที่ดี แข็งแรง นอนหลับง่าย ไม่แม้แต่ท้องผูก ในขณะที่คนลุยงานดึก ขี้กังวล เครียดง่าย หรือใจร้อน มักจะมีระบบต่างๆในร่างกายแปรปรวณตามไปด้วย ไม่ว่าจะท้องไส้ผูกบ้าง เสียบ้าง นอนไม่หลับบ้าง(บางคนนอนไม่หลับเป็นเดือนๆเลยก็มี) ป่วยง่ายเป็นว่าเล่น
โอเค ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าจิตของคนเรา (ที่นิ่ง หรือว้าวุ่น) ก็ต้องส่งผลกับอารมณ์ได้ (กลายเป็นดี หรืออาละวาด) และทั้งจิตกับอารมณ์ (ไม่ว่าจะดีหรือแย่) ก็ต้องมีผลต่อฮอร์โมน ระบบประสาท และสารต่างๆที่หลั่งอยู่ในร่างกายของคนเราจริงมั้ย มันถึงกลายเป็นท้องผูก ท้องเสีย นอนไม่หลับ แก่เร็ว หน้าเหี่ยวย่น สุขภาพแย่ขึ้นทุกวัน --
ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเรื่องของจิตไม่ได้เป็นเรื่อง “คิดไปเอง” แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อระบบร่างกายจริงๆ
สรุปว่าจิตวุ่นๆ อารมณ์ป่วนๆ มันทำให้เราน่าเกลียดขึ้น?
ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย
ถ้าอย่างนั้น ถ้าเรารู้จักควบคุมจิตกับอารมณ์ได้ตั้งแต่แรก มันก็จะส่งผลต่อทุกอย่างให้ดีขึ้นตามลำดับได้รึเปล่า
ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย
แก้วว่ามันน่าสงสัยมากๆๆ และคิดว่าหลายคนคงสงสัยเหมือนกัน (ใช่มั้ยคะะ)
ต่อมาพี่สาวได้แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน ซึ่งแก้วชอบมาก เพราะเขียนอธิบายได้ดี เข้าใจง่าย
อาจจะมีบางคำ บางช่วง ที่เข้าใจยากไปนิดนึง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะจ๋า (เช่นแก้วเป็นต้น) แต่หากอ่านซ้ำๆ แอบไปเปิดกูเกิ้ลแปลบ้าง ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นค่ะ
สำหรับนักอ่านหลายท่าน โดยเฉพาะนักอ่านธรรมะ หรือนักอ่านธรรมะวิทยาศาสตร์ อาจจะคุ้นเคยกับนักเขียนท่านนี้อยู่แล้ว นั่นคือ “ทันตแพทย์สม สุจีรา” นักเขียนระดับ Best seller มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” หรือ “เดอะ ท็อป ซีเคร็ต” เป็นต้น
ซึ่งแต่ละเล่ม ล้วนเป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราเข้าใจและเห็นภาพจริงๆของ พระพุทธศาสนา มากกว่าที่เคยเรียนในห้องเรียน เพราะจะอธิบายให้เรารู้ที่มาที่ไป รู้ความจริงที่อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เข้าใจมากขึ้น ว่าความจริงที่ท่านตรัสไว้ เราสามารถจับต้องได้ นำมาใช้ได้จริงๆ ทดสอบได้ และไปได้ถึงพิสูจน์ด้วยหลักของฟิสิกส์ควอนตัม
แน่นอนค่ะ ว่าเรื่องฟิสิกส์ควอนตัมเข้าใจยาก และอ่านยากเป็นบางคำ บางช่วง ถ้าหากเราไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน(เช่นแก้วอีกแล้ว) แต่ถ้าตั้งใจอ่าน ใช้เวลาอ่านดีๆ ก็เข้าใจตามได้ค่ะ (ไม่มากก็น้อย 555)
หลายๆอย่าง และหลายๆคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตรงกับหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราจริงๆ และคำอธิบายทั้งหมด ก็มีไว้ให้เรามานานแล้วค่ะ เหลือแต่ให้เราลองพยายามเข้าใจมันดู
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทันตแพทย์สม ได้นำเสนอให้เราได้ลองอ่านกันดูค่ะ
แล้วแก้วก็ได้ลองเรียบเรียงสั้นๆ มานำเสนอให้เพื่อนๆได้อ่านกันเป็นบางประเด็น ที่คิดว่านำมาเริ่มใช้ได้ง่ายๆในชีวิตประจำวันค่ะ
เริ่มแรก ความงามของเรา จะเริ่มเปลี่ยนกันที่ “ความคิด”
เริ่มต้น ก็ใช้ประโยคออกไปทางโลกสวยเลย <<< กำลังคิดแบบนี้อยู่รึเปล่าคะ 555 แต่แก้วมาพร้อมคำอธิบายนะ อิอิ
โดยปกติแล้ว จิตของมนุษย์จะเป็นตัวที่ส่งผลต่อออร่าของเรา ว่าจะเปล่งออกมาเป็นสีแดง ชมพู หรือขาว โดยการเปลี่ยนแปลงของออร่าทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นมาจากอารมณ์ของเราที่ส่งผลมาจากจิตอีกครั้งหนึ่ง
ชมพู - กำลังมีความรัก
แดง - โคตรแค้น โคตรโกรธเกลียดใครสักคน
ขาว - สงบนิ่ง
และสีขาวจากความสงบนิ่งนี่เอง ที่จะส่งผลให้ผิวเราดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี สดใส ในแบบที่แตกต่างจากการบำรุงด้วยเซรั่ม และมาร์คหน้า เพราะมันจะไม่สูญหายไปไหน ตราบใดที่จิตเรายังนิ่ง และไม่มีความโกรธเคืองแค้นใคร จนทำให้สีขาวกลายไปเป็นสีแดงเดือด
เราจะสร้างออร่าที่ดีได้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการมีสมาธิอีกครั้งหนึ่ง -- หรือพูดอีกอย่างคือ การมีจิตตั้งมั่น มุ่งมั่น ที่จะคิดดี ทำดี สงบนิ่ง ไม่ว้าวุ่น
การที่ตั้งสมาธิได้ จะทำให้เรามีความยินดีต่อสิ่งที่เราทำอยู่ มีความพอใจกับผลที่ได้รับจากการกระทำ ทำให้เกิดเป็นความสุข
พูดให้เป็นภาษาคนปุถุชนมากกว่านี้ ก็คือ สมมติหากเราต้องลุยโปรเจกอันนี้ให้เสร็จ และหากเราตั้งสมาธินิ่ง แน่วแน่ ว่าเราจะตั้งใจทำให้ดี เราก็จะสามารถค่อยๆคิด ค่อยๆทำ โปรเจกนั้นๆ ไปได้อย่างดีและมีสติ ผลงานจึงออกมาดีมาก ความยินดีที่ได้กลับมาจากผลงานชิ้นนั้น ไม่ว่าจะความสำเร็จ หรือความพอใจส่วนตัว จึงส่งผลทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข ขึ้นในใจ
ตอนนั้นแหละค่ะ ที่เราจะเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ -- ตรงนี้จึงช่วยอธิบายให้เราเข้าใจเรื่องจิต ที่มีผลต่อผิวของเราได้มากขึ้น
นอกเหนือจากการทำสมาธิ ออร่าก็เกิดได้จากการที่เราทำทาน คิดดีทำดี แน่นอนว่า ออร่าต้องเปล่งประกายมาจากข้างในค่ะ
หากใครอยากลองทำความเข้าใจหลักข้อแรกนี้ ในรูปแบบคำสอนพระพุทธจริงๆ ในหนังสือก็มีอธิบายค่ะ (หลักการมีปราโมทย์ ปิติ เป็นต้น)
และประเด็นที่ 2 สำหรับการเปลี่ยนความคิด
ก็คือการวางเป้า “ความสวย” ของตัวเอง ว่าอยู่ที่ตรงไหน
อยู่ที่อยากขาวสะท้านเอาชนะผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรามั้ย อยู่ที่อยากหน้าใสเด้งกว่าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆเราตอนนี้รึเปล่า หรืออยู่ที่อยากสวยสุดติ่งจนใครๆก็ต้องชม อยากเสพติดคำเยินยอ ที่สรรเสริญเราถล่มทลายยิ่งกว่าเดินพรมแดงฮอลลีวู้ด หรือแค่เพื่อเหตุผลเรียบง่าย ที่ให้ตัวเองรู้สึกดี รักตัวเอง เห็นคุณค่าตัวเองเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ?
ทำไมเป้าหมายนั้นถึงมีผลต่อจิต และจิตถึงมีผลสะท้อนเด้งกลับมาที่ความสวยเรา
เพราะยิ่งเราอิจฉาความสวยของคนอื่น
ยิ่งอยากได้อยากมีให้เหนือกว่าคนอื่น
ยิ่งทำทุกอย่างไปเพื่อเอาชนะ ด้วยแรงอิจฉา แรงโมโห
ก็ยิ่งทำให้จิตใต้สำนึกของเรา “จำ” เอาไว้ว่า ความสวย ที่เรากำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อิจฉาจนตาทะลักอยู่นั้น คือสิ่งที่ “ไม่ดีต่อเรา”
จิตใต้สำนึกก็จะยิ่งกีดกันเราให้ห่างออกไปจาก “ความสวย” เหล่านั้น เพราะจิตใต้สำนึกนั้นแยกแยะไม่ได้ ว่าจิตสำนึกเราต้องการอะไร มันแปลไม่ออกว่าความอิจฉาของเรา มาจากประเด็นสั้นๆง่ายๆคือ เราอยากสวย มันรับรู้ได้แค่เพียงความรู้สึกรุนแรงด้านลบที่เรามี เมื่อเห็นความสวยของคนอื่นเท่านั้น
สรุปแล้วก็คือ เป้าหมายที่อยากจะงดงามที่มีเพื่อเปรียบเทียบแข่งขัน ไม่ใช่เพื่อตนเองนั้น จะไม่ได้ช่วยให้เรามีความงามที่ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้เลย มันยิ่งถีบเราออกห่างมาจากความสวยนั้นด้วยซ้ำ
คาดว่าประเด็นนี้ เพื่อนๆหลายคนคงเจอกับตัวเองมาแล้ว การที่เรารักตัวเอง บำรุงผิวพรรณตัวเอง ดูแลความสวยความงามของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความสุข และเห็นคุณค่าตัวเองนั้น มีผลมหาศาลกับเรา มากกว่าการประทินโฉมตัวเองไปแข่งประชัน หรือเปรียบเทียบหาข้อดีข้อด้อยกับคนอื่น
เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยกับการดูแลตัวเอง เราจะยิ้มในตอนที่เราส่องกระจก พอใจในแบบที่เราเป็น และดีใจในแบบที่เป็นเรา
ในขณะที่การอิจฉา เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้น มีแต่จะทำให้เราหน้าตาบู้บี้ และแทบอยากจะทุบกระจกทิ้ง ! วู้วว !
hit the BOOK Vol.4 : hit the BOOK with ME & ธรรมะหน้าเด้ง ! สวย สุขภาพดี ได้ง่ายๆด้วยวิธีที่เรียบง่าย
รอบนี้จะมารีวิวเป็นหนังสือที่ไม่ใช่นิยาย วรรณกรรม หรือเรื่องสั้น แต่เป็นเกี่ยวกับเกร็ดความรู้ธรรมะ ซึ่งมีชื่อว่า “ธรรมะหน้าเด้ง” ค่ะ
ค่ะ ธรรมะ 5555 เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไป
เรื่องของเรื่อง ที่แก้วสนใจอ่านเรื่องนี้ ก็เพราะรู้สึกว่ามีความจริงบางอย่าง ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง และเชื่อว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายๆคนมาแล้วเหมือนกัน
นั่นก็คือเวลาที่เรามีความสุข ความรู้สึกบางอย่างจะเกิดขึ้นมาจาก “ข้างใน” แล้วแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า และร่างกายเรา จนกลายเป็นความสุขจาก “ภายใน”
แล้วตราบใดที่ความรู้สึกนั้นยังอยู่กับเรา เราจะยิ้มตลอดเวลา แม้ว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะหน้าเฉยๆ ไม่ได้หัวเราะ หรือตั้งใจยิ้มอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าของเราจะยิ้มออกมาเอง ผิวของเราจะดูเปล่งปลั่ง สดใส แม้ว่าจะมีริ้วรอย สิว รอยดำต่างๆอยู่ที่เดิม ไม่ได้หายไปไหนภายในช่วงเวลานั้น แต่มันจะดูเหมือนว่าอะไรๆบนเครื่องหน้าเรา จะดูสดใสเจิดจ้ากว่าเดิม จนแม้แต่คนรอบข้างเราก็รู้สึกได้ ถึงขั้นต้องทักว่า ไปทำอะไรมา ทำไมดูดี สดใส และไม่โทรม
แต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นหายไป เราจะกลับเข้าสู่ 2 สภาวะตามเดิม
ถ้าไม่สภาวะเฉยๆ ก็คือสภาวะสุดโต่งไปเลย -- โกรธ เศร้า เซ็ง แค้น อิจฉา -- และอีกหลายอารมณ์ที่แปรปรวนไปตามสถานการณ์
แล้วออร่าความเปล่งปลั่งสดใสนั้นก็จะดับวูบหายไปเลย -- ไม่ว่าจะที่ใบหน้า ริมฝีปาก หรือผิวกายของเรา
ใช่มั้ยคะ เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่มั้ยคะ ?
ซึ่งมันน่าสงสัยมากๆ ว่าทำไมจิตและอารมณ์ของเรา มันเกี่ยวดองกับกายภาพได้มากขนาดนี้
หากจะมองแค่ว่า ไม่เห็นแปลก ก็ในเมื่อคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้ม ต้องดูดีกว่าคนอารมณ์เสีย หน้าบูดบึ้ง อยู่แล้ว
คนไม่เครียด ชิลๆไปตามสายลมและแสงแดด ก็ต้องดูเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์กว่าคนจริงจัง ทำงานตะบี้ตะบัน ขยันแหลกลาญอยู่แล้วเป็นธรรมดา
มันเป็นไปตามจิตวิทยาที่มีต่อตนเองและคนรอบข้าง
เอาให้ชัดกว่านี้อีก ตามที่เราเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็คือคนใจเย็น อารมณ์ดี พักผ่อนเพียงพอ และ ไม่เครียดมักจะมีระบบต่างๆในร่างกายที่ดี แข็งแรง นอนหลับง่าย ไม่แม้แต่ท้องผูก ในขณะที่คนลุยงานดึก ขี้กังวล เครียดง่าย หรือใจร้อน มักจะมีระบบต่างๆในร่างกายแปรปรวณตามไปด้วย ไม่ว่าจะท้องไส้ผูกบ้าง เสียบ้าง นอนไม่หลับบ้าง(บางคนนอนไม่หลับเป็นเดือนๆเลยก็มี) ป่วยง่ายเป็นว่าเล่น
โอเค ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าจิตของคนเรา (ที่นิ่ง หรือว้าวุ่น) ก็ต้องส่งผลกับอารมณ์ได้ (กลายเป็นดี หรืออาละวาด) และทั้งจิตกับอารมณ์ (ไม่ว่าจะดีหรือแย่) ก็ต้องมีผลต่อฮอร์โมน ระบบประสาท และสารต่างๆที่หลั่งอยู่ในร่างกายของคนเราจริงมั้ย มันถึงกลายเป็นท้องผูก ท้องเสีย นอนไม่หลับ แก่เร็ว หน้าเหี่ยวย่น สุขภาพแย่ขึ้นทุกวัน --
ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเรื่องของจิตไม่ได้เป็นเรื่อง “คิดไปเอง” แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อระบบร่างกายจริงๆ
สรุปว่าจิตวุ่นๆ อารมณ์ป่วนๆ มันทำให้เราน่าเกลียดขึ้น?
ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย
ถ้าอย่างนั้น ถ้าเรารู้จักควบคุมจิตกับอารมณ์ได้ตั้งแต่แรก มันก็จะส่งผลต่อทุกอย่างให้ดีขึ้นตามลำดับได้รึเปล่า
ใช่มั้ยคะะะ ใช่มั้ยยยย
แก้วว่ามันน่าสงสัยมากๆๆ และคิดว่าหลายคนคงสงสัยเหมือนกัน (ใช่มั้ยคะะ)
ต่อมาพี่สาวได้แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้อ่าน ซึ่งแก้วชอบมาก เพราะเขียนอธิบายได้ดี เข้าใจง่าย
อาจจะมีบางคำ บางช่วง ที่เข้าใจยากไปนิดนึง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะจ๋า (เช่นแก้วเป็นต้น) แต่หากอ่านซ้ำๆ แอบไปเปิดกูเกิ้ลแปลบ้าง ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นค่ะ
สำหรับนักอ่านหลายท่าน โดยเฉพาะนักอ่านธรรมะ หรือนักอ่านธรรมะวิทยาศาสตร์ อาจจะคุ้นเคยกับนักเขียนท่านนี้อยู่แล้ว นั่นคือ “ทันตแพทย์สม สุจีรา” นักเขียนระดับ Best seller มาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” หรือ “เดอะ ท็อป ซีเคร็ต” เป็นต้น
ซึ่งแต่ละเล่ม ล้วนเป็นหนังสือที่จะช่วยให้เราเข้าใจและเห็นภาพจริงๆของ พระพุทธศาสนา มากกว่าที่เคยเรียนในห้องเรียน เพราะจะอธิบายให้เรารู้ที่มาที่ไป รู้ความจริงที่อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้เข้าใจมากขึ้น ว่าความจริงที่ท่านตรัสไว้ เราสามารถจับต้องได้ นำมาใช้ได้จริงๆ ทดสอบได้ และไปได้ถึงพิสูจน์ด้วยหลักของฟิสิกส์ควอนตัม
แน่นอนค่ะ ว่าเรื่องฟิสิกส์ควอนตัมเข้าใจยาก และอ่านยากเป็นบางคำ บางช่วง ถ้าหากเราไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน(เช่นแก้วอีกแล้ว) แต่ถ้าตั้งใจอ่าน ใช้เวลาอ่านดีๆ ก็เข้าใจตามได้ค่ะ (ไม่มากก็น้อย 555)
หลายๆอย่าง และหลายๆคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตรงกับหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราจริงๆ และคำอธิบายทั้งหมด ก็มีไว้ให้เรามานานแล้วค่ะ เหลือแต่ให้เราลองพยายามเข้าใจมันดู
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทันตแพทย์สม ได้นำเสนอให้เราได้ลองอ่านกันดูค่ะ
แล้วแก้วก็ได้ลองเรียบเรียงสั้นๆ มานำเสนอให้เพื่อนๆได้อ่านกันเป็นบางประเด็น ที่คิดว่านำมาเริ่มใช้ได้ง่ายๆในชีวิตประจำวันค่ะ
เริ่มแรก ความงามของเรา จะเริ่มเปลี่ยนกันที่ “ความคิด”
เริ่มต้น ก็ใช้ประโยคออกไปทางโลกสวยเลย <<< กำลังคิดแบบนี้อยู่รึเปล่าคะ 555 แต่แก้วมาพร้อมคำอธิบายนะ อิอิ
โดยปกติแล้ว จิตของมนุษย์จะเป็นตัวที่ส่งผลต่อออร่าของเรา ว่าจะเปล่งออกมาเป็นสีแดง ชมพู หรือขาว โดยการเปลี่ยนแปลงของออร่าทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นมาจากอารมณ์ของเราที่ส่งผลมาจากจิตอีกครั้งหนึ่ง
ชมพู - กำลังมีความรัก
แดง - โคตรแค้น โคตรโกรธเกลียดใครสักคน
ขาว - สงบนิ่ง
และสีขาวจากความสงบนิ่งนี่เอง ที่จะส่งผลให้ผิวเราดูเปล่งปลั่ง สุขภาพดี สดใส ในแบบที่แตกต่างจากการบำรุงด้วยเซรั่ม และมาร์คหน้า เพราะมันจะไม่สูญหายไปไหน ตราบใดที่จิตเรายังนิ่ง และไม่มีความโกรธเคืองแค้นใคร จนทำให้สีขาวกลายไปเป็นสีแดงเดือด
เราจะสร้างออร่าที่ดีได้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการมีสมาธิอีกครั้งหนึ่ง -- หรือพูดอีกอย่างคือ การมีจิตตั้งมั่น มุ่งมั่น ที่จะคิดดี ทำดี สงบนิ่ง ไม่ว้าวุ่น
การที่ตั้งสมาธิได้ จะทำให้เรามีความยินดีต่อสิ่งที่เราทำอยู่ มีความพอใจกับผลที่ได้รับจากการกระทำ ทำให้เกิดเป็นความสุข
พูดให้เป็นภาษาคนปุถุชนมากกว่านี้ ก็คือ สมมติหากเราต้องลุยโปรเจกอันนี้ให้เสร็จ และหากเราตั้งสมาธินิ่ง แน่วแน่ ว่าเราจะตั้งใจทำให้ดี เราก็จะสามารถค่อยๆคิด ค่อยๆทำ โปรเจกนั้นๆ ไปได้อย่างดีและมีสติ ผลงานจึงออกมาดีมาก ความยินดีที่ได้กลับมาจากผลงานชิ้นนั้น ไม่ว่าจะความสำเร็จ หรือความพอใจส่วนตัว จึงส่งผลทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข ขึ้นในใจ
ตอนนั้นแหละค่ะ ที่เราจะเปล่งปลั่งขึ้นมาได้ -- ตรงนี้จึงช่วยอธิบายให้เราเข้าใจเรื่องจิต ที่มีผลต่อผิวของเราได้มากขึ้น
นอกเหนือจากการทำสมาธิ ออร่าก็เกิดได้จากการที่เราทำทาน คิดดีทำดี แน่นอนว่า ออร่าต้องเปล่งประกายมาจากข้างในค่ะ
หากใครอยากลองทำความเข้าใจหลักข้อแรกนี้ ในรูปแบบคำสอนพระพุทธจริงๆ ในหนังสือก็มีอธิบายค่ะ (หลักการมีปราโมทย์ ปิติ เป็นต้น)
และประเด็นที่ 2 สำหรับการเปลี่ยนความคิด
ก็คือการวางเป้า “ความสวย” ของตัวเอง ว่าอยู่ที่ตรงไหน
อยู่ที่อยากขาวสะท้านเอาชนะผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรามั้ย อยู่ที่อยากหน้าใสเด้งกว่าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆเราตอนนี้รึเปล่า หรืออยู่ที่อยากสวยสุดติ่งจนใครๆก็ต้องชม อยากเสพติดคำเยินยอ ที่สรรเสริญเราถล่มทลายยิ่งกว่าเดินพรมแดงฮอลลีวู้ด หรือแค่เพื่อเหตุผลเรียบง่าย ที่ให้ตัวเองรู้สึกดี รักตัวเอง เห็นคุณค่าตัวเองเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ?
ทำไมเป้าหมายนั้นถึงมีผลต่อจิต และจิตถึงมีผลสะท้อนเด้งกลับมาที่ความสวยเรา
เพราะยิ่งเราอิจฉาความสวยของคนอื่น
ยิ่งอยากได้อยากมีให้เหนือกว่าคนอื่น
ยิ่งทำทุกอย่างไปเพื่อเอาชนะ ด้วยแรงอิจฉา แรงโมโห
ก็ยิ่งทำให้จิตใต้สำนึกของเรา “จำ” เอาไว้ว่า ความสวย ที่เรากำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง อิจฉาจนตาทะลักอยู่นั้น คือสิ่งที่ “ไม่ดีต่อเรา”
จิตใต้สำนึกก็จะยิ่งกีดกันเราให้ห่างออกไปจาก “ความสวย” เหล่านั้น เพราะจิตใต้สำนึกนั้นแยกแยะไม่ได้ ว่าจิตสำนึกเราต้องการอะไร มันแปลไม่ออกว่าความอิจฉาของเรา มาจากประเด็นสั้นๆง่ายๆคือ เราอยากสวย มันรับรู้ได้แค่เพียงความรู้สึกรุนแรงด้านลบที่เรามี เมื่อเห็นความสวยของคนอื่นเท่านั้น
สรุปแล้วก็คือ เป้าหมายที่อยากจะงดงามที่มีเพื่อเปรียบเทียบแข่งขัน ไม่ใช่เพื่อตนเองนั้น จะไม่ได้ช่วยให้เรามีความงามที่ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้เลย มันยิ่งถีบเราออกห่างมาจากความสวยนั้นด้วยซ้ำ
คาดว่าประเด็นนี้ เพื่อนๆหลายคนคงเจอกับตัวเองมาแล้ว การที่เรารักตัวเอง บำรุงผิวพรรณตัวเอง ดูแลความสวยความงามของตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความสุข และเห็นคุณค่าตัวเองนั้น มีผลมหาศาลกับเรา มากกว่าการประทินโฉมตัวเองไปแข่งประชัน หรือเปรียบเทียบหาข้อดีข้อด้อยกับคนอื่น
เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยกับการดูแลตัวเอง เราจะยิ้มในตอนที่เราส่องกระจก พอใจในแบบที่เราเป็น และดีใจในแบบที่เป็นเรา
ในขณะที่การอิจฉา เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้น มีแต่จะทำให้เราหน้าตาบู้บี้ และแทบอยากจะทุบกระจกทิ้ง ! วู้วว !