---------------------- ทำความเข้าใจ คำว่า สัตว์ สมมติเทศนา ปรมัตถเทศนา --------------------

กระทู้สนทนา
กระทู้ต้นเรื่อง
http://pantip.com/topic/35325687/comment49

----------------- จากการสนทนาในกระทู้ต้นเรื่อง


                                    พบว่าผู้ร่วมสนทนา 2 ท่าน มีความเข้าใจผิด แล้วจึงสับสนในเรื่องความจริงและสมมติ
                                     ซึ่งน่าจะมาจาก การสอนของสำนักหนี่ง  (เนื่องจากไม่เคยพบ ผู้ที่เข้าใจผิด ในเรื่องที่มีความหมายชัดเจนเรื่อง สมมติเทศนา สมมติสัจจะ ปรมัตถเทศนา ปรมัตถสัจจะ มาจากที่อื่นเลย)

                                               ความเข้าใจผิด ของท่าน  2 ท่าน คือ

                                   1. เข้าใจว่าสัตว์เป็นปรมัตถสัจจะ เป็นผู้เวียนตายเกิด (เข้าใจว่าสัตว์คือความอยาก...)
                                                              (ซึ่งเข้าใจผิด ว่าสัตว์เป็นปรมัตถสัจจะ เป็นสิ่งที่มีจริง(ความจริงสิ่งที่เป็นสัตว์ ไม่มีจริง(เป็นเพียงความจริงแบบสมมติให้พูดเข้าใจกันเท่านั้น  เพราะเมื่อยากกายออกเป็นส่วนต่างๆแล้ว ก็ไม่มีส่วนไหนที่จะเรียกว่าสัตว์ได้  
                                                                                                                                   ความจริงระดับแท้จริง(ปรมัตถ์สัจจะ ปรมัตถ์เทศนา) จะเป็นการเรียกสิ่งต่างๆในระดับย่อยที่สุดที่เรียกได้ เช่น รูป / เวทนา สัญญา สังขาร(สิ่งที่เกิดให้จิตรับรู้ เรียกรวมว่า เจตสิก)/ วิญญาน(จิต) ...
                                                               เมื่อเข้าใจผิดว่า สัตว์ เป็นปรมัตถ์สัจจะ จึงทำให้เข้าใจสัจจะ 2 แบบ สลับกัน

                                                      ถ้าหากจะกล่าวแบบสมมติ  ว่า สัตว์เวียนว่ายตายเกิด นั้นก็ได้อย่างสมมติสัจจะ
                                                         แต่ความจริงแท้จริง(ปรมัตถ์)แล้ว  สัตว์ไม่มี  มีแต่  จิต(และเจตสิก)และรูป(กาย) ซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา  
                                                                    และรูปและนามใหม่ที่เกิดให้ภพใหม่(จากรูปนามเก่าในภพเก่าที่มีตัณหาอยู่(ทำให้มีเชื้อให้เกิดรูปนามใหม่ในภพใหม่))  เป็นของใหม่  ซึ่งไม่ใช่รูปนามเดิม  


                                                                   ในความจริง ระดับปรมัตถ์จึงไม่เรียกว่า เป็นการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรียกว่า สิ่งหนึ่งทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง เมื่อสิ่งที่เป็นปัจจัยหมดไป ก็ไม่มีสิ่งที่เป็นผล  คือ กฎปฏิจสมุปปบาท(หรืออิทัปปัจจยตา) ที่เป็นหลักความจริง ที่นำไปสู่การสรุปเป็น อริยสัจ4  ผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติ(ทางออกจากทุกข์ - มรรค)ได้  ก็จะสิ้นกิเลส หมดทุกข์




                                       2. การเข้าใจว่า สัตว์ คือ ความอยาก...
                                              เป็นการเข้าใจ สิ่งที่นับเป็นตัวตนแบบสมมติ ว่า เป็น คำนามที่ใส่ความว่า ความ หน้าคำ กิริยา (คือไม่ได้เป็นสิ่งที่นับแบบตัวตนได้  เพราะความจริงคือ คำนามที่มาจาก คำกริยา
                                                       ซึ่งน่าจะมาจากการทำความเข้าใจพระธรรมผิด
                                                  "...  ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. ...."

                                                             คือ  ไปดูแต่ คำว่า ความอยาก  และเมื่อไม่ได้เข้าใจความจริงในระดับพื้นฐาน
                                                                  จึงไปเข้าใจว่า สัตว์ คือ กริยาที่มาทำเป็นคำนาม (ซึ่งผิดแบบ ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าใจไปแบบนั้นได้)  และพอถามว่า ความอยาก เกิดที่ไหน ก็บอกว่า ความอยาก(ซี่งเข้าใจไปว่าคือสัตว์)เกิดที่ สัตว์ที่มีอวิชชา  งุนงง วนเวียนไปหมด                        เพราะเมื่อความอยากคือสัตว์ แล้ว  จะมาบอกว่า ความอยากเกิดที่ความอยากได้อย่างไร

                                                                     ความจริง คือ คำว่า "เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด" นั้น หมายถึง ความอยากที่เกิดกับจิต (ไม่มีความอยาก เกิดที่อื่นได้  เกิดที่ร่างกายก็ไม่ได้ เกิดขึ้นบนตัวเองก็ไม่ได้  มีแต่เกิดขึ้นกับจิต  เพื่อให้จิตรับรู้เท่านั้น (เหมือนกับเจตสิกอื่นๆ ทุกเจตสิก ก็เกิดกับจิต ให้จิตรับรู้ เท่านั้น  อย่างอื่นรับรุ้เจตสิกไม่ได้  มีแต่จิตเท่านั้นที่รับรู้เจตสิกได้)

                                                           สัตว์ นั้น จึงหมายถึง คำเรียกแบบสมมติของจิตที่มีความอยาก มีกิเลส ที่ยังเกิดในภพต่างๆอยู่
            


  ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
*******************************
                  ๒. สัตตสูตร
                ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าสัตว์
    [๓๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น
จึงเรียกว่า สัตว์. เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก
ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง
ในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์...

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=4433&Z=4459
***********************
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่