"อองซาน ซูจี" เยี่ยมแรงงานเมียนมา 23 มิ.ย.ที่ตลาดทะเลไทย เอกชนหวั่นดึงแรงงานกลับ หลังการเมืองนิ่งเศรษฐกิจโต นักธุรกิจมหาชัยเสนอแมตชิ่งธุรกิจแปรรูปอาหารทะเล นำเข้าวัตถุดิบจากเมืองมะริดผ่านด่านสิงขร ประจวบฯ ไอทีดีลุ้นผ่านพิมพ์เขียวทวายโปรเจ็กต์
ดร.ปรีชา ศิริแสงอารำพี ประธานหอการค้า จ.สมุทรสาคร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา มีกำหนดการที่จะมาเยี่ยมแรงงานเมียนมาในวันที่ 23 มิ.ย. 2559 ที่ตลาดทะเลไทย สมุทรสาคร โดยในเบื้องต้นจะมีการพูดคุยกับแรงงานเมียนมาเกี่ยวกับการชี้แจงแนวทางการ บริหารประเทศภายใต้การทำงานของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD)
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมประมง ทั้งแปรรูปและเรือประมง ส่วนใหญ่กังวลว่าการมาเยี่ยมครั้งนี้ จะเป็นการชักจูงให้แรงงานกลับภูมิลำเนา เพราะเมียนมามีเสถียรภาพทางการเมืองดีขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจกำลังขยายตัว เกิดการจ้างงานมากขึ้น แต่หากผู้ประกอบการไทยให้สวัสดิการที่ดี และค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็ยังเป็นแรงจูงใจให้แรงงานเลือกทำงานที่สมุทรสาคร เพราะค่าแรงขั้นต่ำที่เมียนมาเฉลี่ย 50-100 บาท/วัน
"ผู้ประกอบการจะต้องดูแลแรงงานเมียนมาที่มีทักษะฝีมือไว้ให้ดี ให้ค่าจ้างตามกฎหมาย มีสวัสดิการที่ดี ป้องกันไม่ให้แรงงานหนีหาย การมาครั้งนี้ของนางซู จี คงมีวาระหลายที่ อยากให้รัฐบาลไทยมีความชัดเจนในการออกใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว ที่ผ่านมาไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการและแรงงานได้รับผลกระทบ"
ประเด็นที่เอกชนไทยจะนำเสนอนางซู จี คือ ส่งเสริมให้มีการค้าการลงทุนร่วมกันระหว่างนักธุรกิจในสมุทรสาครกับนัก ธุรกิจเมียนมา โดยเฉพาะการแมตชิ่งธุรกิจอาหารทะเล นำวัตถุดิบผ่านเมืองมะริด ออกมาทางด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะเมืองมะริดเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลขนาดใหญ่ของเมียนมา ส่วนไทยมีความรู้ด้านการแปรรูป มีนวัตกรรมการผลิต หากร่วมมือกันได้จะเป็นโอกาสมาก
ดร.อภิวัฒน์ วังวิวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร เปิดเผยว่า จะเสนอว่า ที่ผ่านมา สมาชิกสภาอุตฯกว่า 400 ราย ดูแลแรงงานเมียนมาอย่างดี ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท สวัสดิการรักษาพยาบาล คลอดบุตร การศึกษาบุตร และปฏิบัติตามกฎหมายเคร่งครัด มั่นใจว่าใน 10 ปีต่อจากนี้ แรงงานเมียนมาจะยังคงทำงานในไทย เพราะค่าแรงที่สูงกว่าเป็นแรงจูงใจ แม้หลายฝ่ายจะกังวลว่านางซู จี จะชักชวนให้แรงงานกลับภูมิลำเนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาจะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือ 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และ 2.บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานรวมทั้งการจัดตั้งกรอบการทำงานที่ ชัดเจน เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งสองฝ่าย มีผลบังคับใช้ ณ วันที่ลงนามเป็นเวลา 4 ปี
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางาน จ.สมุทรสาคร ระบุว่า สถานการณ์การจ้างคนต่างด้าวใน จ.สมุทรสาคร เดือน เม.ย. 2559 มีทั้งสิ้น 219,240 คน เป็นแรงงานเมียนมา 196,668 คน ลาว 6,555 คน กัมพูชา 8,295 คน และอื่น ๆ 7,722 คน
ITD ลุ้นอนุมัติพิมพ์เขียว
นาย เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กล่าวว่าการพัฒนาโครงการทวายที่ได้สิทธิเช่าพัฒนาพื้นที่เฟสแรก 27 ตร.กม. เป็นเวลา 75 ปี ลงทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท ขณะนี้รอรัฐบาลเมียนมาอนุมัติแบบรายละเอียดก่อสร้าง การจัดหาแหล่งเงินกู้ การพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่เพิ่งบังคับใช้ปลาย ก.พ. 2559 จากนั้นบริษัทจะเข้าพื้นที่พัฒนาโครงการได้
"ก่อนหน้านี้ เราก่อสร้างไปแล้วในส่วนของระบบสาธารณูปโภค วงเงิน 6,000 ล้านบาท แต่แบบที่ขออนุมัติเป็นแบบรายละเอียดสำหรับก่อสร้าง ส่งไปเมื่อต.ค. 2558 ตอนนั้นจะส่งมอบพื้นที่ให้ มี.ค. แต่ใกล้เลือกตั้งจึงรอรัฐบาลใหม่เมื่อได้รับอนุมัติ มิ.ย.นี้ จะขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมได้ทันที"
ส่วนการก่อสร้างถนนจากชายแดน ไทย (บ้านพุน้ำร้อน) ถึงทวาย 138 กม. ขนาด 2 ช่องจราจร วงเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมทางรัฐบาลไทยต้องการให้รัฐบาลเมียนมากู้เงินมาก่อสร้าง ซึ่งต้องเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา คาดว่าใน มิ.ย.นี้จะได้ข้อสรุป และกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นคนละส่วนกับการพัฒนาพื้นที่ที่บริษัทได้ ในโซนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นวางแผนพัฒนาภาพรวมทั้งโครงการและพัฒนาพื้นที่ส่วนที่เหลือคาดว่า จะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 350,000 ล้านบาท
"งานส่วนถนน เราเตรียมแผนไว้ว่าจะใช้เงินกู้จากจีนมาก่อสร้าง จีนเสนอจะลงทุนสร้างถนน 4 เลนรวมถึงสร้างท่าเรือขนาดเล็กให้ด้วย เพื่อใช้ขนส่งสินค้าไปออกทะเลอันดามัน ดำเนินการภายใต้บริษัทเรา อยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลไทย เมียนมา และญี่ปุ่น"
ขณะที่นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บจ.เมียนทวาย อินดัสเทรียลเอสเตท ในเครือ บมจ.อิตาเลียนไทยฯ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับพื้นที่นิคมระยะแรก 450 ไร่ ในโซน A2 ที่ทำเลติดทางเข้า-ออกได้สะดวกแล้วเสร็จ 200 ไร่ ตั้งราคาขายไร่ละ 3 ล้านบาท ขณะนี้มีนักธุรกิจอาหารแปรรูปจากไทยเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่แล้ว 10 ไร่ และก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับแรงงานหลังแรกแล้วเสร็จ 90% เป็นอาคาร 5 ชั้น 175 ห้อง ขนาด 20.4 ตร.ม. พักอาศัยได้ไม่เกิน 4 คน/ห้อง มีแผนสร้างอาคารทั้งหมด 176 หลัง โดยอิตาเลียนไทยฯใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,000-8,000 ล้านบาท
JJNY : ธุรกิจจับตา "ซูจี" บุกมหาชัยชวนแรงงานกลับประเทศ
ดร.ปรีชา ศิริแสงอารำพี ประธานหอการค้า จ.สมุทรสาคร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา มีกำหนดการที่จะมาเยี่ยมแรงงานเมียนมาในวันที่ 23 มิ.ย. 2559 ที่ตลาดทะเลไทย สมุทรสาคร โดยในเบื้องต้นจะมีการพูดคุยกับแรงงานเมียนมาเกี่ยวกับการชี้แจงแนวทางการ บริหารประเทศภายใต้การทำงานของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD)
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมประมง ทั้งแปรรูปและเรือประมง ส่วนใหญ่กังวลว่าการมาเยี่ยมครั้งนี้ จะเป็นการชักจูงให้แรงงานกลับภูมิลำเนา เพราะเมียนมามีเสถียรภาพทางการเมืองดีขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจกำลังขยายตัว เกิดการจ้างงานมากขึ้น แต่หากผู้ประกอบการไทยให้สวัสดิการที่ดี และค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็ยังเป็นแรงจูงใจให้แรงงานเลือกทำงานที่สมุทรสาคร เพราะค่าแรงขั้นต่ำที่เมียนมาเฉลี่ย 50-100 บาท/วัน
"ผู้ประกอบการจะต้องดูแลแรงงานเมียนมาที่มีทักษะฝีมือไว้ให้ดี ให้ค่าจ้างตามกฎหมาย มีสวัสดิการที่ดี ป้องกันไม่ให้แรงงานหนีหาย การมาครั้งนี้ของนางซู จี คงมีวาระหลายที่ อยากให้รัฐบาลไทยมีความชัดเจนในการออกใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว ที่ผ่านมาไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการและแรงงานได้รับผลกระทบ"
ประเด็นที่เอกชนไทยจะนำเสนอนางซู จี คือ ส่งเสริมให้มีการค้าการลงทุนร่วมกันระหว่างนักธุรกิจในสมุทรสาครกับนัก ธุรกิจเมียนมา โดยเฉพาะการแมตชิ่งธุรกิจอาหารทะเล นำวัตถุดิบผ่านเมืองมะริด ออกมาทางด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะเมืองมะริดเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลขนาดใหญ่ของเมียนมา ส่วนไทยมีความรู้ด้านการแปรรูป มีนวัตกรรมการผลิต หากร่วมมือกันได้จะเป็นโอกาสมาก
ดร.อภิวัฒน์ วังวิวัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร เปิดเผยว่า จะเสนอว่า ที่ผ่านมา สมาชิกสภาอุตฯกว่า 400 ราย ดูแลแรงงานเมียนมาอย่างดี ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท สวัสดิการรักษาพยาบาล คลอดบุตร การศึกษาบุตร และปฏิบัติตามกฎหมายเคร่งครัด มั่นใจว่าใน 10 ปีต่อจากนี้ แรงงานเมียนมาจะยังคงทำงานในไทย เพราะค่าแรงที่สูงกว่าเป็นแรงจูงใจ แม้หลายฝ่ายจะกังวลว่านางซู จี จะชักชวนให้แรงงานกลับภูมิลำเนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาจะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือ 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และ 2.บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานรวมทั้งการจัดตั้งกรอบการทำงานที่ ชัดเจน เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งสองฝ่าย มีผลบังคับใช้ ณ วันที่ลงนามเป็นเวลา 4 ปี
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางาน จ.สมุทรสาคร ระบุว่า สถานการณ์การจ้างคนต่างด้าวใน จ.สมุทรสาคร เดือน เม.ย. 2559 มีทั้งสิ้น 219,240 คน เป็นแรงงานเมียนมา 196,668 คน ลาว 6,555 คน กัมพูชา 8,295 คน และอื่น ๆ 7,722 คน
ITD ลุ้นอนุมัติพิมพ์เขียว
นาย เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กล่าวว่าการพัฒนาโครงการทวายที่ได้สิทธิเช่าพัฒนาพื้นที่เฟสแรก 27 ตร.กม. เป็นเวลา 75 ปี ลงทุน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท ขณะนี้รอรัฐบาลเมียนมาอนุมัติแบบรายละเอียดก่อสร้าง การจัดหาแหล่งเงินกู้ การพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่เพิ่งบังคับใช้ปลาย ก.พ. 2559 จากนั้นบริษัทจะเข้าพื้นที่พัฒนาโครงการได้
"ก่อนหน้านี้ เราก่อสร้างไปแล้วในส่วนของระบบสาธารณูปโภค วงเงิน 6,000 ล้านบาท แต่แบบที่ขออนุมัติเป็นแบบรายละเอียดสำหรับก่อสร้าง ส่งไปเมื่อต.ค. 2558 ตอนนั้นจะส่งมอบพื้นที่ให้ มี.ค. แต่ใกล้เลือกตั้งจึงรอรัฐบาลใหม่เมื่อได้รับอนุมัติ มิ.ย.นี้ จะขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมได้ทันที"
ส่วนการก่อสร้างถนนจากชายแดน ไทย (บ้านพุน้ำร้อน) ถึงทวาย 138 กม. ขนาด 2 ช่องจราจร วงเงินกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมทางรัฐบาลไทยต้องการให้รัฐบาลเมียนมากู้เงินมาก่อสร้าง ซึ่งต้องเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณา คาดว่าใน มิ.ย.นี้จะได้ข้อสรุป และกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นคนละส่วนกับการพัฒนาพื้นที่ที่บริษัทได้ ในโซนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นวางแผนพัฒนาภาพรวมทั้งโครงการและพัฒนาพื้นที่ส่วนที่เหลือคาดว่า จะใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 350,000 ล้านบาท
"งานส่วนถนน เราเตรียมแผนไว้ว่าจะใช้เงินกู้จากจีนมาก่อสร้าง จีนเสนอจะลงทุนสร้างถนน 4 เลนรวมถึงสร้างท่าเรือขนาดเล็กให้ด้วย เพื่อใช้ขนส่งสินค้าไปออกทะเลอันดามัน ดำเนินการภายใต้บริษัทเรา อยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลไทย เมียนมา และญี่ปุ่น"
ขณะที่นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บจ.เมียนทวาย อินดัสเทรียลเอสเตท ในเครือ บมจ.อิตาเลียนไทยฯ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับพื้นที่นิคมระยะแรก 450 ไร่ ในโซน A2 ที่ทำเลติดทางเข้า-ออกได้สะดวกแล้วเสร็จ 200 ไร่ ตั้งราคาขายไร่ละ 3 ล้านบาท ขณะนี้มีนักธุรกิจอาหารแปรรูปจากไทยเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่แล้ว 10 ไร่ และก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับแรงงานหลังแรกแล้วเสร็จ 90% เป็นอาคาร 5 ชั้น 175 ห้อง ขนาด 20.4 ตร.ม. พักอาศัยได้ไม่เกิน 4 คน/ห้อง มีแผนสร้างอาคารทั้งหมด 176 หลัง โดยอิตาเลียนไทยฯใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,000-8,000 ล้านบาท