หวั่นพ.ร.ก.ต่างด้าวกระทบลงทุนรัฐ สมาคมนักวิเคราะห์ชี้หากแรงงานกลับมาไม่ถึง 50% ยันไม่กระทบกำไรบจ.เพราะสัดส่วนไม่สูงพร้อมปรับตัวแล้ว
สมาคมนักวิเคราะห์ ชี้พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวอาจส่งผลกระทบโครงการลงทุนภาครัฐล่าช้า หากแรงงานกลับมาลงทะเบียนไม่ถึง 50% ยันไม่กระทบกำไรบจ. เพราะมีอุตสาหกรรมใช้แรงงานต่างด้าวสัดส่วนไม่สูง เห็นสัญญาณการปรับตัวแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนจัดการสัมมนาหัวข้อ“อนาคตแรงงานไทย ยุค 4.0 ผลกระทบและการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาพ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวที่จะถูกบังคับใช้ในต้นปี 2561 มองว่าหากหลังการบังคับใช้แล้วจำนวนแรงงานต่างด้าว กลับเข้ามาน้อยกว่าที่คาด อาจกระทบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้ากว่าที่กำหนดแผนไว้
“ปัญหาของพ.ร.ก.ต่างด้าวอาจกระทบกับการลงทุนของภาครัฐ เนื่องจากในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างใช้แรงงานต่างด้าวถึง 30% ของทั้งหมดโดยมีผู้ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องทั้งสิ้น 2.26 แสนคน ไม่นับรวมกับกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย ที่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย อาจมีจำนวนมาก หรือมีจำนวนสูงถึงหลักล้านคน ซึ่งหากหลังจากขึ้นทะเบียนแรงงานแล้วไม่มีประสิทธิภาพ อาจกระทบกับโครงการภาครัฐที่มีแผนการก่อสร้างต้องล่าช้าออกไปด้วย”
โครงการลงทุนของภาครัฐบาลถือเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโต โดยครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีงานประมูลของภาครัฐออกมาประมาณ 6 แสนล้านบาท ทั้งงานรถไฟฟ้าทางคู่ 5 เส้นทาง งานรถไฟความเร็วสูง งานก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ซึ่งในด้านการประมูลนั้น เชื่อว่ายังเดินหน้าประมูลได้ แต่การก่อสร้างอาจเกิดความล่าช้า ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีปัญหาความล่าช้าในการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียน จากกรณีปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น บริษัทได้ทำการสำรวจสัดส่วนต้นทุนแรงงานของบริษัทจดทะเบียน พบว่าบริษัทที่ใช้แรงงานมากที่สุด คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 30% กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน 30% กลุ่มเดินเรือ 28% กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย 25% แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงงานต่างด้าวไปบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบ กำไรบริษัทจดทะเบียนในภาพรวม เพราะสัดส่วนกำไรของกลุ่มเมื่อเทียบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก
การปรับตัวของผู้ประกอบการในกลุ่มต่างๆ พบว่า มีการปรับตัวที่ดีขึ้น ทั้งในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เริ่มการพึ่งพาแรงงานให้น้อยลง และใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยมากขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรและกลุ่มอาหารทะเลที่ใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย
หวั่นกลับมาขึ้นทะเบียนไม่ถึง 50%
นายอมรเทพ จาวะลาผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) CIMBT เปิดเผยว่า ปัจจุบันแรงงานของไทย ยังมีตัวเลขไม่แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ โดยเบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่ามีแรงงานต่างด้าวในไทยระดับ 10% ของแรงงานทั้งประเทศที่ 38 ล้านคน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่สูงมาก ซึ่งหากแรงงานในกลุ่มนี้หายไปจะส่งผลกระทบกับไทยในระยะสั้น
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าหลายธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบการขาดแคลนบุคลากร ทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปอาหาร อาหารแช่แข็ง และยางพารา ทั้งนี้สิ่งที่ต้องจับตาคือหลังจากการบังคับใช้กฎหมายแล้ว แรงงานที่กลับมาจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด หากกลับมาไม่ถึง 50% นอกจากกระทบกับภาคการผลิตแล้ว ยังอาจกระทบกับภาคการอุปโภคบริโภคในประเทศด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาแรงงานต่างด้าวมีส่วนในการขับเคลื่อนการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวมากขึ้น
ส่วนในระยะยาวมองว่า การจัดระเบียบครั้งนี้จะส่งผลบวก เพราะจะช่วยสร้างระบบการดูแลแรงงานต่างด้าวที่ดีมากขึ้น และช่วยสร้างความมั่นใจและสามารถพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพมากขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยต้องมองแรงงานในประเทศจำนวนมาก ที่อยู่ในภาคการเกษตรให้เข้ามาอยู่ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อช่วยการแก้ไขแรงงานขาดแคลน และยกระดับฝีมือแรงงานให้เพิ่มขึ้น
แนะเพิ่มเจ้าหน้าที่รับขึ้นทะเบียนแรงงาน
นาย ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แรงงานต่างด้าวปัจจุบันนั้น มีการคาดการณ์ว่า มีแรงงานต่างด้าวในไทยประมาณ 3 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย 1.3 ล้านคน แรงงานที่ได้รับการผ่อนผัน 1.3 ล้านคน และคาดว่ามีแรงงานที่ผิดกฎหมายประมาณ 1 ล้านคน หรือจำนวนมากกว่านั้น ซึ่งหลังการประกาศใช้พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว กระทบกับภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็งบ้าง โดยเห็นได้จากตัวเลขการปิดกิจการของร้านอาหารในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,300 ราย และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีการปิดตัวลงอีก 1,000 ราย ซึ่งสูงปีที่แล้วทั้งปีที่ 1,000 ราย
อย่างไรก็ตามสำหรับการแก้ไขปัญหา มองว่าการเลื่อนกำหนดการขึ้นทะเบียนให้นานกว่าที่กำหนดไว้อาจจะไม่ช่วยให้การแก้ไขปัญหาดีขึ้น โดยภาครัฐควรจะเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขึ้นทะเบียนที่ล่าช้า ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวนักลงทุนต่างชาติไม่ได้แสดงความกังวล และมองในภาพรวมของประเทศมากกว่า แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ หวั่น 'พ.ร.ก.ต่างด้าว' กระทบลงทุนรัฐ
สมาคมนักวิเคราะห์ ชี้พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวอาจส่งผลกระทบโครงการลงทุนภาครัฐล่าช้า หากแรงงานกลับมาลงทะเบียนไม่ถึง 50% ยันไม่กระทบกำไรบจ. เพราะมีอุตสาหกรรมใช้แรงงานต่างด้าวสัดส่วนไม่สูง เห็นสัญญาณการปรับตัวแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนจัดการสัมมนาหัวข้อ“อนาคตแรงงานไทย ยุค 4.0 ผลกระทบและการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาพ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวที่จะถูกบังคับใช้ในต้นปี 2561 มองว่าหากหลังการบังคับใช้แล้วจำนวนแรงงานต่างด้าว กลับเข้ามาน้อยกว่าที่คาด อาจกระทบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้ากว่าที่กำหนดแผนไว้
“ปัญหาของพ.ร.ก.ต่างด้าวอาจกระทบกับการลงทุนของภาครัฐ เนื่องจากในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างใช้แรงงานต่างด้าวถึง 30% ของทั้งหมดโดยมีผู้ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องทั้งสิ้น 2.26 แสนคน ไม่นับรวมกับกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย ที่แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย อาจมีจำนวนมาก หรือมีจำนวนสูงถึงหลักล้านคน ซึ่งหากหลังจากขึ้นทะเบียนแรงงานแล้วไม่มีประสิทธิภาพ อาจกระทบกับโครงการภาครัฐที่มีแผนการก่อสร้างต้องล่าช้าออกไปด้วย”
โครงการลงทุนของภาครัฐบาลถือเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโต โดยครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีงานประมูลของภาครัฐออกมาประมาณ 6 แสนล้านบาท ทั้งงานรถไฟฟ้าทางคู่ 5 เส้นทาง งานรถไฟความเร็วสูง งานก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ซึ่งในด้านการประมูลนั้น เชื่อว่ายังเดินหน้าประมูลได้ แต่การก่อสร้างอาจเกิดความล่าช้า ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีปัญหาความล่าช้าในการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลกระทบกับบริษัทจดทะเบียน จากกรณีปัญหาแรงงานต่างด้าวนั้น บริษัทได้ทำการสำรวจสัดส่วนต้นทุนแรงงานของบริษัทจดทะเบียน พบว่าบริษัทที่ใช้แรงงานมากที่สุด คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง 30% กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน 30% กลุ่มเดินเรือ 28% กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย 25% แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาแรงงานต่างด้าวไปบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบ กำไรบริษัทจดทะเบียนในภาพรวม เพราะสัดส่วนกำไรของกลุ่มเมื่อเทียบกับกำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีสัดส่วนที่น้อยมาก
การปรับตัวของผู้ประกอบการในกลุ่มต่างๆ พบว่า มีการปรับตัวที่ดีขึ้น ทั้งในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เริ่มการพึ่งพาแรงงานให้น้อยลง และใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยมากขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรและกลุ่มอาหารทะเลที่ใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วย
หวั่นกลับมาขึ้นทะเบียนไม่ถึง 50%
นายอมรเทพ จาวะลาผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) CIMBT เปิดเผยว่า ปัจจุบันแรงงานของไทย ยังมีตัวเลขไม่แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ โดยเบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่ามีแรงงานต่างด้าวในไทยระดับ 10% ของแรงงานทั้งประเทศที่ 38 ล้านคน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่สูงมาก ซึ่งหากแรงงานในกลุ่มนี้หายไปจะส่งผลกระทบกับไทยในระยะสั้น
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าหลายธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบการขาดแคลนบุคลากร ทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปอาหาร อาหารแช่แข็ง และยางพารา ทั้งนี้สิ่งที่ต้องจับตาคือหลังจากการบังคับใช้กฎหมายแล้ว แรงงานที่กลับมาจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด หากกลับมาไม่ถึง 50% นอกจากกระทบกับภาคการผลิตแล้ว ยังอาจกระทบกับภาคการอุปโภคบริโภคในประเทศด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาแรงงานต่างด้าวมีส่วนในการขับเคลื่อนการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวมากขึ้น
ส่วนในระยะยาวมองว่า การจัดระเบียบครั้งนี้จะส่งผลบวก เพราะจะช่วยสร้างระบบการดูแลแรงงานต่างด้าวที่ดีมากขึ้น และช่วยสร้างความมั่นใจและสามารถพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพมากขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยต้องมองแรงงานในประเทศจำนวนมาก ที่อยู่ในภาคการเกษตรให้เข้ามาอยู่ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อช่วยการแก้ไขแรงงานขาดแคลน และยกระดับฝีมือแรงงานให้เพิ่มขึ้น
แนะเพิ่มเจ้าหน้าที่รับขึ้นทะเบียนแรงงาน
นาย ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แรงงานต่างด้าวปัจจุบันนั้น มีการคาดการณ์ว่า มีแรงงานต่างด้าวในไทยประมาณ 3 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย 1.3 ล้านคน แรงงานที่ได้รับการผ่อนผัน 1.3 ล้านคน และคาดว่ามีแรงงานที่ผิดกฎหมายประมาณ 1 ล้านคน หรือจำนวนมากกว่านั้น ซึ่งหลังการประกาศใช้พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว กระทบกับภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็งบ้าง โดยเห็นได้จากตัวเลขการปิดกิจการของร้านอาหารในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,300 ราย และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีการปิดตัวลงอีก 1,000 ราย ซึ่งสูงปีที่แล้วทั้งปีที่ 1,000 ราย
อย่างไรก็ตามสำหรับการแก้ไขปัญหา มองว่าการเลื่อนกำหนดการขึ้นทะเบียนให้นานกว่าที่กำหนดไว้อาจจะไม่ช่วยให้การแก้ไขปัญหาดีขึ้น โดยภาครัฐควรจะเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขึ้นทะเบียนที่ล่าช้า ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวนักลงทุนต่างชาติไม่ได้แสดงความกังวล และมองในภาพรวมของประเทศมากกว่า แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง