ฉันต้องสู้สิ สู้เพื่อลูกๆของฉัน

วันนี้ฉันเหนื่อยแทบขาดใจ ทำอะไรไม่ได้ ขอความช่วยเหลือ ขอความเห็นใจ หรือแม้กระทั่งกำลังใจจากใครซักคน แทบไม่มี ฉันมีลูก 4 คน คนโตอยู่ชั้น ม.6 เป็นลูกชายที่น่ารัก เชื่อฟัง ดูแลน้องและเป็นที่ปรึกษาของแม่ได้ตลอดเวลา คนที่ 2 เรียนอยู่ชั้น ม.3 เป็นลูกสาวที่ถอดแบบพ่อมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีสังคม หน้าไม่ต้อนรับแขก พูดจาห้วนๆไม่มีคะ ไม่มีขา คนที่ 3 เรียนอยู่ชั้น ป.5 ลูกสาวคนนี้นิสัยจะเหมือนพี่ชายคนโต พูดเพราะ เรียนเก่ง และคนเล็ก..พิการ เดินไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับแม่อย่างฉัน เพราะฉันสามารถทำให้ลูกสาวฉันช่วยเหลือตัวเองได้ ทานข้าวเองได้ บอกความต้องการของตัวเองได้ เพราะสมองเธอปกติ แค่ร่างกายเท่านั้นที่อ่อนแอกว่าคนอื่น ฉันแยกทางและพาลูกๆออกมาจากบ้านของสามีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะเหตุผลที่เก็บสะสมมามากมาย ซึ่งหลักๆคือเรื่องเงิน เมื่อหลายปีที่แล้ว เราอาศัยอยู่ที่ปทุมธานี ฉันทำงานบริษัท สามีทำงานเกี่ยวกับการติดตั้งเครือข่ายโทรศัพท์ เราอยู่กันแบบไม่เดือดร้อน แต่พอฉันคลอดลูกสาวคนที่ 4 คลอดโดยการผ่าตัด ออกมาจากร.พ. อยู่บ้านยังไม่ถึง3วัน สามีใช้ให้เดินไปซื้อน้ำมันเครื่องที่หน้าปากซอยและเดินหิ้วกลับบ้าน ใช้ยกนั่นยกนี่ ลูกคลอดยังไม่ถึงเดือนย่าไม่สบาย ท่านปวดขาแทบเดินไม่ไหว ฉันต้องพาย่าไปทำกายภาพทั้งๆที่ฉันเพิ่งผ่าคลอดมาไม่กี่วันนี่เอง จนตัดสินใจพาไปตรวจอีกร.พ.ทำให้เรารู้ว่าย่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย สามีรักแม่มาก เขาเอ่ยปากให้ฉันฝากลูกที่คลอดยังไม่ถึงเดือนอยู่กับพี่เลี้ยงเพื่อไปดูแลแม่ของเขา แล้วพี่ๆเขาล่ะ พี่สาว 2 คน พี่ชายอีก 2คน พี่สะใภ้เขาล่ะ ฉันทำตาม 1เดือนผ่านไปหลังจากเสร็จจากงานศพย่า เรากลับมารับลูก แว้บแรกของแม่ที่ฉันมองลูกสาวคนเล็กของฉัน ลูกฉันมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ฉันรีบพาลูกไปร.พ. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เข้าพบคุณหมอที่ทำคลอดฉัน เช็คประวัติการคลอด สุดท้ายแม่ก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้คุณหมอฟัง คุณหมอแจ้งว่าถ้าเราจะฟ้องร้องหรือหาหลักฐานก็คงยาก เพราะมันผ่านมานานแล้วพัฒนาการต่างๆของเด็กตอนนี้ไม่สามารถการันตีอะไรได้ว่าผิดปกติหรือไม่ เพราะเด็กเพิ่งอายุได้แค่ 2 เดือน ให้แม่สังเกตดูอาการตามวัย และมาฉีดวัคซีนให้ครบ “มันเวรกรรมอะไรของฉัน” แม่ได้แต่นั่งโทษตัวเอง ถ้าแม่เอาหนูไปต่างจังหวัดด้วยมันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นกับลูกสาวแม่ สามีให้ฉันไปย้ายโรงเรียนของลูกเพื่อไปอยู่ดูแลพ่อ ซึ่งเป็นปู่ของเด็กๆนั่นเอง ฉันลาออกจากงานเพื่อมาดูแลพ่อให้สามี ซึ่งในบ้านหลังใหญ่ นอกจากพ่อ ก็จะมี ป้า ซึ่งมีลูกๆอีก 3 คน หลาน(ลูกของป้าคนโต) ใช่แล้ว คนเยอะ ปัญหาก็เยอะตามมา ฉันทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ตื่นเช้ามาหุงข้าวทำกับข้าวให้ทุกคนและขับรถไปส่งลูกๆที่โรงเรียนในตัวเมือง ซึ่งห่างจากบ้านเกือบ 30 กม.พาลูกสาวคนเล็กไปทำกายภาพทุกวัน และเงินที่เก็บสะสมมาเริ่มหมด ตามมาด้วยปัญหา ฉันเริ่มมองหางานทำ และสุดท้ายฉันก็ได้งานในหน่วยงานราชการ ซึ่งเงินเดือน 9,000 บาท ฉันพาลูกออกจากบ้านตั้งแต่ 06.30น.เพื่อลูกๆจะไม่ได้ไม่มาเรียนสาย กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด กลับไปหุงข้าว ทำกับข้าวให้ทุกคน สามีฉันทำงานติดตั้งเครือข่ายมือถือ ซึ่งเงินก็พอให้ฉันใช้ซื้อกับข้าวสำหรับทุกคนในครอบครัวของเขา แต่เขาให้ฉันอาทิตย์ละ 500 ลูก 4 คนไปโรงเรียนทุกวัน ไหนค่ากับข้าว ค่าน้ำมันรถ แล้วเงินเดือนฉัน 9,000 มันจะเหลืออะไร ฉันต้องไปยืมคนนั้น คนนี้เพื่อที่จะมีเงินมาซื้อกับข้าว มาให้ลูกไปโรงเรียน เขาหาว่าฉันใช้เงินเปลือง ไม่ประหยัด เราทะเลาะกันและฉันก็บอกว่าปัญหาของฉันคือเรื่องเงิน เพราะเงินไม่พอสำหรับค่าใช้จ่าย ฉันก็เลยให้เขาถือเงิน 100 บาทไปซื้อกับข้าว เพื่อมาเลี้ยงคนทั้งบ้าน 100บาท เขาซื้ออะไรได้บ้าง เขาเพิ่มเงินให้เป็นอาทิตย์ละ1,000 แต่ทำได้แค่อาทิตย์เดียว แล้วก็เหมือนเดิม ลำพังฉันดูแลลูกของตัวเองก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ฉันก็ต้องมารับภาระหนักของที่บ้านเขาอีก เวลาพวกเขาคุยกัน ฉันเหมือนเป็นคนอื่น ฉันน้อยใจ เสียใจ พักหลังเขาไม่รับงาน กลับมาอยู่บ้าน เริ่มกินเหล้า ฉันโดนเขาเตะจนฉี่ออกมาเป็นเลือด แต่ก็ทนเพราะยังถือคติแบบเดิมๆ "กลัวลูกมีปัญหา" และสุดท้ายความอดทนของฉันก็ไม่มีเหลือ เมื่อท่านรองฯโทรบอกฉันว่า ท่านจะย้ายออกจากบ้านเช่า ฉันจะเข้าอยู่ต่อมั้ย ฉันตัดสินใจพาลูกๆออกมาจากบ้านด้วยเงินเพียง 180 บาท เอาเฉพาะเสื้อผ้าและของที่จำเป็นและเป็นของๆฉันที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ฉันออกมากับลูกๆทั้งสี่คน โดยที่พ่ออย่างเขาไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเลย ถึงแม้จะลำบาก ฉันขอลำบากอย่างสบายใจ ฉันกับลูกอยู่กันอย่างมีความสุข ลูกๆไม่พูดถึงพ่อ เพราะพวกเขาอาจจะรู้ว่าแม่เจออะไรมาบ้าง เงินไม่พอฉันก็หยิบยืมจากที่ตรงนั้นตรงนี้ ขอพี่สาวของฉันบ้าง เราไม่ลำบาก ฉันรับงานมาพิมพ์ที่บ้านเพื่อเสริมรายได้มาเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้มีตลอด เงินที่ไปยืมเขามาก็ทวงจะเก็บคืนทั้งหมด ถ้าไม่ให้ก็จะเข้าไปหาผอ.ที่ทำงาน ไหนจะค่ารถ ค่าบ้าน เงินฉันให้ลูกๆไปโรงเรียนก็ให้คนละ 50 บาท แล้วฉันจะเอาที่ไหนมาจ่ายล่ะ ฉันเข้าใจทุกคนต่างดิ้นรนและเข้าใจว่าเงินที่ให้ยืมเขาก็ต้องการเงินเขาคืนเช่นกัน ถ้าฉันโดนไล่ออก ลูกฉันจะอยู่ยังไงล่ะ ไม่หรอก ผอ.ไม่ใจร้ายกับคนที่ตั้งใจทำงานอย่างฉันหรอก เพราะท่านรู้ว่าฉันทุ่มเทกับงานแค่ไหน ฉันทำแต่สิ่งดีๆ แต่ทำไมไม่เคยได้รับสิ่งดีๆกลับคืนมาบ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่