มาดูกันว่าการที่เราทำงานมานานจนกลายเป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัททำให้เราเรียนรู้อะไรบ้าง มาดูค่ะ

จขกท ทำงานที่เดิมตั้งแต่เรียนจบจนถึงตอนนี้ก็ 7 ปีกว่า ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากมายก็เลยอยากเอามาแชร์ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนจากวัยเรียนมาสู่วัยทำงานนะคะ เริ่ม !!

- เอาตั้งแต่สัมภาษณ์งานเลยเนอะ เวลาตอบคำถามสัมภาษณ์พยายามอย่าพูดให้ตัวเองดูดีและกล่าวโทษคนอื่น เช่น เค้าถามว่าคุณคิดว่าคุณมีข้อดีกว่าคนอื่นยังไง จขกท สมัยเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ตอบไปว่า หนูเป็นคนขยัน เวลาอาจารย์สั่งงานแล้วไม่มีใครช่วยทำหนูก็จะรับงานนั้นมาทำคนเดียว บางทีเพื่อนก็ไม่ช่วย หนูก็ต้องทำคนเดียวทั้งหมดค่ะ ผ่างงง!!! เป็นคำตอบที่แย่มากค่ะ ยกยอตัวเองและกล่าวโทษคนอื่น ไม่ได้ดูดีในสายตาใครเลยนะคะแบบนี้ สรุปการสัมภาษณ์ครั้งนั้นทำให้ จขกท ไม่ได้งานค่ะ

- เมื่อทำงานไปสักพักและคิดเปลี่ยนงาน การสัมภาษณ์งานครั้งต่อไปคุณจะถูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงลาออกจากที่เก่า คำตอบที่ดีที่จะทำให้คุณได้งานคืออย่าใส่ร้ายหรือพูดข้อเสียของที่ทำงานเก่า เช่น ไม่ถูกกับหัวหน้า ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานเก่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าตอบแบบนี้ค่ะเพราะเค้าจะมองว่าเรามีทัศนคติในแง่ลบมากเกินไป

จขกท เคยลาออกและไปสัมภาษณ์ที่ใหม่ ก็ตอบไปว่าที่เก่าก็ดีหลายอย่างค่ะ แต่อยากจะเปลี่ยนสายงาน อยากเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ บลา ๆ ๆ อะไรก็ว่าไป มีคำตอบในแง่บวกให้เลือกตอบเยอะค่ะ และผลคือ จขกท ได้งานนี้แต่สุดท้ายไม่ได้ไปค่ะ เลือกทำที่เดิม

- เกรดมีผลต่อการรับเข้าทำงานหรือไม่ ?? ที่อื่นไม่ทราบค่ะ แต่ที่บริษัทที่ จขกท ทำงานอยู่ไม่มีผลค่ะ น้อง ๆ บางคนเกรด 2 หน่อย ๆ ก็รับ บางคนเกียรตินิยมก็ไม่รับ ขึ้นอยู่กับทัศนคติและการตอบคำถามวันสัมภาษณ์และบุคลิกรวมทั้งการแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานกับบริษัทนั้น ๆ ค่ะ

- ชื่อมหาวิทยาลัยมีผลต่อการรับเข้าทำงานหรือไม่ ??? อย่าโลกสวยกันเลยสำหรับหัวข้อนี้ถ้า จขกท จะบอกว่าชื่อมหาวิทยาลัยที่คุณจบมามีผลต่อการรับเข้าทำงานอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อมั้ยว่าบริษัทเราหากมีคนส่ง resume มาแล้วเห็นว่าเด็กคนนี้จบจากที่นี่ จากมหาวิทยาลัยนี้ เด็กคนนั้นจะถูกเรียกมาสัมภาษณ์ก่อนเลย มันเป็นแบบนี้จริง ๆ นะคะ แต่หลังจากนั้นเมื่อคุณได้เข้ามาทำงานแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับ EQ และ IQ ล้วน ๆ ว่าคุณจะยืนหยัดอยู่ในที่ทำงานนั้นได้นานแค่ไหน ชื่อมหาวิทยาลัยเป็นใบเบิกทางได้ค่ะ

- เมื่อคุณได้เข้ามาทำงานแล้ว คุณเป็นน้องใหม่ยังไม่รู้จักใครในที่ทำงานดีพอ เพราะฉะนั้นห้ามเด็ดขาดที่เวลาไม่พอใจใครในที่ทำงานแล้วจะเอาเรื่องพวกนี้ไปเล่าให้อีกคนในที่ทำงานฟัง คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาเป็นพวกเดียวกันมาก่อนหรือไม่ และเขาจะเก็บความลับของคุณได้ดีแค่ไหน ทางที่ดีให้เงียบ ๆ ไว้ค่ะ ถ้าอึดอัดจริงให้เล่าให้เพื่อนที่ทำงานที่อื่นหรือญาติพี่น้องฟังจะดีกว่าค่ะ

- เฉกเช่นเดียวกัน ถ้ามีคนอื่นมาเล่าหรือนินทาใครให้คุณฟัง คุณก็รับฟังไว้แต่ไม่จำเป็นต้องไปพูดต่อหรือเอาไปบอกคนอื่น เหตุผลเดียวกับข้อข้างบนเลยค่ะ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เรื่องนินทาในที่ทำงานนี่ฟัง ๆ ไว้แล้วปล่อยผ่านไปเลยค่ะ พูดมากไปงานจะเข้าเอาได้

- อย่าพยายามอยากรู้เงินเดือนเพื่อนร่วมงาน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ sensitive มากนะคะ บางคนบอกว่ารู้แล้วไม่เห็นจะเป็นไรเลย ไม่ได้เก็บมาคิดมากอยู่แล้ว แต่ร้อยทั้งร้อยเก็บมาคิดทั้งนั้นแหละค่ะ เช่นถ้าคุณเกิดรู้ว่าเพื่อนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณ จบสาขาเดียวกัน อายุงานเท่ากัน แต่เขาได้เงินเดือนมากกว่า เชื่อเหอะว่าคุณต้องคิดมากแน่นอนและความคิดนี้มันจะบ่อนทำลายความรู้สึกทุกวัน ๆ จนไม่อยากทำงานต่อไปค่ะ เชื่อสิ

บางคนอายุงานมากกว่า แต่เด็กจบใหม่เข้ามาได้เงินเดือนเยอะกว่าด้วยวุฒิการศึกษาหรืออะไรก็แล้วแต่ ความอิจฉาและไม่พอใจมักจะเกิดตามมาซึ่งพบเห็นได้ในทุกบริษัท ฉะนั้นไม่ต้องรู้เงินเดือนใครดีที่สุดค่ะ ทำงานของเราต่อไปให้ดี ไม่รู้ ไม่ต้องคิดมาก ไม่เครียดค่ะ

- เมื่อทำงานที่เดิมได้ประมาณ 3 ปี หลายคนมักมีความคิดที่จะลาออกหรือเปลี่ยนงาน ถ้าตัดสินใจดีแล้วและคิดว่าที่ใหม่ดีกว่าให้เปลี่ยนเลยค่ะ เพราะถ้าคุณอยู่ที่เดิมนาน ๆ อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ มันจะมีความรู้สึกหนึ่งที่น่ากลัวมากคือ ความรู้สึกผูกพันค่ะ ผูกพันกับบริษัท ผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน ผูกพันกับสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ และไม่กล้าที่จะไปเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ความรู้สึกผูกพันนี้น่ากลัวมากค่ะ คุณจะไม่กล้าเขียนใบลาออก คุณจะกลัวการเปลี่ยนแปลง และสุดท้ายคุณจะต้องทำงานที่เดิมไปจนเกษียณ  แง่ดีคือตำแหน่งจะปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยอายุงานและความเป็นคนเก่าคนแก่ แต่แง่ไม่ดีคือคุณจะไม่ได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ได้เห็นการทำงานขององค์กรอื่น ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว

จขกท ก็เป็นประเภทผูกพันเหมือนกัน อยู่นี่มา 7 ปีกว่าแล้วและรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยพัฒนาเหมือนกันค่ะ การทำใจลาออกมันก็ยากอย่างที่บอกไปนั่นแหละ

- หากทะเลาะกันเรื่องงานในที่ทำงาน เมื่อเลิกงานแล้วพยายามคุยกันดี ๆ เหมือนเดิม เข้าใจว่ามันทำยากนะคะแต่ก็ควรจะทำให้ได้ เพราะเมื่อวันหนึ่งที่คุณลาออกไปแล้วคุณกับเค้าก็จะกลายเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน หากพบเจอกันครั้งต่อไปก็ยังจะได้ช่วยเหลือเกือกูลกัน เพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นคนที่รู้จักกัน การที่คุณทะเลาะกันนอกจากมิตรภาพที่เสียไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นมาเลย เจ้าของบริษัทไม่ได้มารับรู้และบริษัทก็เดินต่อไปได้ในขณะที่เราเสียเพื่อน เสียมิตรภาพที่ดีต่อคน ๆ หนึ่งไปแล้วซึ่งไม่คุ้มกันเลยค่ะ

จขกท ก็เคยทะเลาะกับคนในที่ทำงาน ตอนทะเลาะกันเรื่องงานนี่เขม่นกันน่าดูแต่พอ จขกท ป่วย คนนั้นก็มาถามไถ่มาเยี่ยมเยียน เห็นมั้ยคะว่าถึงทะเลาะกันแค่ไหนก็คงไม่ได้เกลียดกันจนถึงขนาดอยากให้อีกฝ่ายตายไปหรอกใช่ไหม ฉะนั้นเป็นมิตรกันไว้ดีที่สุดค่ะ

- อย่าเด็ดขาดที่จะคิดเปรียบเทียบงานของตัวเองกับคนอื่นว่าทำไมงานของฉันนี่ดูไม่สำคัญเลย ทำไมงานของคนนั้นถึงดูสำคัญกว่า ทำไมผู้บริหารถึงสนใจคนนั้นเยอะกว่า ทำไมคนนี้ได้ทำตรงนี้ ทำไมเราได้ทำแค่นี้ ทำไมคนนั้นรู้เรื่องนี้ แล้วทำไมเราถึงไม่รู้

จะบอกว่าเนื้องานของแต่ละแผนกนั้นไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ ใครได้รับผิดชอบให้ทำเรื่องไหนก็จะถนัดในเรื่องนั้น ๆ หากลองเปลี่ยนให้เขามาทำงานของเรา เขาก็คงจะทำไม่ได้เหมือนเรา เช่นเดียวกันหากให้เราไปทำงานของเขา มันก็ไม่แปลกที่เราจะทำได้ไม่ดีเท่าเขาเพราะคนเราชำนาญและถนัดกันคนละอย่าง จขกท ก็เคยคิดเปรียบเทียบว่าทำไมงานเรานี่ดูไม่มีอะไรเลยนะ ขณะที่คนอื่นดูยุ่งวุ่นวายดูเป็นคนสำคัญของบริษัท ใคร ๆ ก็ต้องการติดต่อ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดค่ะ เครียดอยู่คนเดียวจนบางครั้งก็เกิดอิจฉาขึ้นมาถึงกับต้องดึงสติตัวเองและอ่านหนังสือธรรมะสงบจิตใจกันเลย เพราะฉะนั้นอย่าคิดเปรียบเทียบความสำคัญกับใครค่ะ ทุกคนมีความสำคัญเท่ากันหมดเพียงแต่คุณสำคัญกับงานคนละส่วนแค่นั้น

- หาเวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง ไม่จำเป็นต้องไปทุกครั้งที่เขาชวนแต่อย่าปฏิเสธไปเสียทุกครั้งเพราะมันจะดูเหมือนกับว่าเรามีมนุษยสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากหลาย ๆ ครั้งเข้าพวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่ชวนคุณอีกเพราะรู้ว่าคุณไม่ไป และพอถึงตอนนั้นคุณจะรู้สึกปลีกวิเวกเหมือนมีตัวคนเดียวในที่ทำงาน และความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจะเข้ามาทำร้ายจิตใจคุณ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมากค่ะ

- เรื่องความรักในที่ทำงาน อาจจะเคยได้ยินว่ามีหลายบริษัทตั้งกฎห้ามคนในบริษัทเป็นแฟนกัน ฟังดูแล้วก็ค่อนข้างไร้เหตุผลแต่ที่จริงแล้วมันก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกันนะ มีพี่ที่ทำงาน จขกท เป็นแฟนกัน ทำงานที่เดียวกัน แผนกเดียวกัน แต่พอวันหนึ่งทะเลาะกันอีกคนก็ไม่มาทำงานเฉยเลย เหตุผลคือไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายที่งอนกันอยู่ เห็นมั้ยคะ ผู้บริหารเขามองเห็นตรงจุดนี้ว่ามันจะส่งผลต่องานนั่นเองถึงตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมา บางคู่พอลาออกก็ออกแพ็คคู่ นั่นหมายถึงบริษัทขาดพนักงานพร้อมกันทีเดียวสองคน ต้องเสียเวลาหาพนักงานใหม่อีก



วันนี้คิดได้แค่นี้ ใครมีอะไรเพิ่มเติมก็มาแชร์กันได้นะคะ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่