[AI the series] ตอนที่ 2: Hard AI vs Soft AI อย่างไรจึงเรียกได้ว่าฉลาดของแท้? และความมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของมนุษย์
AI คืออะไร
AI หรือ Aritificial Intelligence เรียกเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือถ้าแปลตรงตัวก็คือ “ความฉลาดเทียม” ซึ่งเทียมในที่นี้มาความหมายว่าถูกสร้างขึ้นมา มีเป้าหมายเพื่อทำให้เครื่องจักรมีความฉลาดเหมือนมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่าความฉลาดของมนุษย์เป็น “ความฉลาดแท้” นั่นเอง
แต่แค่นั้นมันยังไม่จบ เพราะมันยังมีคำถามย้อนไปอีกว่า “แล้วความฉลาด มันคืออะไร” คำตอบเหมือนจะง่าย และคนส่วนใหญ่คงสามารถตอบคำถามนี้ได้ แต่มันอาจจะกลายเป็นยากในทันที เมื่อเอาคำตอบของทุกคนมาเปรียบเทียบกัน ในทางปรัชญามันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาเป็นสองสามพันปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ทุกคนจะเห็นตรงกัน ตัวอย่างของความฉลาดในมุมมองต่างๆ ก็เช่น
- ความสามารถเชิงตรรกะ
- ความสามารถในเชิงจินตนาการ
- ความสามารถในการจดจำ
- ความสามารถในการทำความเข้าใจ
- ความสามารถในการเรียนรู้
- ความสามารถในการแก้ปัญหา
เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น ในทางคอมพิวเตอร์เองก็เกิดปัญหาในเรื่องคำจำกัดความเช่นกัน ทำให้การศึกษาด้าน AI เกิดการแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายคือ Strong AI กับ Weak AI
Strong AI vs Weak AI (หรือบางคนอาจเรียกเป็น Hard AI กับ Soft AI)
Strong AIหมายถึง “ฉลาดจริงๆ” ไม่ใช่ “ฉลาดปลอมๆ” โดยทั่วไปก็มักจะนำไปเปรียบเทียบกับความฉลาดของ”มนุษย์”นั่นแหละ ประมาณเหมือนทำข้อสอบแล้วต้องรู้คิด รู้เข้าใจ ไม่ใช่แค่จำคำตอบได้ อะไรประมาณนั้น
นอกจากคำว่า “ฉลาด” ในแง่มุมของการทำงานให้ได้ผลลัพท์แล้ว ยังมีอีกประเด็นที่คนมักจะเอามาเกี่ยวพัน มาตั้งคำถามเสมอ นั่นคือเรื่องของ จิตใจ(Mind) หรือจิตสำนึก(Consciousness)
- ถ้าจะให้ฉลาดเหมือนคน จำเป็นมันต้องมีจิตใจ มีจิตสำนึก หรือไม่
- เราจะสามารถสร้างโปรแกรมให้มี จิตใจ หรือจิตสำนึก ได้หรือไม่
Chinese Room
กรณีตัวอย่างที่ถูกถามขึ้นมาโดย John Searle นายคนนี้เป็นนักปรัชญาที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาประมาณช่วงปี 1980 จากข้อถกเถียงที่ว่า
“เป็นไปได้ไหม ที่จะเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์มี จิตใจ(Mind) หรือจิตสำนึก(Consciousness)”
คำถามคือ “ถ้าเอาผู้ชายคนนึงที่ไม่มีความรู้ภาษาจีนเลย ไปใส่ไว้ในห้องปิด แล้วให้คู่มือโต้ตอบภาษาจีนชนิดสมบูรณ์แบบ จนสามารถโต้ตอบภาษาจีนกับคนข้างนอกได้อย่างรู้เรื่อง คนข้างนอกอาจจะคิดว่าคนที่อยู่ข้างในเข้าใจภาษาจีน แต่ในความเป็นจริงคนข้างในไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดเดียว” เปรียบเทียบเหมือน ถ้าเราเอาคำตอบสำหรับทุกคำถามไปใส่ไว้ให้คอมพิวเตอร์ จนมันสามารถตอบได้ทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แค่ทำตามเงื่อนไขคำสั่ง ขาดซึ่งจิตสำนึกของมันเอง แล้วจะเรียกว่ามันมีความฉลาดได้อย่างไร
Turing Test
Alan Turing นักคณิตศาสตร์ชื่อดังจากผลงานถอดรหัสเครื่อง Enigma ของเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกได้ว่าเป็น 1 ในผู้บุกเบิกการศึกษาและพัฒนา AI หนึ่งในผลงานของเขาที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Turing Imitation game จนถูกนำมาตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ชีวประวัติของ Turing (The Imitation Game, 2014)
การเสนอคำจำกัดความของ AI มักก่อให้เกิดการโต้เถียงว่าแบบไหนจึงเรียกว่า “ฉลาด” ย้อนกลับไปยุค 50s Turing หลีกเลี่ยงปัญหานั้น ด้วยการนำเสนอเกมขึ้นมาเกมหนึ่งแทน คือ Imitation Game เป้าหมายของเกมนี้ มีขึ้นเพื่อทดสอบความสามารถของเครื่องจักร ว่าสามารถผ่านการทดสอบการแสดงความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ หลักการของเกมนี้คือให้อาสาสมัครทดลองคุยกับคน และคอมพิวเตอร์ โดยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วให้ทายว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงหรือเปล่า ถ้าคอมพิวเตอร์สามารถทำให้อาสาสมัครเชื่อได้ว่าตนเป็นมนุษย์จริงๆ ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ Turing เชื่อมั่นว่าภายในปี 2000 คอมพิวเตอร์น่าจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้อย่างน้อย 30% ถึงแม้ว่า Turing จะคาดผิด แต่ Imitation Game ก็ถือเป็นพื้นฐานในการพยายามอธิบายคำจำกัดความของ AI ได้ดีในระดับหนึ่ง
เทียบกับ Chinese Room ที่เป็นคำถามที่พัฒนามาจาก Imitation Game อีกที Turing ไม่ได้สนใจ หรือตั้งใจที่จะทดสอบความมีจิตสำนึก(Consciousness) หรือความเข้าใจ(Understanding) ของคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด ดังที่เขาได้เขียนไว้ว่า
“I do not wish to give the impression that I think there is no mystery about consciousness. There is, for instance, something of a paradox connected with any attempt to localise it. But I do not think these mysteries necessarily need to be solved before we can answer the question with which we are concerned in this paper."
สรุปห้วนๆ คือ “จิตสำนกสำนึกอะไรไม่สำคัญ เอาให้มันทำงานได้ตามที่ว่าก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
Turing มาก่อน Searle เกือบ 30 ปี จาก Searle มาถึงปัจจุบันก็อีก 30 กว่าปี เราเห็นจินตนาการต่างๆ มากมายผ่านหนัง ผ่านการ์ตูน เราเห็นพัฒนาการต่างๆ มากมาย เราเห็น Siri เราเห็น AlphaGo แต่คำถามที่ถามมากว่าครึ่งศตวรรษก็ยังถูกถามอยู่เสมอ แม้แต่ในพันทิปเอง คำถามแนว
- เอามาขับรถ มันจะเลือกชนอะไร
- เอามาแทนผู้พิพากษาได้ไหม
- จะคิดครองโลกแบบ Skynet ไหม
ช่วงกระแส AlphaGo ก็มีถามมีถกเถียงกันไปหลายรอบ จะบอกว่าใครผิดใครถูกก็อาจจะไม่ได้ เพราะบางทีมันก็มองกันคนละมุม
เอาเข้าจริง คำถามแบบนี้มันเป็นคำถามแนว moral questions ซึ่งสำหรับมนุษย์ก็อาจจะไม่ได้มีตอบที่ตรงกัน และโดยความเห็นส่วนตัว เอาเข้าจริงมันก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนาระบบ AI ก็ได้ เพราะถึงแม้เราจะบอกว่าปล่อยให้ AI มันเรียนรู้ และคิดเอง แต่มันก็ไม่ใช่ข้อบังคับในการออกแบบ AI เสมอไป เรายังสามารถกำหนดลำดับ Priortity หรือความสำคัญให้มันได้ตลอดเวลา แม้แต่ในสังคมมนุษย์เอง เราก็ยังต้องมีการกำหนดสิ่งเหล่านี้ไว้ในกฎเกณฑ์ของสังคมอยู่แล้ว และจะกำหนดไว้ยังไงก็ถกเถียง เปลี่ยนแปลง แก้ไขกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อร่างมาเป็นข้อกำหนดกลางให้ทุกคนยึดปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะขัดกับความเห็นส่วนตัวของแต่ละคนอยู่บ้างก็ตาม ดังนั้นเงื่อนไขความสำคัญต่างๆ สุดท้ายเราก็ต้องใส่เข้าไปในโปรแกรมเอง เหมือนๆ กับการเขียนรัฐธรรมนูญ หรือการปลูกฝังแนวคิดของสังคมเวลาที่เราสอนเด็กๆ นั่นละนะ
ความมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของมนุษย์
ในขณะที่หลายๆ คนเถียงกันในเรื่องความสามารถในการเรียนรู้ หรือการสร้างจิตสำนึกให้ระบบ AI แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นว่ามันเป็นกำแพงสำคัญในการพัฒนาระบบ AI ในปัจจุบันเท่าใดนัก สิ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจกว่า คือประเด็นเรื่อง
“ความต้องการที่จะเรียนรู้”
การออกแบบระบบ AI ในปัจจุบัน ส่วนมากจะเน้นงานเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง เพราะมันเห็นผลลัพธ์ และสามารถเอาไปใช้ประโยชน์จริงได้ง่ายกว่า ต่างกับยุคแรกๆ ที่พวก General AI ที่ทำได้ทุกอย่าง ยังได้รับความสนใจศึกษาอยู่มาก (แต่เสื่อมความนิยม เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ทำเงิน เพราะทำไม่ค่อยสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) ตอนนี้เลยมักจะเห็นอยู่แค่ในการ์ตูน หรือภาพยนตร์
ที่ผ่านมา มีสมาชิกหลายท่านหลังไมค์มาคุยปรึกษาเรื่องการพัฒนาระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยเริ่มจาก 0 โดยเปรียบเทียบกับการเรียนรู้ของมนุษย์ แต่ในความเห็นของผม จากประสพการณ์ศึกษาพฤติกรรมเด็ก(ลูกตัวเอง)ตั้งแต่เกิดมาจนขวบกว่า ผมมีความรู้สึกว่า “มนุษย์ไม่ได้เริ่มจาก 0” แต่เกิดมาพร้อมกับ “ความต้องการที่จะเรียนรู้” หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความต้องการที่จะเรียนรู้
“Instinct to learn”
ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่มีความต้องการที่จะเรียนรู้ แต่ดูจะเป็นสัญชาติญานของสัตว์แทบทุกชนิด อาจจะเป็นสัญชาติญานในการเอาตัวรอด ที่ทำให้สัตว์ต่างๆ สนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว ลอกเลียนพฤติกรรม ปรับปรุงพัฒนาพฤติกรรม เด็กทารกพร้อมที่จะคว้าอะไรก็ตามเข้าปากเพื่อทดสอบว่ามันกินได้หรือเปล่าเพื่อตอบสนองความหิว คน นก หรือสัตว์ต่างๆ สนใจเลียนแบบพ่อแม่หรือตัวอื่นๆ ได้โดยตัวเอง หรือแม้แต่จะคิดค้นลองผิดลองถูกพฤติกรรมใหม่ๆ เพื่อการเอาตัวรอด หรือเพื่อสนองความต้องการ เพื่อนำไปสู่ความสุขความพอใจ
ตัวอย่างที่น่าสนใจ
- งานวิจัยของ Peter Maler เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จะร้องเพลงของนก (ขอแนะนำให้ผู้สนใจลองไปหาอ่านดู
https://www.edge.org/response-detail/11453 )
- ชิมแพนซีพัฒนาการใช้เครื่องมือช่วยในการจับแมลง (
http://www.onekind.org/education/animal_sentience/tool_use/tool_use_in_chimpanzees )
The great baby escape
สำหรับคนที่มีโอกาสดูแลเด็กทารก พฤติกรรมหนึ่งที่น่าสนใจที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน คือความพยายามที่จะหนีออกจากเตียง หรือคอกกั้น
เด็กมักจะมีสัญชาติญาน และความต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่มักจะถูกจำกัดพื้นที่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากสภาวะแวดล้อมที่อาจเป็นอันตรายกับเด็ก แน่นอนว่าเด็กส่วนมากรักการผจญภัย จึงย่อมไม่ชอบที่จะถูกปิดกั้นจากโลกกว้าง การพยายามหนีจึงถือเป็นพฤติกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไป เริ่มจากระดับพื้นฐาน ไปจนซับซ้อน เช่น
- ปีน หรือมุด
- ใช้เครื่องใม้เครื่องช่วยในการปีน
- หัดเปิดปิดล็อคด้วยตัวเอง
- อื่นๆ เกินบรรยาย
ที่เจอมากะตัว ลูกผมตอนประมาณขวบนึงนี่แหละ เขาจะสนุกสนานกับการเอาของเล่นหย่อนออกมานอกรั้วคอกกั้น ปกติผมก็จะเอื้อมมือหยิบกลับมา บางทีถ้านั่งใกล้ประตูคอกผมก็จะเปิดประตูหยิบเพราะขี้เกียจลุก จนวันนึงคุณหนูพยายามจะออกจะคอก แต่ผมไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาก็ทำเป็นไปหยิบของเล่น แล้วมาเนียนๆ อยู่ใกล้ๆ ประตูหย่อนของเล่นออกไป แล้วมาหาตำแหน่งนั่งเล็งรอจังหวะให้ผมเปิดประตู พอเปิดปุ๊บเจ้าตัวเล็กก็พุ่งเข้าหาประตูทันที (ผมปิดทัน เพราะเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แต่ของเล่นไม่ทันได้หยิบ) พอเห็นพ่อรู้ทันก็มานั่งหัวเราะแหะๆ เปลี่ยนเป็นยกมือไหว้ทำหน้าอ้อนวอนแทน
ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีใครสอน และไม่เคยเห็นตัวอย่างมาก่อนแน่ๆ แต่น่าจะใช้การวิเคราะห์ความสัมพันธ์จากข้อมูล จากประสพการณ์ คาดการเหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งนี่คือพฤติกรรมของเด็กขวบเดียวเองนะ ยังพูด ยังเดิน ไม่ทันจะได้เลย นั่นแสดงให้เห็นว่าความต้องการ และความสามารถในการเรียนรู้ การคิดหาหนทาง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัว มันน่าจะมีมาตั้งแต่เกิด ได้หรือเปล่า
คลิปเด็กทารกพยายามหนีจากเตียง หรือคอกกั้น ด้วยวิธีการต่างๆ
https://www.google.co.uk/?gws_rd=ssl#q=the+great+baby+escape&tbm=vid
จากข้างบนที่เราคุยกันถึงเรื่อง จิตใจ(Mind) กับจิตสำนึก(Consciousness) ในการศึกษาด้านจิตวิทยายังมีตัวแปรอีกตัว ที่อยู่นอกเหนือไปจากสองอันที่กล่าวมาคือ จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind) ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ที่เราน่าจะรู้จักกันดีก็คือSigmund Freud ฟรอยด์มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งฟรอยด์ให้ความเห็นว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นความจริงแล้วถูกผลักดันมาจากจิตใต้สำนึกมากที่สุด โดยเอาไปเปรียบเทียบกับภาพภูเขาน้ำแข็ง
Introduction to Freud
http://www.slideshare.net/kevins299/lecture-2-freud
ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับ AI อย่างไร
โดยส่วนตัวผมมองว่าวิธีการที่จะออกแบบ General AI ที่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้เองนั้น ยังถือเป็นเรื่องคลุมเครือถ้ามันยังไม่มี “จิตใต้สำนึก” ของตัวมันเอง มาเป็นตัวผลักดันความต้องการที่จะเรียนรู้ และคำถามที่ตามมาคือ
- ถ้าเรา(ผม)ยังไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์มันมาได้อย่างไร แล้วเราจะสร้างจิตใต้สำนึกให้ AI ได้หรือไม่
- ถ้าเราสร้างได้ มันยังควรถูกเรียกว่าจิตใต้สำนึกหรือเปล่า
- ถ้าสร้างได้ มันจะกลายเป็น Skynet ไหม โดยเหตุผลถ้าสร้างจิตสำนึกแท้ๆ แบบที่อยู่นอกเหนือความควบคุม มันก็น่าจะเป็นไปได้สูงอยู่นะ
- อื่นๆ อีกมากมาย
ตอนหน้า ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่เหมือนเดิม
[AI the series] ตอนที่ 3: ทำความรู้จักกับ AI ประเภทต่างๆ
[AI the series] ตอนที่ 2: Hard AI vs Soft AI อย่างไรจึงเรียกได้ว่าฉลาดของแท้? และความมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของมนุษย์
AI คืออะไร
AI หรือ Aritificial Intelligence เรียกเป็นไทยว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือถ้าแปลตรงตัวก็คือ “ความฉลาดเทียม” ซึ่งเทียมในที่นี้มาความหมายว่าถูกสร้างขึ้นมา มีเป้าหมายเพื่อทำให้เครื่องจักรมีความฉลาดเหมือนมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่าความฉลาดของมนุษย์เป็น “ความฉลาดแท้” นั่นเอง
แต่แค่นั้นมันยังไม่จบ เพราะมันยังมีคำถามย้อนไปอีกว่า “แล้วความฉลาด มันคืออะไร” คำตอบเหมือนจะง่าย และคนส่วนใหญ่คงสามารถตอบคำถามนี้ได้ แต่มันอาจจะกลายเป็นยากในทันที เมื่อเอาคำตอบของทุกคนมาเปรียบเทียบกัน ในทางปรัชญามันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาเป็นสองสามพันปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ทุกคนจะเห็นตรงกัน ตัวอย่างของความฉลาดในมุมมองต่างๆ ก็เช่น
- ความสามารถเชิงตรรกะ
- ความสามารถในเชิงจินตนาการ
- ความสามารถในการจดจำ
- ความสามารถในการทำความเข้าใจ
- ความสามารถในการเรียนรู้
- ความสามารถในการแก้ปัญหา
เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น ในทางคอมพิวเตอร์เองก็เกิดปัญหาในเรื่องคำจำกัดความเช่นกัน ทำให้การศึกษาด้าน AI เกิดการแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายคือ Strong AI กับ Weak AI
Strong AI vs Weak AI (หรือบางคนอาจเรียกเป็น Hard AI กับ Soft AI)
Strong AIหมายถึง “ฉลาดจริงๆ” ไม่ใช่ “ฉลาดปลอมๆ” โดยทั่วไปก็มักจะนำไปเปรียบเทียบกับความฉลาดของ”มนุษย์”นั่นแหละ ประมาณเหมือนทำข้อสอบแล้วต้องรู้คิด รู้เข้าใจ ไม่ใช่แค่จำคำตอบได้ อะไรประมาณนั้น
นอกจากคำว่า “ฉลาด” ในแง่มุมของการทำงานให้ได้ผลลัพท์แล้ว ยังมีอีกประเด็นที่คนมักจะเอามาเกี่ยวพัน มาตั้งคำถามเสมอ นั่นคือเรื่องของ จิตใจ(Mind) หรือจิตสำนึก(Consciousness)
- ถ้าจะให้ฉลาดเหมือนคน จำเป็นมันต้องมีจิตใจ มีจิตสำนึก หรือไม่
- เราจะสามารถสร้างโปรแกรมให้มี จิตใจ หรือจิตสำนึก ได้หรือไม่
Chinese Room
กรณีตัวอย่างที่ถูกถามขึ้นมาโดย John Searle นายคนนี้เป็นนักปรัชญาที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาประมาณช่วงปี 1980 จากข้อถกเถียงที่ว่า
“เป็นไปได้ไหม ที่จะเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์มี จิตใจ(Mind) หรือจิตสำนึก(Consciousness)”
คำถามคือ “ถ้าเอาผู้ชายคนนึงที่ไม่มีความรู้ภาษาจีนเลย ไปใส่ไว้ในห้องปิด แล้วให้คู่มือโต้ตอบภาษาจีนชนิดสมบูรณ์แบบ จนสามารถโต้ตอบภาษาจีนกับคนข้างนอกได้อย่างรู้เรื่อง คนข้างนอกอาจจะคิดว่าคนที่อยู่ข้างในเข้าใจภาษาจีน แต่ในความเป็นจริงคนข้างในไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดเดียว” เปรียบเทียบเหมือน ถ้าเราเอาคำตอบสำหรับทุกคำถามไปใส่ไว้ให้คอมพิวเตอร์ จนมันสามารถตอบได้ทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แค่ทำตามเงื่อนไขคำสั่ง ขาดซึ่งจิตสำนึกของมันเอง แล้วจะเรียกว่ามันมีความฉลาดได้อย่างไร
Turing Test
Alan Turing นักคณิตศาสตร์ชื่อดังจากผลงานถอดรหัสเครื่อง Enigma ของเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกได้ว่าเป็น 1 ในผู้บุกเบิกการศึกษาและพัฒนา AI หนึ่งในผลงานของเขาที่เป็นที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Turing Imitation game จนถูกนำมาตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ชีวประวัติของ Turing (The Imitation Game, 2014)
การเสนอคำจำกัดความของ AI มักก่อให้เกิดการโต้เถียงว่าแบบไหนจึงเรียกว่า “ฉลาด” ย้อนกลับไปยุค 50s Turing หลีกเลี่ยงปัญหานั้น ด้วยการนำเสนอเกมขึ้นมาเกมหนึ่งแทน คือ Imitation Game เป้าหมายของเกมนี้ มีขึ้นเพื่อทดสอบความสามารถของเครื่องจักร ว่าสามารถผ่านการทดสอบการแสดงความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่ หลักการของเกมนี้คือให้อาสาสมัครทดลองคุยกับคน และคอมพิวเตอร์ โดยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วให้ทายว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงหรือเปล่า ถ้าคอมพิวเตอร์สามารถทำให้อาสาสมัครเชื่อได้ว่าตนเป็นมนุษย์จริงๆ ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ Turing เชื่อมั่นว่าภายในปี 2000 คอมพิวเตอร์น่าจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้อย่างน้อย 30% ถึงแม้ว่า Turing จะคาดผิด แต่ Imitation Game ก็ถือเป็นพื้นฐานในการพยายามอธิบายคำจำกัดความของ AI ได้ดีในระดับหนึ่ง
เทียบกับ Chinese Room ที่เป็นคำถามที่พัฒนามาจาก Imitation Game อีกที Turing ไม่ได้สนใจ หรือตั้งใจที่จะทดสอบความมีจิตสำนึก(Consciousness) หรือความเข้าใจ(Understanding) ของคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด ดังที่เขาได้เขียนไว้ว่า
Turing มาก่อน Searle เกือบ 30 ปี จาก Searle มาถึงปัจจุบันก็อีก 30 กว่าปี เราเห็นจินตนาการต่างๆ มากมายผ่านหนัง ผ่านการ์ตูน เราเห็นพัฒนาการต่างๆ มากมาย เราเห็น Siri เราเห็น AlphaGo แต่คำถามที่ถามมากว่าครึ่งศตวรรษก็ยังถูกถามอยู่เสมอ แม้แต่ในพันทิปเอง คำถามแนว
- เอามาขับรถ มันจะเลือกชนอะไร
- เอามาแทนผู้พิพากษาได้ไหม
- จะคิดครองโลกแบบ Skynet ไหม
ช่วงกระแส AlphaGo ก็มีถามมีถกเถียงกันไปหลายรอบ จะบอกว่าใครผิดใครถูกก็อาจจะไม่ได้ เพราะบางทีมันก็มองกันคนละมุม
เอาเข้าจริง คำถามแบบนี้มันเป็นคำถามแนว moral questions ซึ่งสำหรับมนุษย์ก็อาจจะไม่ได้มีตอบที่ตรงกัน และโดยความเห็นส่วนตัว เอาเข้าจริงมันก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนาระบบ AI ก็ได้ เพราะถึงแม้เราจะบอกว่าปล่อยให้ AI มันเรียนรู้ และคิดเอง แต่มันก็ไม่ใช่ข้อบังคับในการออกแบบ AI เสมอไป เรายังสามารถกำหนดลำดับ Priortity หรือความสำคัญให้มันได้ตลอดเวลา แม้แต่ในสังคมมนุษย์เอง เราก็ยังต้องมีการกำหนดสิ่งเหล่านี้ไว้ในกฎเกณฑ์ของสังคมอยู่แล้ว และจะกำหนดไว้ยังไงก็ถกเถียง เปลี่ยนแปลง แก้ไขกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อร่างมาเป็นข้อกำหนดกลางให้ทุกคนยึดปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะขัดกับความเห็นส่วนตัวของแต่ละคนอยู่บ้างก็ตาม ดังนั้นเงื่อนไขความสำคัญต่างๆ สุดท้ายเราก็ต้องใส่เข้าไปในโปรแกรมเอง เหมือนๆ กับการเขียนรัฐธรรมนูญ หรือการปลูกฝังแนวคิดของสังคมเวลาที่เราสอนเด็กๆ นั่นละนะ
ความมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของมนุษย์
ในขณะที่หลายๆ คนเถียงกันในเรื่องความสามารถในการเรียนรู้ หรือการสร้างจิตสำนึกให้ระบบ AI แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นว่ามันเป็นกำแพงสำคัญในการพัฒนาระบบ AI ในปัจจุบันเท่าใดนัก สิ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจกว่า คือประเด็นเรื่อง
การออกแบบระบบ AI ในปัจจุบัน ส่วนมากจะเน้นงานเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง เพราะมันเห็นผลลัพธ์ และสามารถเอาไปใช้ประโยชน์จริงได้ง่ายกว่า ต่างกับยุคแรกๆ ที่พวก General AI ที่ทำได้ทุกอย่าง ยังได้รับความสนใจศึกษาอยู่มาก (แต่เสื่อมความนิยม เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่ทำเงิน เพราะทำไม่ค่อยสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) ตอนนี้เลยมักจะเห็นอยู่แค่ในการ์ตูน หรือภาพยนตร์
ที่ผ่านมา มีสมาชิกหลายท่านหลังไมค์มาคุยปรึกษาเรื่องการพัฒนาระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยเริ่มจาก 0 โดยเปรียบเทียบกับการเรียนรู้ของมนุษย์ แต่ในความเห็นของผม จากประสพการณ์ศึกษาพฤติกรรมเด็ก(ลูกตัวเอง)ตั้งแต่เกิดมาจนขวบกว่า ผมมีความรู้สึกว่า “มนุษย์ไม่ได้เริ่มจาก 0” แต่เกิดมาพร้อมกับ “ความต้องการที่จะเรียนรู้” หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดความต้องการที่จะเรียนรู้
“Instinct to learn”
ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่มีความต้องการที่จะเรียนรู้ แต่ดูจะเป็นสัญชาติญานของสัตว์แทบทุกชนิด อาจจะเป็นสัญชาติญานในการเอาตัวรอด ที่ทำให้สัตว์ต่างๆ สนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว ลอกเลียนพฤติกรรม ปรับปรุงพัฒนาพฤติกรรม เด็กทารกพร้อมที่จะคว้าอะไรก็ตามเข้าปากเพื่อทดสอบว่ามันกินได้หรือเปล่าเพื่อตอบสนองความหิว คน นก หรือสัตว์ต่างๆ สนใจเลียนแบบพ่อแม่หรือตัวอื่นๆ ได้โดยตัวเอง หรือแม้แต่จะคิดค้นลองผิดลองถูกพฤติกรรมใหม่ๆ เพื่อการเอาตัวรอด หรือเพื่อสนองความต้องการ เพื่อนำไปสู่ความสุขความพอใจ
ตัวอย่างที่น่าสนใจ
- งานวิจัยของ Peter Maler เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จะร้องเพลงของนก (ขอแนะนำให้ผู้สนใจลองไปหาอ่านดู https://www.edge.org/response-detail/11453 )
- ชิมแพนซีพัฒนาการใช้เครื่องมือช่วยในการจับแมลง ( http://www.onekind.org/education/animal_sentience/tool_use/tool_use_in_chimpanzees )
The great baby escape
สำหรับคนที่มีโอกาสดูแลเด็กทารก พฤติกรรมหนึ่งที่น่าสนใจที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน คือความพยายามที่จะหนีออกจากเตียง หรือคอกกั้น
เด็กมักจะมีสัญชาติญาน และความต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่มักจะถูกจำกัดพื้นที่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากสภาวะแวดล้อมที่อาจเป็นอันตรายกับเด็ก แน่นอนว่าเด็กส่วนมากรักการผจญภัย จึงย่อมไม่ชอบที่จะถูกปิดกั้นจากโลกกว้าง การพยายามหนีจึงถือเป็นพฤติกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไป เริ่มจากระดับพื้นฐาน ไปจนซับซ้อน เช่น
- ปีน หรือมุด
- ใช้เครื่องใม้เครื่องช่วยในการปีน
- หัดเปิดปิดล็อคด้วยตัวเอง
- อื่นๆ เกินบรรยาย
ที่เจอมากะตัว ลูกผมตอนประมาณขวบนึงนี่แหละ เขาจะสนุกสนานกับการเอาของเล่นหย่อนออกมานอกรั้วคอกกั้น ปกติผมก็จะเอื้อมมือหยิบกลับมา บางทีถ้านั่งใกล้ประตูคอกผมก็จะเปิดประตูหยิบเพราะขี้เกียจลุก จนวันนึงคุณหนูพยายามจะออกจะคอก แต่ผมไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาก็ทำเป็นไปหยิบของเล่น แล้วมาเนียนๆ อยู่ใกล้ๆ ประตูหย่อนของเล่นออกไป แล้วมาหาตำแหน่งนั่งเล็งรอจังหวะให้ผมเปิดประตู พอเปิดปุ๊บเจ้าตัวเล็กก็พุ่งเข้าหาประตูทันที (ผมปิดทัน เพราะเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แต่ของเล่นไม่ทันได้หยิบ) พอเห็นพ่อรู้ทันก็มานั่งหัวเราะแหะๆ เปลี่ยนเป็นยกมือไหว้ทำหน้าอ้อนวอนแทน
ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีใครสอน และไม่เคยเห็นตัวอย่างมาก่อนแน่ๆ แต่น่าจะใช้การวิเคราะห์ความสัมพันธ์จากข้อมูล จากประสพการณ์ คาดการเหตุการณ์ล่วงหน้า ซึ่งนี่คือพฤติกรรมของเด็กขวบเดียวเองนะ ยังพูด ยังเดิน ไม่ทันจะได้เลย นั่นแสดงให้เห็นว่าความต้องการ และความสามารถในการเรียนรู้ การคิดหาหนทาง เพื่อตอบสนองความต้องการของตัว มันน่าจะมีมาตั้งแต่เกิด ได้หรือเปล่า
คลิปเด็กทารกพยายามหนีจากเตียง หรือคอกกั้น ด้วยวิธีการต่างๆ
https://www.google.co.uk/?gws_rd=ssl#q=the+great+baby+escape&tbm=vid
จากข้างบนที่เราคุยกันถึงเรื่อง จิตใจ(Mind) กับจิตสำนึก(Consciousness) ในการศึกษาด้านจิตวิทยายังมีตัวแปรอีกตัว ที่อยู่นอกเหนือไปจากสองอันที่กล่าวมาคือ จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind) ผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้ที่เราน่าจะรู้จักกันดีก็คือSigmund Freud ฟรอยด์มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งฟรอยด์ให้ความเห็นว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นความจริงแล้วถูกผลักดันมาจากจิตใต้สำนึกมากที่สุด โดยเอาไปเปรียบเทียบกับภาพภูเขาน้ำแข็ง
Introduction to Freud http://www.slideshare.net/kevins299/lecture-2-freud
ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับ AI อย่างไร
โดยส่วนตัวผมมองว่าวิธีการที่จะออกแบบ General AI ที่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้เองนั้น ยังถือเป็นเรื่องคลุมเครือถ้ามันยังไม่มี “จิตใต้สำนึก” ของตัวมันเอง มาเป็นตัวผลักดันความต้องการที่จะเรียนรู้ และคำถามที่ตามมาคือ
- ถ้าเรา(ผม)ยังไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์มันมาได้อย่างไร แล้วเราจะสร้างจิตใต้สำนึกให้ AI ได้หรือไม่
- ถ้าเราสร้างได้ มันยังควรถูกเรียกว่าจิตใต้สำนึกหรือเปล่า
- ถ้าสร้างได้ มันจะกลายเป็น Skynet ไหม โดยเหตุผลถ้าสร้างจิตสำนึกแท้ๆ แบบที่อยู่นอกเหนือความควบคุม มันก็น่าจะเป็นไปได้สูงอยู่นะ
- อื่นๆ อีกมากมาย
ตอนหน้า ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่เหมือนเดิม
[AI the series] ตอนที่ 3: ทำความรู้จักกับ AI ประเภทต่างๆ