ลักษณะภายนอก : ผอม แต่ตัวไม่เล็ก ขาวแต่ไม่จั๊ว หน้าตาน่ารักกว่าเกณฑ์ปกติ แต่ไม่จัดว่าสวย แต่งตัวไม่เชยแต่ก็ไม่ถึงกับจัดจ้าน
ลักษณะนิสัย : ยิ้มน้อย ๆ ตลอดเวลาแบบสดใส แต่ก็ไม่ถึงกับร่าเริง ทุกคนสามารถคุยด้วยได้แต่เข้าถึงตัวตนแท้จริงได้ยาก เวลาชวนไปไหนไปด้วย แต่ไปแล้วนั่งฟังเฉย ๆ ไม่เคยพูดแสดงความเห็น ถ้าถามอะไรมักได้คำตอบตลก ๆ ไร้แบบแผน และไม่พูดเรื่องของบุคคลที่สามในทางเสียหาย
นี่คือผู้หญิงที่ผมชอบ ได้เจอกันครั้งแรกตอนไปสมัครงาน ผมเป็นคนสมัครส่วนเธอเป็นเจ้าหน้าที่ให้กรอกใบสมัคร กรอกเสร็จก็สอบ สอบแล้วก็รอเรียกสัมภาษณ์ สัมภาษณ์แล้วก็ไม่ผ่าน จบครั้งที่หนึ่ง
สองเดือนต่อมา ผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์อีก แต่เป็นคนละตำแหน่งกับตอนแรก คราวนี้เธอให้กำลังใจว่าต้องผ่านแน่ ๆ (น่าประทับใจที่สุด) และผมก็สัมภาษณ์ผ่านจริง ๆ วันที่ไปเซ็นสัญญาได้งานใหม่ บวกกับรอยยิ้มต้อนรับสดใสจากเธอ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก แต่พอทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็เหมือนมีคนจะรู้ว่าผมชอบเธอ เขาก็เลยบอกผมว่า ถ้าไม่อยากเสียใจอย่าไปจีบเพราะมันมีแฟนอยู่แล้ว จบอีกครั้งที่สอง
ปีหนึ่งผ่านไป ทำไมเธอไม่สดใสแล้ว ผมถามจากเพื่อนก็เลยรู้ว่าเธอเลิกกับแฟน (เสียใจด้วยจริง ๆ ) คราวนี้ผมเริ่มจีบใหม่ ตอนเลิกงานก็พยายามหาโอกาสไปส่งบ้าน ซึ่งยากมากต้องไปคอยเฝ้าดูว่าเธอเอารถมาทำงานรึเปล่า แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับว่าผมนั่งรถเมล์มาทำงาน เพราะฉะนั้นบางวันผมจะต้องยืมรถพี่ชายมา และก็ต้องคอยว่าเมื่อไหร่ มันจะตรงกันซักที่ไอ้วันที่ผมมีรถแต่เธอไม่มีรถ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอไม่ได้เอารถมา ส่วนผมก็ไม่ได้เอารถมาเหมือนกัน แต่วันนั้นเพื่อนในบริษัทนัดกันไปกินอาหารเย็นตอนหนึ่งทุ่มผมก็เลยรีบนั่งรถเมล์กลับหอไปยืมรถพี่มา กะว่าเลิกกินข้าวแล้วจะไปส่งบ้านเพราะบ้านผมอยู่ใกล้บ้านเธอที่สุด(10 นาที) ยังงัยเธอก็ไปอยู่แล้ว พอกินกันเสร็จแล้วเตรียมแยกย้ายกลับบ้านเหมือนโดยไม่ได้มีการนัดหมายเธอเดินไปขึ้นรถเพื่อนอีกคนหนึ่งโดยอัตโนมัติ ซึ่งบ้านมันอยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหารนี่เอง นั่นหมายความว่าในขณะที่ผมหมกมุ่นกับการจัดคิวรถ เขาก็กลายเป็นแฟนกันไปแล้ว (เศร้ามาก) แต่กระนั้นอีกสองสามวันต่อมาก็พยายามรวบรวมความกล้า ชวนไปดูหนัง เธอยิ้มน้อย ๆ ใส่ แล้วส่ายหน้า จบอีกครั้งที่สาม
อีกปีหนึ่งผ่านไป ผมลืมเรื่องจีบเธอไปแล้วแหละ ตอนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกันตามปกติ มีกิจกรรมกันบ้างเช่น คุยงาน กินข้าว ตีแบต แต่ก็ต้องคอยระวังตัวเองไม่ให้หลงไปชอบ ก็ต่างคนต่างทำงานกันไปเรื่อย ๆ แต่ที่ผิดสังเกตุคือ มันมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของบริษัทมาติดต่องานบ่อยมาก มาทีก็คุยกับเธอนาน ๆ จนผมคิดว่าดูซิมันจะจีบได้มั๊ย ขนาดเราใกล้ชิดขนาดนี้ยังไม่สำเร็จ แล้วแฟนเธอก็มีแล้วด้วย แต่แล้ววันหนึ่งคุณพี่ซัพพลายเออร์ก็ลองชวนเธอไปกินข้าว ดูหนัง แล้วเธอก็ตอบตกลง(เชี่ยแล้ว) ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่ผมคิดวะ ผมนี่ต่อสายถึงเพื่อนทันที มันบอกว่าเลิกกันได้ครึ่งปีแล้ว(ไอ้บ้า) จบอีกเป็นครั้งที่สี่
วันหยุดเหงา ๆ วันหนึ่งช่วงปลายฤดูหนาวของชาย(ที่ดูเหมือนจะ)โสด ผมนั่งกอดถุงเห็ดหอม กับผักชื่อแปลก ๆ ที่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่าผักอะไร ซึ่งผมซื้อมาจากตลาดที่ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าชื่ออะไรมันอยู่ทางไปน้ำตก(นั่นแหละ จำไม่ได้เหมือนกัน) ซึ่งอยู่จังหวัดตาก ผมไปเที่ยวกับเพื่อนมาแล้วแวะซื้อของฝาก ซึ่งตอนซื้อลืมคิดไปว่าแล้วตูจะเอาไปฝากใครวะ คนรู้จักก็มากันหมดคันรถนี่แล้ว ผักมันก็กำลังจะเหี่ยวผมเลยขับรถไปที่บ้านเธอ (ตอนนี้มีรถแล้ว) ที่บ้านเธอมีครัว แล้วมันอยู่ไม่ไกลกันนัก ไปถึงแล้วผมก็เข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ แล้วก็กลับ แต่อ๊ะ ๆ มีคนบอกยังไม่ให้ผมกลับเป็นตัวแม่นั่นแหละ บอกผมให้ช่วยยกนี่ไปไว้นั่น ย้ายนั่นไปไว้นู่นให้หน่อย เสร็จแล้วค่อยกลับ พอเสร็จแล้วผมก็ไม่กลับ ทำงานเหนื่อย ๆ จะให้ทำฟรี ๆ ได้งัยผมเดินไปเปิดตู้เย็น กินน้ำหวานกินหนมซะเต็มที่ คือตอนนี้ไม่ต้องรักษาภาพพจน์แล้วงัย แฟนก็ไม่ได้เป็น งานก็ใช้ซะ แล้วหนมในตู้เย็นนี่โคตรอะหย่อย ไม่มีขายในไทยด้วย พี่สาวเธอหอบกลับมาตอนไปบิน (พี่สาวเป็นแอร์) กินอิ่มสบายใจแล้วก็กลับบ้าน
วันหยุดเหงา ๆ อีกหลายวันต่อมา ก๊วนตีแบตก็นัดกันมาไฝว้ มากันหลายคนรวมเธอด้วย คราวนี้พอตีเสร็จเธอบอกให้ผมไปส่งเธอที่บ้านด้วย ผมก็ไปส่งแต่ก็พยายามรักษาระยะห่าง เจ็บมาเยอะ พอไปถึงบ้านก็รู้แระ ว่ามันชวนมาทำไม มันใช้ให้เปลี่ยนหลอดไฟ พอทำงานเสร็จผมก็กินหนมกินน้ำหวานเหมือนเดิม พร้อมเปิดทีวีดูหนังสบายใจ ตอนนั้นพี่สาวคนที่เป็นแอร์กลับบ้านมาพอดี เหมือนเธอจะรู้ว่าผมคิดอะไร เธอบอกคนนี้ไม่ได้มีแฟนแล้ว ให้รอพี่คนโตกลับมาคนนั้นโสดอยู่ คือเธอเชียร์ให้จีบพี่สาวเธอ ส่วนผมก็ได้ทั้งนั้นแหละ
หลังจากนั้นถ้าวันไหนเธอไม่ได้ไปกินข้าวดูหนังกับคุณพี่ซัพพลายเออร์ เธอก็จะติดรถผมกลับบ้านเสมอ ไปถึงบ้านผมก็เข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ เปิดตู้เย็นกินหนม รอรับคำสั่งว่าจะให้ทำงานอะไร บางทีก็ใช้ให้ไปซื้อกับข้าว ซื้อมาแล้วก็นั่งกินด้วยกัน หลังอาหารก็นั่งดูทีวี ผมก็คุยไปเรื่อยกับที่บ้านเธอ กับพี่สาวเธอผมก็สนิทขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นเหมือนพี่สาวมากกว่า (ซึ่งใฝ่ฝันอยากมีพี่สาวมาตั้งแต่เด็กแล้ว) กับเธอผมก็สนิทขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็จะถามเรื่องที่เธออยากรู้แต่ไม่กล้าถามคนอื่น เช่นการไปเที่ยว อาบ อบ นวด ผมก็เล่าซะหมดเปลือก(รวมถึงเทคนิคการสวมถุงยางโดยที่ไม่ใช้มือ) คือตอนนั้นผมไม่ต้องระวังตัวแล้วงัย เพราะคิดว่าคงไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วแหละ แต่พอกิจวัตรมันเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ผมก็เริ่มชอบเธอมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่วนตัวเธอผมดูไม่ออกเลยว่าคิดยังงัย แล้วอีกอย่างนึงคือ กับคนที่ไปกินข้าวดูหนังด้วยนั่น มันถึงขั้นเป็นแฟนแล้วหรือยัง?
ช่วงหลัง ๆ กิจวัตรที่ทำด้วยกันก็คือ บางวันตอนเย็นเลิกงานก็กลับบ้านด้วยกัน ไปซื้อกับข้าวมาทำอาหารกิน ดูทีวี แล้วก็กลับบ้าน ตอนเช้าก็ไปรับบ้างไม่รับบ้าง มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้น แต่ผมก็ไม่กล้าบอกว่าชอบเธอ กลัวทุกอย่างมันจะหายไป จนคืนนึงก่อนกลับบ้าน ผมคิดว่าต้องพูดอะไรกับเธอซักอย่าง ให้รู้ว่าผมคิดกับเธอเกินเพื่อนแล้ว แต่มันก็ต้องไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการผูกมัด ผมก็เลยพูดออกไปว่า "พรุ่งนี้ไปเปิดบัญชีด้วยกันมั๊ย"
......เธอทำหน้าตาเฉยเมย ไร้อารมณ์ ผมเลยพูดต่อว่า"เผื่อจะได้เอาไว้ทำอะไรกันงัย" .......ยังเงียบอยู่ "ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ถอนเอาเงินมาแบ่งกันงัย" ....เงียบต่อไปอีกระยะ ก่อนที่เธอจะตอบกลับมาว่า "เริ่มต้นที่เท่าไหร่" โห แค่นี้แหละ คืนนั้นนอนหลับฝันดีมีความสุขที่สุด
หลังจากนั้น ไม่ว่าเธอจะไปกินข้าว ดูหนังกับใครที่ไหน แต่จะต้องมีวันนึงของทุก ๆ เดือน ที่เธอจะต้องเดินไปธนาคารกับผมไปฝากเงินด้วยกัน จบ
คนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กับเรา แต่ถ้าพยายามมันก็เป็นคู่แท้จนได้
ลักษณะนิสัย : ยิ้มน้อย ๆ ตลอดเวลาแบบสดใส แต่ก็ไม่ถึงกับร่าเริง ทุกคนสามารถคุยด้วยได้แต่เข้าถึงตัวตนแท้จริงได้ยาก เวลาชวนไปไหนไปด้วย แต่ไปแล้วนั่งฟังเฉย ๆ ไม่เคยพูดแสดงความเห็น ถ้าถามอะไรมักได้คำตอบตลก ๆ ไร้แบบแผน และไม่พูดเรื่องของบุคคลที่สามในทางเสียหาย
นี่คือผู้หญิงที่ผมชอบ ได้เจอกันครั้งแรกตอนไปสมัครงาน ผมเป็นคนสมัครส่วนเธอเป็นเจ้าหน้าที่ให้กรอกใบสมัคร กรอกเสร็จก็สอบ สอบแล้วก็รอเรียกสัมภาษณ์ สัมภาษณ์แล้วก็ไม่ผ่าน จบครั้งที่หนึ่ง
สองเดือนต่อมา ผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์อีก แต่เป็นคนละตำแหน่งกับตอนแรก คราวนี้เธอให้กำลังใจว่าต้องผ่านแน่ ๆ (น่าประทับใจที่สุด) และผมก็สัมภาษณ์ผ่านจริง ๆ วันที่ไปเซ็นสัญญาได้งานใหม่ บวกกับรอยยิ้มต้อนรับสดใสจากเธอ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก แต่พอทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็เหมือนมีคนจะรู้ว่าผมชอบเธอ เขาก็เลยบอกผมว่า ถ้าไม่อยากเสียใจอย่าไปจีบเพราะมันมีแฟนอยู่แล้ว จบอีกครั้งที่สอง
ปีหนึ่งผ่านไป ทำไมเธอไม่สดใสแล้ว ผมถามจากเพื่อนก็เลยรู้ว่าเธอเลิกกับแฟน (เสียใจด้วยจริง ๆ ) คราวนี้ผมเริ่มจีบใหม่ ตอนเลิกงานก็พยายามหาโอกาสไปส่งบ้าน ซึ่งยากมากต้องไปคอยเฝ้าดูว่าเธอเอารถมาทำงานรึเปล่า แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับว่าผมนั่งรถเมล์มาทำงาน เพราะฉะนั้นบางวันผมจะต้องยืมรถพี่ชายมา และก็ต้องคอยว่าเมื่อไหร่ มันจะตรงกันซักที่ไอ้วันที่ผมมีรถแต่เธอไม่มีรถ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอไม่ได้เอารถมา ส่วนผมก็ไม่ได้เอารถมาเหมือนกัน แต่วันนั้นเพื่อนในบริษัทนัดกันไปกินอาหารเย็นตอนหนึ่งทุ่มผมก็เลยรีบนั่งรถเมล์กลับหอไปยืมรถพี่มา กะว่าเลิกกินข้าวแล้วจะไปส่งบ้านเพราะบ้านผมอยู่ใกล้บ้านเธอที่สุด(10 นาที) ยังงัยเธอก็ไปอยู่แล้ว พอกินกันเสร็จแล้วเตรียมแยกย้ายกลับบ้านเหมือนโดยไม่ได้มีการนัดหมายเธอเดินไปขึ้นรถเพื่อนอีกคนหนึ่งโดยอัตโนมัติ ซึ่งบ้านมันอยู่ใกล้ ๆ ร้านอาหารนี่เอง นั่นหมายความว่าในขณะที่ผมหมกมุ่นกับการจัดคิวรถ เขาก็กลายเป็นแฟนกันไปแล้ว (เศร้ามาก) แต่กระนั้นอีกสองสามวันต่อมาก็พยายามรวบรวมความกล้า ชวนไปดูหนัง เธอยิ้มน้อย ๆ ใส่ แล้วส่ายหน้า จบอีกครั้งที่สาม
อีกปีหนึ่งผ่านไป ผมลืมเรื่องจีบเธอไปแล้วแหละ ตอนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกันตามปกติ มีกิจกรรมกันบ้างเช่น คุยงาน กินข้าว ตีแบต แต่ก็ต้องคอยระวังตัวเองไม่ให้หลงไปชอบ ก็ต่างคนต่างทำงานกันไปเรื่อย ๆ แต่ที่ผิดสังเกตุคือ มันมีผู้ชายคนหนึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของบริษัทมาติดต่องานบ่อยมาก มาทีก็คุยกับเธอนาน ๆ จนผมคิดว่าดูซิมันจะจีบได้มั๊ย ขนาดเราใกล้ชิดขนาดนี้ยังไม่สำเร็จ แล้วแฟนเธอก็มีแล้วด้วย แต่แล้ววันหนึ่งคุณพี่ซัพพลายเออร์ก็ลองชวนเธอไปกินข้าว ดูหนัง แล้วเธอก็ตอบตกลง(เชี่ยแล้ว) ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่ผมคิดวะ ผมนี่ต่อสายถึงเพื่อนทันที มันบอกว่าเลิกกันได้ครึ่งปีแล้ว(ไอ้บ้า) จบอีกเป็นครั้งที่สี่
วันหยุดเหงา ๆ วันหนึ่งช่วงปลายฤดูหนาวของชาย(ที่ดูเหมือนจะ)โสด ผมนั่งกอดถุงเห็ดหอม กับผักชื่อแปลก ๆ ที่ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่าผักอะไร ซึ่งผมซื้อมาจากตลาดที่ผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าชื่ออะไรมันอยู่ทางไปน้ำตก(นั่นแหละ จำไม่ได้เหมือนกัน) ซึ่งอยู่จังหวัดตาก ผมไปเที่ยวกับเพื่อนมาแล้วแวะซื้อของฝาก ซึ่งตอนซื้อลืมคิดไปว่าแล้วตูจะเอาไปฝากใครวะ คนรู้จักก็มากันหมดคันรถนี่แล้ว ผักมันก็กำลังจะเหี่ยวผมเลยขับรถไปที่บ้านเธอ (ตอนนี้มีรถแล้ว) ที่บ้านเธอมีครัว แล้วมันอยู่ไม่ไกลกันนัก ไปถึงแล้วผมก็เข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ แล้วก็กลับ แต่อ๊ะ ๆ มีคนบอกยังไม่ให้ผมกลับเป็นตัวแม่นั่นแหละ บอกผมให้ช่วยยกนี่ไปไว้นั่น ย้ายนั่นไปไว้นู่นให้หน่อย เสร็จแล้วค่อยกลับ พอเสร็จแล้วผมก็ไม่กลับ ทำงานเหนื่อย ๆ จะให้ทำฟรี ๆ ได้งัยผมเดินไปเปิดตู้เย็น กินน้ำหวานกินหนมซะเต็มที่ คือตอนนี้ไม่ต้องรักษาภาพพจน์แล้วงัย แฟนก็ไม่ได้เป็น งานก็ใช้ซะ แล้วหนมในตู้เย็นนี่โคตรอะหย่อย ไม่มีขายในไทยด้วย พี่สาวเธอหอบกลับมาตอนไปบิน (พี่สาวเป็นแอร์) กินอิ่มสบายใจแล้วก็กลับบ้าน
วันหยุดเหงา ๆ อีกหลายวันต่อมา ก๊วนตีแบตก็นัดกันมาไฝว้ มากันหลายคนรวมเธอด้วย คราวนี้พอตีเสร็จเธอบอกให้ผมไปส่งเธอที่บ้านด้วย ผมก็ไปส่งแต่ก็พยายามรักษาระยะห่าง เจ็บมาเยอะ พอไปถึงบ้านก็รู้แระ ว่ามันชวนมาทำไม มันใช้ให้เปลี่ยนหลอดไฟ พอทำงานเสร็จผมก็กินหนมกินน้ำหวานเหมือนเดิม พร้อมเปิดทีวีดูหนังสบายใจ ตอนนั้นพี่สาวคนที่เป็นแอร์กลับบ้านมาพอดี เหมือนเธอจะรู้ว่าผมคิดอะไร เธอบอกคนนี้ไม่ได้มีแฟนแล้ว ให้รอพี่คนโตกลับมาคนนั้นโสดอยู่ คือเธอเชียร์ให้จีบพี่สาวเธอ ส่วนผมก็ได้ทั้งนั้นแหละ
หลังจากนั้นถ้าวันไหนเธอไม่ได้ไปกินข้าวดูหนังกับคุณพี่ซัพพลายเออร์ เธอก็จะติดรถผมกลับบ้านเสมอ ไปถึงบ้านผมก็เข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ เปิดตู้เย็นกินหนม รอรับคำสั่งว่าจะให้ทำงานอะไร บางทีก็ใช้ให้ไปซื้อกับข้าว ซื้อมาแล้วก็นั่งกินด้วยกัน หลังอาหารก็นั่งดูทีวี ผมก็คุยไปเรื่อยกับที่บ้านเธอ กับพี่สาวเธอผมก็สนิทขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นเหมือนพี่สาวมากกว่า (ซึ่งใฝ่ฝันอยากมีพี่สาวมาตั้งแต่เด็กแล้ว) กับเธอผมก็สนิทขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็จะถามเรื่องที่เธออยากรู้แต่ไม่กล้าถามคนอื่น เช่นการไปเที่ยว อาบ อบ นวด ผมก็เล่าซะหมดเปลือก(รวมถึงเทคนิคการสวมถุงยางโดยที่ไม่ใช้มือ) คือตอนนั้นผมไม่ต้องระวังตัวแล้วงัย เพราะคิดว่าคงไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วแหละ แต่พอกิจวัตรมันเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ผมก็เริ่มชอบเธอมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่วนตัวเธอผมดูไม่ออกเลยว่าคิดยังงัย แล้วอีกอย่างนึงคือ กับคนที่ไปกินข้าวดูหนังด้วยนั่น มันถึงขั้นเป็นแฟนแล้วหรือยัง?
ช่วงหลัง ๆ กิจวัตรที่ทำด้วยกันก็คือ บางวันตอนเย็นเลิกงานก็กลับบ้านด้วยกัน ไปซื้อกับข้าวมาทำอาหารกิน ดูทีวี แล้วก็กลับบ้าน ตอนเช้าก็ไปรับบ้างไม่รับบ้าง มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้น แต่ผมก็ไม่กล้าบอกว่าชอบเธอ กลัวทุกอย่างมันจะหายไป จนคืนนึงก่อนกลับบ้าน ผมคิดว่าต้องพูดอะไรกับเธอซักอย่าง ให้รู้ว่าผมคิดกับเธอเกินเพื่อนแล้ว แต่มันก็ต้องไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการผูกมัด ผมก็เลยพูดออกไปว่า "พรุ่งนี้ไปเปิดบัญชีด้วยกันมั๊ย"
......เธอทำหน้าตาเฉยเมย ไร้อารมณ์ ผมเลยพูดต่อว่า"เผื่อจะได้เอาไว้ทำอะไรกันงัย" .......ยังเงียบอยู่ "ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ถอนเอาเงินมาแบ่งกันงัย" ....เงียบต่อไปอีกระยะ ก่อนที่เธอจะตอบกลับมาว่า "เริ่มต้นที่เท่าไหร่" โห แค่นี้แหละ คืนนั้นนอนหลับฝันดีมีความสุขที่สุด
หลังจากนั้น ไม่ว่าเธอจะไปกินข้าว ดูหนังกับใครที่ไหน แต่จะต้องมีวันนึงของทุก ๆ เดือน ที่เธอจะต้องเดินไปธนาคารกับผมไปฝากเงินด้วยกัน จบ