สัจธรรมในโรงพยาบาล นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผมได้มีโอกาสไปนอนเฝ้าไข้คุณพ่อเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาเนื่องจากท่านท้องเสียและช๊อคเนื่องจากความดันเลือดต่ำและร่างกายขาดน้ำมาก
ตอนนั้นท่านก็ใช้สิทธิ์รักษา 30 บาท และเข้าโรงพยาบาลประจำอำเภอ พี่ชายและผมก็พยายามขอคุณหมอให้เข้ารักษาในห้องพิเศษเนื่องจากตอนนั้นร้อนมาก และอยู่ห้องผู้ป่วยรวม ท่านก็อายๆ ไม่กล้าฉี่กล้าถ่ายท่ามกลางคนเยอะๆ (ถึงแม้จะมีม่านปิดให้ก็เถอะ) แต่คุณหมอก็ไม่ให้เข้าห้องพิเศษเพราะเกรงว่าจะช่วยเหลือไม่ทันถ้าเกิดเคสฉุกเฉิน ต้องวางเตียงไว้หน้าห้องพยาบาลเท่านั้น แล้วท่านก็ไม่สามารถเข้าห้องน้ำได้เนื่องจากต้องให้น้ำเกลือและยากระตุ้นความดัน (ถ้าผมจำไม่ผิด) รวมๆ ตั้ง 3 กระปุกแน่ะ
         ผมก็มีโอกาสพยุงท่านลึกขึ้นมาถ่ายใส่ถาดรอง เอาอุจจาระในถาดรองไปทิ้ง ล้างถาดรอง เก็บตัวอย่างอุจจาระใส่กระปุก (พอแค่นี้ล่ะ ผมไม่อยากบรรยายมาก) เช็ดตัว ป้อนข้าวป้อนน้ำ (แต่ผมไม่ได้โพสในเฟสบุ๊คเหมือนหลายๆ คนหรอกนะ บางคนเค้าก็ไม่เคยรู้ว่าหนุ่มสำอางค์อย่างผมจะทำแบบนี้ได้-อิอิ) ผมนอนเฝ้าท่านในคืนแรกเพราะพี่ชายผมยังไม่ลงมาจากกรุงเทพ และแม่ของผมท่านก็คงทำไม่ได้แน่นอน ผมก็ให้กลับบ้านไป และตอนนั้นก็ฉุกละหุกมาก พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ละกัน
         สิ่งที่ผมคิดได้และเห็นสัจธรรมของมนุษย์คือเรื่องการเจ็บป่วยและตาย ผมเห็นผู้ป่วยหลายๆ คน เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายนอนให้ลูกหลานเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าวป้อนน้ำ บางคนโดนเจาะท้อง เจาะคอ มีแผลพุพองตามตัว สารพัด เด็กเล็กๆ ร้องไห้เกือบๆ ชั่วโมงเพราะอาจจะเจ็บหรือหิว (พอคิดถึงลูกตัวเองแล้วก็ห่อเหี่ยวใจอยากกลับบ้าน)
         ผมก็คิดถึงการที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อตอนเราเจ็บป่วย การนอนโรงพยาบาลเอกชน มีพยาบาล มีห้องแอร์ มีหมอดูแล (คิดถึงเรื่องการประกันชีวิตด้วย)
         สิ่งที่ผมเห็นอีกอย่างนึงคือ พ่อของผมท่านเป็นคนตัวท้วมใหญ่ (โครงร่างก็ใหญ่ด้วย) อายุ 70 ปี น้ำหนัก 80 กก. ท่านก็ลุกขึ้นลำบากเวลาที่จะถ่าย รวมทั้งมีสายน้ำเกลือระโยงระยางรอบตัวไปหมดด้วย ผมก็ได้แต่แซวๆ ท่านว่า ลดน้ำหนักและการกินได้แล้วนะ อย่าตามใจปากมาก  เห็นมั๊ยมันลำบากตัวเองก็ตอนนี้แหละ ผมแซวๆ ท่านไปโดยที่ในใจลึกๆ ผมก็มองตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมก็อายุเกือบๆ เลขสี่แล้ว น้ำหนักตัวก็เกือบร้อยกิโลเข้าไปแล้ว ไม่เคยออกกำลังกาย ทำแต่งาน และกินจุ ไม่เคยควบคุมประเภทของอาหารและปริมาณที่กินด้วย เรียกได้ว่าคอเลสตอรอลสูง และค่าดัชนีมวลกายเข้าข่ายวิกฤติทีเดียว
          ผมก็ตั้งปนิธานกับตัวเองว่า ผมต้องเป็นคนใหม่ให้ได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับลูกหลานหรือแม้แต่พยาบาลที่จะต้องพยุงหรือประคองผมเมื่อป่วย ผมต้องออกกำลังกายบ้าง ลดอาหารและควบคุมน้ำหนัก แฟนผมพอได้ยินอย่างนั้นนี่แทบจะร้องไห้เลย
          หลังจากที่คุณพ่อผมหายป่วยและออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมก็กลับมาทำงานตามปกติ และนี่คือสิ่งที่ผมได้รับหลังจากที่ตั้ง
ปนิธานกับตัวเองครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ธรรมชาติมาเตือนคุณแล้วด้วยการให้คนใกล้ตัวเป็นตัวอย่าง   ส่วนตัวเราคิดว่า ทุกอย่างที่เราทำไม่ว่าการเรียน การทำงาน ก็เพื่อร่างกายเราเองทั้งนั้น  ดังนั้น การทำเพื่อร่างกายที่ดีที่สุดคือการใส่ใจสุขภาพตัวเองนี่แหละ  ลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพเถอะ  

ปล.วิธีตัดใจที่เราพยายามทำคือ เมื่อเห็นอาหารขยะตรงหน้าก็นั่งมองมันแล้วนึกว่า ถ้าข้าไม่กินเอ็งข้าจะตายไหม มองไปมองมาสักชั่วโมง เออก็ไม่ตายนี่หว่า  งั้นไม่กินก็ได้  ก็เป็นกลอุบายที่ดีที่จะหักห้ามใจ  (แต่นานๆจะกินทีก็ได้ ไม่ใช่สวาปามเข้าไปทุกวัน)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่