>>ความทรงจำใต้ผืนทราย ตอนที่ 1 - เฮเทอร์ (1/2)<<

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ
นิยายเรื่องนี้เป็นแนวอียิปต์ ฟาโรห์ นะคะ
ส่วนตัวชอบแนวนี้มาก จนได้เขียนเป็นของตัวเองบ้าง ชอบไม่ชอบอย่างไร เข้ามาคุย มาติมาชม กันได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


แสงแดดที่กำลังแผดจ้าสะท้อนกับแม่น้ำจนเป็นประกายระยิบระยับ ดูราวกับเป็นสายธารแห่งอัญมณีที่ไหลพาดผ่านทะเลทรายอันแห้งผากไปจนไกลสุดลูกหูลูกตา สองฟากฝั่งเป็นผืนดินสีดำอันเป็นแหล่งกำเนิดพืชพรรณนานาชนิด มอบชีวิตแก่ทุกสรรพสิ่งริมฝั่งน้ำมาอย่างยาวนาน

            ฟาโรห์เมรเรนฮอร์ซีซิสทรงวางพระบาทลงบนผืนหญ้าเฉอะแฉะริมตลิ่ง ดินโคลนสีดำเปื้อนอาบไปถึงข้อพระบาท แต่พระองค์มิได้ใส่พระทัยนัก ภายใต้ฉลองพระองค์ชุดยาวถึงเข่าสีขาวตุ่นกลางเก่ากลางใหม่กับเครื่องประดับขนาดเล็กเพียงไม่กี่ชิ้น เมื่อมองเพียงผิวเผินอยู่ไกลๆ ก็แทบไม่ต่างกับชาวนาทั่วไป ทว่า หากมีใครสักคนลองหยุดพิจารณาเพียงเล็กน้อยจะพบว่าลักษณะการยืนบนสองขาอันมั่นคง หลังตรง กอดพระอุระ และพระพักต์เชิดขึ้นคล้ายจะมองฟ้าในขณะที่ดวงตาหลุบทอดลงต่ำเช่นนี้ อย่างไรก็ยังดูแตกต่าง ยังดีที่ตรงนั้น ไม่มีใครสนใจหยุดพิจารณา

            พื้นที่โล่งกว้างโดยรอบ หากไม่ถูกปล่อยให้รกร้าง ก็เริ่มเต็มไปด้วยต้นข้าวสีเขียวขจี ในช่วงกลางฤดูเพเรตหรือฤดูเพาะปลูกเช่นนี้ ชาวนาคงเริ่มใจชื้นขึ้นมาเมื่อมองเห็นผลผลิตที่จะได้เก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยหวังจะเห็นความอุดมสมบูรณ์กลับมาเยือน อียิปต์ แผ่นดินดำอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง

            หากแต่ ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่กำลังยืนพรางองค์อยู่ริมตลิ่งกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น น้ำในฤดูอัคเคตที่ผ่านมานั้นน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในขณะที่ปีก่อนหน้า น้ำกลับมามากจนเกินไป

            ฟาโรห์ต้องทอดถอนพระทัยเกือบทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ น้ำที่ท่วมมากและนานเกินไปทำให้พื้นที่เพาะปลูกริมฝั่งล้มเหลว ส่วนน้ำที่ท่วมน้อยเกินไปอย่างปีนี้ก็ทำให้พื้นที่ห่างฝั่งล้มเหลวอีกเช่นกัน

            ใครไม่รู้ แต่พระองค์รู้ อาณาจักรของพระองค์ กำลังจะขาดแคลนอาหารในไม่ช้า

            ทรงก้มลงวักน้ำล้างพระพักต์ ก่อนเดินกลับไปนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนฝั่ง ซึ่งผูกอาชาตัวโปรดไว้ เมื่อได้พิงพระเศียรกับต้นไม้จึงเพิ่งรู้สึกถึงความเมื่อยล้า เมื่อสองวันก่อนพระองค์ได้เดินทางจากนครหลวงวาเซตไปยังเนเคนเพื่อสักการะเทพเจ้าฮอรัส ขากลับทรงนึกสนุก ชวนองครักษ์คนสนิทขี่ม้ามาดักรอขบวนเสด็จยังดเจอร์ตีแห่งนี้

            หาก นั่นยังไม่พอ เมื่อความ ‘สนุก’ จริงๆของพระองค์คือ ขี่ม้าแยกออกมาเพียงลำพัง ความเดียวดายอาจทำให้คนรู้สึกเหงา แต่บางครั้ง มันก็มอบความสงบให้ อย่างที่คนโหยหาได้เช่นกัน

            นับจากสักการะเทพเจ้าฮอรัส บางอย่างก็บอกพระองค์ให้แยกออกมาเพียงลำพังเสียบ้าง บางอย่างที่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความจริง มันชัดเจนกว่านั้น มันคือ ความรู้สึก

            ทรงแหงนพระพักต์มองฟ้าผ่านใบไม้หนาเบื้องบน พ่นพระปัสสาสะออกมาราวกับจะสลัดความเหนื่อยอ่อนทั้งปวง กิ่งไม้น้อยใหญ่ขยับไหวคล้ายจะตอบรับและมอบลมเย็นให้คล้ายจะปลอบประโลม ทรงหลับพระเนตรลงในที่สุด เวลานี้กระมังที่จะได้ผ่อนคลายลงบ้าง

            ฟาโรห์มิได้หลับ แต่ทรงปิดพระเนตรนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้ว กระทั่งความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้ามารบกวนจนต้องลืมพระเนตรขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทรงเดินกลับไปริมแม่น้ำหมายจะล้างพระพักต์ให้สดชื่นอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องแปลกพระทัยหนัก แม่น้ำไนล์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าแม้ไหลแรงภายในแต่เหนือผิวน้ำที่ควรสงบกลับกลายเป็นกระแสน้ำวนเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ

...จระเข้รึ? ไม่ใช่...

น้ำวนได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ฟาโรห์ทรงดึงเคเพช*มากุมกระชับมั่น น้ำวนตีวงอย่างแปลกประหลาด ไหลเคลื่อนมาใกล้เกินกว่าจะละสายตากลับหลัง พระเนตรสีดำสนิทจึงจ้องสายน้ำไม่วาง กล้ามเนื้อทุกส่วนเขม็งเกลียวเตรียมขยับ ไม่ว่ามันคืออะไร พระองค์พร้อมเผชิญ

พรวด!!

ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งขึ้นจากน้ำ นางชูแขนขอความช่วยเหลือแล้วจมหายไป ก่อนกระยิ้มกระสนขึ้นมาอีก ฟาโรห์ทรงตะลึงกับภาพที่ปรากฏ นั่นมิใช่สิ่งใดๆที่พระองค์คาดการณ์ หญิงสาวผู้นั้นตะกายขึ้นมาอีกครั้งและจมหายไป ไม่ปล่อยให้เวลานานกว่านั้น ทรงวิ่งย่ำโคลนอีกครั้งเพื่อกระโจนลงไปในน้ำ ดึงนางขึ้นมาและรีบนำนางวางลงกับพื้นริ่มตลิ่ง ทรงช่วยกดน้ำออกจากปอดและท้องทันที เมื่อน้ำก้อนใหญ่ออกมาจากปากนางก็กระแอมไอพยายามหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนทิ้งตัวลงอย่างสิ้นแรง

“เจ้า เป็นอย่างไร” ทรงถามร้อนรน ปลายพระเนตรตวัดกลับไปมองแม่น้ำผืนใหญ่ น้ำวนได้หายไปแล้ว

ทรงหันกลับมามองนางอีกครั้ง ร่างของนางเปียกปอนและป้อแป้เต็มที สองหัตถ์แกร่งเขย่าร่างอ่อนแรงเบาๆ

“เจ้า ไหวหรือไม่”

ทว่าคำตอบของนางคือตาที่ปิดสนิท  และสิ้นสติไป

ฟาโรห์ทรงพยายามเขย่าร่างนางเบาๆอีกครั้ง แต่หญิงสาวสิ้นสติจนไม่รู้สึกตัวโดยสิ้นเชิง ร่างเปียกปอนของนางบัดนี้เต็มไปด้วยโคลนสีดำทำให้เจ้าตัวดูยิ่งน่าเวทนา ฟาโรห์ทรงอดนึกตำหนิองค์เองไม่ได้ที่รีบวางนางไว้กับริมตลิ่งตรงนี้ ที่สุดจึงต้องช้อนร่างของนางขึ้นมาพาไปพักไว้ที่ต้นไม้ใหญ่

หลังจากนำผ้าคลุมของพระองค์มาห่มร่างนางไว้ องค์ฟาโรห์ก็ได้แต่เดินวนไปมารอบกายนางอยู่ครู่ใหญ่ แต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าของร่างเปียกปอนนั้นจะรู้สึกตัวในระยะอันใกล้แต่ประการใด ทรงทรุดนั่งและพินิจดูคนที่กำลังสิ้นสติ นางดูแตกต่าง ไม่ใช่คนอียิปต์ ผิวสีอ่อน ผมยาวดำสนิท ทุกอย่างบนใบหน้าดูเล็กแต่อิ่มเอิบ เมื่อมารวมกันจึงทั้งดูแปลกตาและน่ามอง ทั้งดวงตาที่กำลังปิดสนิท จมูกกลมๆที่มีสันแต่ไม่โด่งสูง ริมฝีปากอวบอิ่ม กับแก้มใสอิ่มเอิบ นางดูยังเยาว์นัก แต่ภายใต้ชุดเปียกปอนลู่เรือนร่างเมื่อครู่นี้ก็แสดงให้เห็นว่านางเป็นหญิงเต็มตัวแล้ว ด้วยเหตุนี้กระมังพระองค์จึงต้องหาผ้ามาคลุมกายไว้ให้นาง

เรือนร่างสตรีนั้นมีค่า แม้พระองค์จะเป็นฟาโรห์ และนางจะไม่รู้สึกตัว แต่ก็มิใช่เหตุผลที่ฉกฉวยเป็นโอกาสชื่นชมความงามของนาง

ฟาโรห์ทรงรีบสะบัดพระพักต์หันไปทางอื่นเพื่อละสายพระเนตรจากใบหน้านั้นราวกับจะไล่ความคิดขององค์เอง พลันก็สังเกตเห็นว่านางสวมแหวนวงหนึ่งอยู่ เมื่อก้มลงมองใกล้ๆก็พบเป็นแหวนเงินคาดกลางด้วยทองคำ หัวแหวนเป็นรูปพระพักต์ของเทพีฮาเทอร์ในภาคสตรีมีใบหูเป็นวัวทำจากทอง และพระเกศาทำจากเงิน นึกฉงนพระทัยนัก

...บุตรสาวบ้านไหนกันนี่ จึงมีแหวนล้ำค่าเช่นนี้อยู่ติดกาย...

ทรงทอดพระเนตรมองเจ้าของแหวนอีกครั้ง แล้วก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้ ที่สุดจึงทรงอุ้มหญิงสาวขึ้นม้าและควบออกไปสู่ย่านอาศัย
ทรงตัดสินพระทัย ไม่ว่าอย่างไร นางต้องได้รับความช่วยเหลือที่มากกว่านี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่