เหนือมนตรา ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
เรือนทิพย์

นักขวราชสาวพระบาทลิ่วจะกลับเข้าห้อง น้ำพระเนตรที่คลอกำลังจะหยาดหยดอย่างสุดที่จะสะกดกลั้น เจ้าหัตถากานต์ตามมาอย่างติดๆและตรสเรียกก่อนที่พระน้องนางจะเข้าไปในห้องบรรทมของพระนาง

“ ประเดี๋ยวก่อนสิ คืนนี้อย่างไรเจ้าก็ข่มตาหลับไม่ลงอยู่แล้ว หรือจะรีบเข้าไปร้องไห้เพราะทนไม่ไหวที่ยอดดวงใจของเจ้าเขาไม่หลงเหลือเยื่อใยความทรงจำใดๆเลย ”

นักขวราชชะงักพระบาททรงหันมาจ้องมองผู้กำลังยืนเยาะเย้ยถากถางพระนาง

“ ทรงสมพระทัยมากเลยใช่ไหม จริงสิ อย่างพระองค์จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่แล้ว ถ้ายิ่งทำให้ใครเขาได้รับทุกขเวทนาได้พระองค์จะยิ่งสุขพระทัยอย่างล้นเหลือ ”
“ ใช่ เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก พี่สมใจที่สุด สาใจที่ทำให้ใครได้รู้ตัวบ้างว่าสิ่งที่จมปรักอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นมันเปล่าประโยชน์ การรอคอยที่ไม่มีวันได้สมหวัง ไม่มี ”
“ แต่หม่อมฉันรู้นะว่าเจ้าพี่น่ะ เจ็บปวด เจ้าพี่ร้อนรุ่มทุรนทุรายกว่า ผู้ที่ไม่มีทางหาความสุขสงบในพระทัยได้คือตัวของเจ้าพี่เองนั่นแหละ ”

นักขวราชว่าใส่พระพักตร์พระพี่ยาแล้วผลักบานทวารกลับเข้าห้องบรรทม พระเจ้าหัตถากานต์ถึงกับกำพระหัตถ์แน่นอย่างระงับพระทัยเต็มที่
ณ ตำหนักแก้วที่เป็นที่พำนักของเจ้าจอม พระเจ้าหัตถากานต์เสด็จมาหาเจ้าจอมคนงาม นางนั้นสุดแสนจะดีใจที่องค์เหนือชีวิตเสด็จมาหา

“ ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ”
“ ลุกขึ้นเถอะ ”

เจ้าจอมวนิตาขึ้นมานั่งข้างพระวรกายเจ้าหัตถากานต์เชยคางให้ใบหน้านวลผ่องของนางเงยมองสบพระเนตรแล้วทรงจูบนางอย่างเสน่หา วนิตาโอนอ่อนตามพระทัยผู้ที่นางรักและภักดียิ่ง ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการขัดขืนพระทัยองค์ท้าวเธอให้ต้องขุ่นเคืองอารมณ์ ความสุขที่ทรงมีกับเจ้าจอมนั้นก็คือความสุขจากร่างกายที่พระองค์ได้ผ่อนคลายไปตามธรรมชาติเท่านั้น เมื่ออิ่มเอมสมพระทัยเจ้าจอมองค์งามก็เป็นเพียงแค่บาทบริจาริกา ที่พระองค์มีพวกนางเอาไว้เท่านั้น พระเจ้าหัตถากานต์หลับสนิทไปนานแล้ว แต่วนิตาผู้ภักดียังนอนมองพระพักตร์ของเจ้าชีวิตอย่างรักใคร่หลงใหล ยามบรรทมหลับสนิทองค์หัตถากานต์ช่างดูงดงามยิ่งนัก พระพักตร์เรียวยาวพระขนงดกดำพระนาสิกโด่งแหลมรับกับพระโอษฐ์บาง เส้นพระเกศาที่หยิกม้วนเป็นเกลียวยาวจรดพระอุระดำสนิทเป็นมันแววพระฉวีนวลเนียนขาวอมชมพูผุดผ่องไปทั้งพระองค์ พระองค์ทรงงดงามสมชายชาตรีอย่างนี้ทำไมองค์เทวีจึงไปมีพระทัยกับชายอื่น หากเป็นวนิตาเมื่อมีวาสนาได้รับใช้พระองค์เช่นนี้แล้วชาตินี้ก็จะขอรักและภักดีกับพระองค์ไปจนวันสิ้นลม จะไม่ขอมองใครชายอื่นเป็นอันขาดแม้จักกี่ชาติกี่ภพก็จะถวายชีวิตให้กับพระองค์เพียงพระองค์เดียว เจ้าชีวิตของวนิตา

ราตรีกาลที่ผ่านมาจวนใกล้สว่าง ณ เรือนทิพย์ที่ประทับบนโลกมนุษย์ พระเทวีนักขวราชยังคงยืนเหม่อมองออกไปภายนอก ทิวไม้ที่สะท้อนแสงจันทร์สีใบของมันเป็นมันวาวล้อแสงจันทร์งดงามพร่างพราว แต่องค์นักขวราชมิได้มีจิตใจเพ่งมองความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้า หากจิตใจของพระนางจมดิ่งกลับไปโศกกำสรวลกับอดีตที่เจ็บปวดไม่สร่างซา

“ เจ้าพี่นควัจ ”


ทรงรำพึงหาเบาๆพร้อมกับน้ำพระเนตรที่ไหลรินอาบพระปราง


“ เจ้าพี่ พบเหมือนไม่พบ ฤาว่าเราไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว ”


ภาพในอดีตคอยหลอกหลอนย้ำเตือนให้พระเทวีต้องตรมทุกข์ช้ำตรมไม่สร่างซา

ร่างที่ชุ่มโชกด้วยเลือดและบาดแผลทั่วทั้งร่างกายถูกมัดพันธนาการด้วยเชือกจนหมดอิสรภาพถูกชายฉกรรจ์หกตนแบกเอามาวางลงบนตั่งพิธี ผู้คนและชาวนครทิพย์ต่างโห่ร้องแสดงความสะใจที่เห็นร่างนั้นหมดสิ้นอิสรภาพ พระเจ้าหัตถากานต์ที่พระพักตร์และพระวรกายก็เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล พระเกศาหลุดลุ่ยยุ่งเหยิงอย่างผู้ที่ผ่านการต่อสู้กันมาอย่างรุนแรงยืนจ้องมองร่างของคู่ต่อสู้ที่พระองค์สามารถเอาชนะมาได้

“ ฆ่า  ฆ่า  ฆ่า ต้องตาย ต้องตาย ฆ่า  ฆ่า  ฆ่า ”

เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ให้ฆ่าผู้พ่ายแพ้ที่นอนถูกผูกมัดพันธนาการอยู่บนตั่ง

“ หัตถากานต์ เมื่อข้าเป็นผู้แพ้แล้ว เจ้าก็ฆ่าข้าแต่เพียงผู้เดียว เห็นแก่ความเป็นเพื่อนกันแต่ครั้งก่อนข้าจะขอร้องเจ้าสักอย่าง ”
“ นอกจากชีวิตของเจ้าแล้ว เจ้าขอข้ามาเถอะ ”
“ พสกนิกรศิริกาญน์ของข้า พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ข้าขอให้เจ้าจงละเว้นอย่าทำร้ายพสกนิกรของข้าทุกผู้ ”
“ เจ้ากำลังจะจบสิ้นทุกอย่างแล้ว แม้แต่ศิริกาญน์เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะได้ระลึกถึงอีก แต่ก็เอาเถอะ ข้าสัญญา ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆต่อศิริกาญน์แม้แต่เรือนสักหลัง ”

พระเจ้านควัจผินพระพักตร์ทอดพระเนตรตรงขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าแล้วทรงหลับพระเนตรอย่างยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ในอีกไม่ช้านี้

“ ฝ่าบาท อภัยให้ข้าเถิด พวกเราชาวนครทิพย์ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะยุติทุกอย่างลงให้เด็ดขาดไป ”


องค์ปู่เจ้าตรัสกับองค์นควัจก่อนที่จะเริ่มพิธีกรรมตัดขาดภพชาติแก่องค์นควัจผู้พ่ายแพ้


“ เชิญเถิด เราพ่ายแพ้แก่ความสามารถของหัตถากานต์ และพ่ายแพ้แกพลังมนตราของท่าน แต่เราจะไม่มีวันพลังแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ ข้ารักนักขวราช ความรักของข้าจะไม่มีวันสูญสิ้นไม่ว่าจะเป็นมนตราวิชาใดก็ตาม ”

คำตรัสที่มั่นคงแววพระเนตรที่มุ่งมั่นพระองค์ทรงหันไปมองยอดดวงใจที่กำลังกรรแสงและดิ้นรนเพื่อจะเข้ามาหาพระองค์ให้ได้แต่พระนางก็ไม่มีโอกาสหลุดจากการจับดึงเอาไว้ได้

“ อย่านะ เจ้าพี่อย่าทำร้ายเจ้าพี่นควัจ อย่านะเพคะ ”
“ พวกเจ้าส่งองค์นควัจให้หลุดพ้นจากวงศ์วานแห่งนาคราช ณ บัดนี้ ”

สิ้นคำสั่งขององค์ปู่เจ้าเพชรฆาตทั้งหกก็ฟันดาบลงบนร่างของพระเจ้านควัจจนร่างของเจ้านครศิริกาญน์ขาดออกเป็นท่อนเจ็ดท่อนพร้อมกับที่องค์ปู่เจ้าลงพระคาถากำกับดวงวิญญาณให้ทรงจบสิ้นชาติภพแห่งองค์นาคาทันที นักขวราชกรีดร้องสุดเสียงแล้วร่างน้อยก็สิ้นสติไม่สมปะดีไปในทันที

“ อย่านะ  ไม่  กรี๊ดๆๆ ”

ภควัตไปรอรับสรีดาที่สถานีขนส่ง สรีดามากับเพื่อนสาวโดยหอบเอาของฝากมาด้วยกล่องใหญ่

“ โอ้โฮ เอาอะไรมาด้วยกล่องใหญ่ขนาดนี้ ”
“ ของฝาก อาเนียมเขาฝากเอาของมาให้เธอ คงของกินทั้งนั้นแหละ ”
“ ลำบากดาต้องหอบหิวเอามา ”
“ ถ้ามาคนเดียวก็คงไม่รับฝากมาหรอกแต่นี่มีคนช่วยขนก็เลยเอามาได้ ”
“ สวัสดีครับ ”

ภควัตหันไปทักทายเพื่อนของสรีดาที่ยืนหิ้วกระเป๋ายิ้มมองอยู่

“ สวัสดีน่ะรู้จักชื่อหรือยัง เขาชื่อวรัญญาค่ะ ”

สรีดาบอกภควัตยิ้มอย่างยินดีแล้วรีบเข้าช่วยหิ้วกระเป๋าจากเพื่อนสาว

“ ไปที่รถกันเถอะ ”
“ วัตเอารถอะไรมารับดาคะ ”
“ ปิคอัพครับผม ที่นี่ไม่มีรถเก๋งหรอก ”
“ แหมแค่ถามดูเท่านั้น เพราะเห็นส่วนใหญ่รถที่วิ่งลุยในป่าจะเป็นรถจี๊ปเท่ๆ ”
“ ไม่มีหรอก ถ้ารถจี๊ปแบบนั้นต้องตามค่ายทหาร ที่นี่ใช้แค่ปิคอัพกันแต่ขับเคลื่อนสี่ล้อนะลุยไม่แพ้รถจี๊ปหรอก ”
“ ไกลไหมที่นี่ไปจนถึงเขื่อนน่ะ ”
“ สี่สิบกว่ากิโลเมตรครับผม ว่าแต่ดากินอะไรมาหรือยัง ”
“ จะไปกินที่ไหนล่ะ ออกจากโรงแรมมาก็มาขึ้นรถทัวร์เลย มีแต่ขนมปังที่บนรถเขาแจกเท่านั้น ”
“ อย่างนั้นผมพาไปแวะหาอะไรกินกันก่อนดีกว่านะ เพราะกว่าจะกลับไปถึงแคมป์ก็คงจะค่ำแล้วไม่รู้ว่าแม่บ้านจะเก็บกับข้าวเอาไว้ให้หรือเปล่าเพราะผมไม่ได้สั่งเขาไว้ว่าจะกลับตอนไหน ”
“ ก็ดีนะ ญาบ่นหิวตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ”
“ อย่างนั้นเชิญเลยครับ ขึ้นรถเลย ”

วรัญญายิ้มเธอรู้สึกว่าภควัตดูสุภาพนัก ท่าทางนุ่มนวลเวลาพูดน้ำเสียงนุ่มน่าฟังไม่ใช่น้ำเสียงของหนุ่มคนใต้ทั่วไปที่ออกจะแข็งๆปนทองแดงนิดๆเวลาพูดภาษากลาง วรัญญาเพิ่งนึกได้ว่าจริงสิ ภควัตไม่ได้พูดภาษาใต้กับสรีดา สองคนพูดคุยกันด้วยภาษากลางล้วนๆช่างน่าแปลกเพราะทั้งสองคนก็เป็นคนใต้ด้วยกันทั้งคู่แต่ทำไมไม่พูดภาษาใต้กัน

“ ดาจะพักอยู่กับผมกี่วัน ”
“ สองสามวันก็พอมั้ง ไม่อยากรบกวนวัตนาน ”
“ รบกวนอะไร ดามาเที่ยวผมยินดีซะอีก ”
“ แต่ดาอยู่ได้ไม่นานหรอก ที่ร้านไม่มีคนช่วยนี่ก็มาสามวันแล้วอยู่อีกสองสามวันก็ปาเข้าไปเป็นอาทิตย์ม่าม้าบนตายเลย ”
“ อาเนียมเป็นยังไงบ้าง ผมไม่ค่อยได้โทรไปหา เพราะที่นี่บางจุดคลื่นไม่มีจะโทรศัพท์ทีต้องคอยเดินหาคลื่นกัน ”
“ ก็ สบายดี ดาไปหาแทบทุกวัน ตอนนี้หน้าทุเรียนกำลังยุ่งให้คนงานตัดทุเรียนขาย ”
“ ผมอยากให้อาขึ้นมาเที่ยวทางเหนือนี่บ้าง เพราะอากาศที่นี่ดีดอกไม้ก็เริ่มสวยแล้ว ”
“ ใช่  ที่เชียงใหม่ดอกไม้สวยมากเลยถ้ามีเวลามากกว่านี้จะขึ้นดอยกัน แต่ไม่มีเวลาอีกอย่างเราก็ไม่ได้เอารถมาเองเลยไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น เที่ยวดูอยู่แถวใกล้ๆโรงแรมนั่นแหละ ”

ภควัตพาสรีดากับเพื่อนไปกินอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วจึงพากลับแคมป์ที่พัก

“ ป่าเขาทั้งนั้นเลย ”
“ ภาคเหนือนี่ครับ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาและป่าไม้ ”
“ ไม่ค่อยเห็นบ้านคนเลยนะ เขาอยู่กันห่างๆแบบนี้น่ากลัวเหมือนกันนะ ”
“ กลัวอะไร เขาก็ชินกับสภาพของเขา เราอยู่ในตลาดก็ชินกับการที่อยู่รวมกันมากๆเขาเรียกว่าแล้วแต่การเคยชิน ”
“ บ้านห่างๆกันอย่างนี้ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรคงลำบากเหมือนกันนะ อย่างเช่นขับรถไปแล้วรถเกิดเสียดาว่าคงแย่แน่ๆ ”
“ แย่แบบรถคันข้างหน้านั่นใช่ไหม ”

วรัญญาบอกเมื่อเห็นรถจอดอยู่ข้างทางแล้วเปิดสัญญาณรถเสีย ภควัตเบรกเพื่อจะช่วยเหลือ

“ มีปัญหาอะไรครับ อ้าวคุณกานต์ คุณนะเองรถเป็นอะไรครับ ”
“ ผมก็ไม่รู้ มันดับไปซะเฉยๆ ”
“ จะให้ผมไปตามช่างให้ไหมครับ ”
“ ไม่ต้อง ถ้าคุณจะกรุณาช่วยไปส่งผมที่บ้านจะได้ไหมครับ ”
“ ด้วยความยินดีเลยครับ ”

เจ้าหัตถากานต์จึงขึ้นรถมากับภควัตโดยนั่งตอนหน้าคู่กับภควัต ภควัตแนะนำให้เพื่อนสาวทั้งสองได้รู้จักกับหัตถากานต์ หญิงสาวทั้งสองรู้สึกปลื้มเจ้าหัตถากานต์ในทันทีเพราะเป็นบุรุษรูปงามบุคลิกดีเท่าที่เธอทั้งสองเคยพบมาเลยทีเดียว ภควัตขับรถมาส่งเจ้าหัตถากานต์จนถึงบ้าน
    
“ ผมขอเชิญคุณทั้งสามเข้าไปดื่มน้ำชาก่อนนะครับ ”

เจ้าหัตถากานต์ชวนทั้งสาม สรีดาตื่นตากับเรือนทรงโบราณหลังงามนี้จนต้องออกปากชมจากใจจริง

“ บ้านของคุณกานต์สวยจังเลยนะคะ ”

เจ้าฟ้านาคราชยิ้มรับคำชมแล้วเชิญแขกขึ้นไปบนเรือนทิพย์ของพระองค์

“ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะมีบ้านสวยๆอย่างนี้สร้างอยู่บนกลางดงกลางดอย ”

สรีดากระซิบบอกกับวรัญญาเมื่อเข้ามานั่งอยู่ในห้องรับแขกแล้ว เจ้าหัตถากานต์เสด็จหายไปข้างในปล่อยให้แขกนั่งชื่นชมความงามอลังการของเรือนทิพย์ ภควัตนั่งเงียบเขาเคยมาที่บ้านหลังนี้ครั้งนึงแล้ว เมื่อมาอีกครั้งจึงมีความรู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับสภาพภายในบ้านหลังนี้อย่างดีไม่มีอะไรที่เขาจะตื่นตาตื่นเต้นแต่อย่างไร ผิดกับสรีดากับวรัญญาที่กวาดสายตามองอย่างชื่นชมและตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกแต่งภายในบ้านหลังนี้








...พิมพ์พิลาสฒ์...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่