Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.1 (ตอนอวสาน) : ทางรอด (ส่วนแรก)
สำหรับบอย เสียงกรีดร้องของคนที่ตัวเองแอบรัก เป็นยิ่งกว่าเสียงสัญญาณไซเรนในสมัยสงครามโลกเสียอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกระแทกบานประตูตู้ให้เปิดออก แม้จะต้องแลกด้วยไหล่ข้างหนึ่งก็ตาม... วินาทีต่อมา ความพยายามของเด็กหนุ่มก็สำเร็จผล ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ด้วยซ้ำ บอยรีบถลันตัวลุกขึ้น หันมองทางระเบียงทันที
แต่วินาที่ต่อมา เด็กหนุ่มถึงกับต้องสะดุ้งโหยง เซลล์ประสาทในสมองชาดิกไปชั่วขณะ ก่อนจะตะโกนออกมาสุดเสียง “ไอ้นิน!!!”
ภาพที่เห็นตรงหน้า หากดูผิวเผินคงคล้ายปธานินกำลังยืนก้งโค้งอยู่ หากแต่ในความเป็นจริงร่างกายท่อนบนของเด็กหนุ่มร่างบางนั้นกำลังพาดอยู่บนรั้วระเบียงอย่างน่าหวาดเสียวต่างหาก
“ไอ้นิน!” บอยส่งเสียงร้องเรียกอีกหน พร้อมกับพุ่งตัวเข้าประคองร่างเพื่อนสนิทไว้ในอ้อมแขน “นิน นิน เมิงเป็นอะไร” เด็กหนุ่มพูดพลางตบหน้าอีกฝ่ายเบา ๆ หากแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ “ตื่นสิวะ กูอยู่นี่แล้ว เมิงตื่นขึ้นมาถอนหายใจใส่กูอย่างที่เคยทำสิ” เมื่อเพื่อนไม่มีทีท่าจะฟื้น ในใจกลับยิ่งร้อนรนขึ้น ความเป็นห่วงบีบคั้นจนเก็บกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว บอยจึงเปลี่ยนเป็นเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรง หวังให้เพื่อนลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหน
หากแต่เปล่าประโยชน์ ร่างของปธานินยังคงแน่นิ่งเช่นเดิม ไม่ต่างจากตุ๊กตา
“นิน ฮือ... กูขอโทษที่ช่วยเมิงไม่ได้ ฮือ...” เด็กหนุ่มซบหน้าเปียกปอนด้วยน้ำตาลงแนบอกอีกฝ่าย พร้อมกับดึงร่างไร้สติกอดไว้แน่นในอ้อมแขน พูดพร่ำประโยคเดิม ๆ อย่างแผ่วเบา และสั่นเครือ “กูขอโทษ กูขอโทษ กูขอโทษ...”
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น” แต่แล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของพลจากห้องข้าง ๆ “อ้าวเฮ้ย! ไอ้นินมันเป็นไรไปวะ”
“นินมันโดนชัยเล่นงานว่ะ กูจะทำไงดี” บอยตอบกลับ น้ำเสียงสะอึ้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ช่วยกันเอามันเข้าในบ้านก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” เด็กหนุ่มเจ้าถิ่น กระโดดลงจากรั้วระเบียงทันที
ทว่าก็ไม่เร็วเกินไปกว่าบอย เขาอุ้มร่างเพื่อนสนิทกลับเข้าไปวางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา ท่าทางไม่ต่างจากพระเอกในละคร
“นิน นิน เมิงอย่าเป็นอะไรไปนะ กูอยู่นี่แล้ว กูอยู่กับเมิงแล้ว นิน...” บอยกุมมือปธานินขึ้นแนบแก้ม พลางมองหน้าเพื่อนสนิท แม้ม่านน้ำอันเจิ่งนองเบ้าตาจะทำให้ภาพนั้นมัวลงก็ตาม เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ต่างจากกำลังถูกทรมานด้วยเครื่องมือชั้นดีซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของผีห่าซาตานจากนรก... กล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาหดเกร็งเพื่อสร้างหยดน้ำอุ่น ๆ จนปวดตุ่บ หัวใจถูกบีบคั้นจนเจ็บจุก สมองถูกรบกวนด้วยภาพความทรงจำอันสนุกสนานเวลาที่อยู่ได้อยู่ด้วยกันจนรู้สึกหน่วง เลือดแต่ละหยดในกายถ่วงหนักดุจหินผา ทั่วร่างคล้ายถูกกระแสไฟไหลผ่านจนแทบหมดเรี่ยวแรง... แม้จะหายใจยังลำบาก “นิน เมิงอย่าทิ้งกูไปไหนนะ ฮือ...”
“ไอ้บอย...” พลทำได้เพียงมองดูภาพตรงหน้า ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
ทว่าบรรยากาศเศร้าหมองอันหนักอึ้งก็ถูกพังครืนลงในเวลาต่อมา บอยวางมือของเพื่อนสนิทลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาตนออก “ไอ้ชัย!” บอยโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ โจนตัวขึ้นยืน ดวงตาที่เคยเศร้าหมองพลันเปลี่ยนไป มันลุกวาวด้วยเปลวเพลิงแห่งความพิโรธซึ่งโหมกระพือขึ้นอย่างฉับพลัน
“ไอ้บอย เป็นอะไร” พลรีบถามทันทีเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายกำลังเหลียวมองรอบตัวอย่างร้นรนด้วยแววตาอันน่ากลัว ประหนึ่งเทพอสูร
“พล ฝากดูแลไอ้นินที... กูจะไปฆ่ามัน” เด็กหนุ่มจากเมืองกรุงตอบ ก่อนจะคว้าขวดเบียร์ซึ่งซื้อมาเตรียมไว้ใช้เป็นเครื่องเซ่นขึ้นกระชับในมือ
“เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ ๆ เมิงจะทำอะไร” พลรีบเอาตัวเข้าขวางเพื่อนไว้ทันที ทั้งที่ยังตกใจ เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายโมโหขนาดนี้
“กูจะไปฆ่าไอ้ชัยไง แมร่งทำให้นินต้องเป็นอย่างนี้”
“เมิงใจเย็น ๆ สิวะ กูรู้ว่าเมิงโกรธ แต่เมิงคิดได้ยังไง จะเอาขวดเบียร์ไปไล่ฆ่าผี เมิงบ้า หรือว่ากูหูฝาดวะ”
“เออ! โกรธ กูโกรธมากด้วย โกรธไอ้ผีห่านั่นที่แมร่งไม่รู้จะอะไรกันนักหนา นี่ก็จะมาแก้บนแล้วไง แต่ศาลมันหาย ไปจะให้กูทำไงวะ” แม้จะอยู่ในช่วงที่ปรอทอารมณ์ถีบตัวขึ้นสูง หากแต่คำถามของพลก็ช่วยทำให้บอยได้สติ เด็กหนุ่มหันมองร่างของเพื่อนแวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แล้วกูก็โกรธตัวเองด้วยที่ช่วยคนที่กูรักไว้ไม่ได้”
“กูเข้าใจ กูว่าเราห่วงไอ้นินมันก่อนเถอะ เมิงมียาดมเปล่า มันคงแค่สลบไป” พลพูดพลาง นั่งลงข้างปธานิน ใช้นิ้วอังจมูกเพื่อตรวจดูลมหายใจ
“มี ๆ ๆ แป๊บ” เด็กหนุ่มผู้ผ่อนอารมณ์ลงได้ รีบวิ่งลงชั้นล่างเพื่อหายาดม แล้วกลับขึ้นมาทันที
“แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงวะ”
“คืออย่างนี้...” บอยเล่าเรื่องทั้งหมดให้พลฟัง ในขณะที่โยกหลอดยาดมไปมาอยู่ใต้จมูกเพื่อนสนิท ดวงตาสั่นระริกใต้ม่านน้ำ
“อืม... กูรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะ มันอาจจะต้องมีอะไรมากกว่าที่เราคิด” หนุ่มอีสานพูดขึ้นทันทีที่บอยเล่าจบ
วินาทีนั้นเอง สิ่งที่พวกเขารอคอยก็บังเกิด เปลือกตาของปธานินสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เปิดขึ้น “บอย...”
“นิน เมิงเป็นไงบ้างวะ เชี่ย กูเป็นห่วงแทบตาย” ผู้ถูกร้องเรียกตอบกลับ กุมมือเพื่อสนิทไว้แน่น รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นปาดน้ำตา
“เกิดอะไรขึ้นวะ ชัยหายไปไหน กูจำได้ว่าเมิงถูกขังอยู่ในตู้ ส่วนกู... กูถูกชัยรัดคอแล้วลากไปที่ระเบียง มันอึดอัดมาก จนกูหายใจไม่ออก กูคิดว่ากูตายไปแล้วซะอีก” ปธานินเล่าเหตุการณ์สุดระทึก อันเป็นความทรงจำสุดท้ายให้เพื่อนฟัง พร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“อืม... เมิงปลอดภัยแล้ว เมิงยังอยู่กับกู” บอยเอนตัวรั้งร่างผอมบางเข้าไว้ในอ้อมกอด วางคางลงบนไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้น “นิน กูเป็นห่วงเมิงนะเว้ย นึกว่าเมิงตายไปแล้ว” หยดน้ำเอ่อท่วมกระบอกตาของบอยอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี “ขอบใจนะ”
“ขอบใจอะไร” ปธานินถามกลับ
“ขอบใจที่เมิงยังไม่ตายไง ขอบใจ... ที่เมิงยังอยู่กับกู” ฝ่ายผู้ถูกถามซบหน้าลงแนบไหล่ของอีกฝ่าย
“เออ แล้วเมิงล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ปวดสิ กูร้องไห้จนปวดตาไปหมดแล้ว กูคิดว่ากูจะต้องเสียเมิงไปซะอีก...” ในวินาทีนั้นเองบอยก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังแสดงออกนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด เขาจึงคลายวงแขนออกอย่างไม่เต็มใจ “...เพื่อน”
“เอ้า ๆ ๆ จะหวานกันอีกนานไหม ว่าแต่ พอกูได้ยินเมิงเล่า กูก็เลยแน่ใจเลยว่ะนิน” พลขัดขึ้น
“แน่ใจ?”
“อืม ถ้าชัยจะฆ่าเมิงนะ คงทำไปแล้ว แต่นี่เหมือนกับว่า พอเมิงหายใจไม่ออกก็เลยปล่อย”
“เฮ้ย! แต่ไอ้นินมันก็เกือบตายเลยนะเว้ย ถึงขั้นสลบ มันจะเล่นแรงไปไหม” บอยสวนกลับทันที
*********** อ่านต่อด้านล่างครับ ************
Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.1 (ตอนอวสาน) : ทางรอด (ส่วนแรก)
แนวเรื่อง : ลึกลับ ระทึกขวัญ สยองขวัญ หักมุม
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน) -- https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
มนุษย์เราทุกผู้ล้วนมีบาป ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นหนทางแห่งความตาย...
บนเส้นทางชีวิตมีบ่อยครั้งที่ต้องเลือกว่า จะทำ หรือไม่ทำ...
แต่ปลายทางคงเลือกไม่ได้ว่า จะตาย หรือไม่ตาย
ถ้าชอบช่วยกดไลค์แฟนเพจไว้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ และเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol
สำหรับบอย เสียงกรีดร้องของคนที่ตัวเองแอบรัก เป็นยิ่งกว่าเสียงสัญญาณไซเรนในสมัยสงครามโลกเสียอีก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมกำลังเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อกระแทกบานประตูตู้ให้เปิดออก แม้จะต้องแลกด้วยไหล่ข้างหนึ่งก็ตาม... วินาทีต่อมา ความพยายามของเด็กหนุ่มก็สำเร็จผล ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ด้วยซ้ำ บอยรีบถลันตัวลุกขึ้น หันมองทางระเบียงทันที
แต่วินาที่ต่อมา เด็กหนุ่มถึงกับต้องสะดุ้งโหยง เซลล์ประสาทในสมองชาดิกไปชั่วขณะ ก่อนจะตะโกนออกมาสุดเสียง “ไอ้นิน!!!”
ภาพที่เห็นตรงหน้า หากดูผิวเผินคงคล้ายปธานินกำลังยืนก้งโค้งอยู่ หากแต่ในความเป็นจริงร่างกายท่อนบนของเด็กหนุ่มร่างบางนั้นกำลังพาดอยู่บนรั้วระเบียงอย่างน่าหวาดเสียวต่างหาก
“ไอ้นิน!” บอยส่งเสียงร้องเรียกอีกหน พร้อมกับพุ่งตัวเข้าประคองร่างเพื่อนสนิทไว้ในอ้อมแขน “นิน นิน เมิงเป็นอะไร” เด็กหนุ่มพูดพลางตบหน้าอีกฝ่ายเบา ๆ หากแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ “ตื่นสิวะ กูอยู่นี่แล้ว เมิงตื่นขึ้นมาถอนหายใจใส่กูอย่างที่เคยทำสิ” เมื่อเพื่อนไม่มีทีท่าจะฟื้น ในใจกลับยิ่งร้อนรนขึ้น ความเป็นห่วงบีบคั้นจนเก็บกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว บอยจึงเปลี่ยนเป็นเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรง หวังให้เพื่อนลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหน
หากแต่เปล่าประโยชน์ ร่างของปธานินยังคงแน่นิ่งเช่นเดิม ไม่ต่างจากตุ๊กตา
“นิน ฮือ... กูขอโทษที่ช่วยเมิงไม่ได้ ฮือ...” เด็กหนุ่มซบหน้าเปียกปอนด้วยน้ำตาลงแนบอกอีกฝ่าย พร้อมกับดึงร่างไร้สติกอดไว้แน่นในอ้อมแขน พูดพร่ำประโยคเดิม ๆ อย่างแผ่วเบา และสั่นเครือ “กูขอโทษ กูขอโทษ กูขอโทษ...”
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้น” แต่แล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของพลจากห้องข้าง ๆ “อ้าวเฮ้ย! ไอ้นินมันเป็นไรไปวะ”
“นินมันโดนชัยเล่นงานว่ะ กูจะทำไงดี” บอยตอบกลับ น้ำเสียงสะอึ้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ช่วยกันเอามันเข้าในบ้านก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” เด็กหนุ่มเจ้าถิ่น กระโดดลงจากรั้วระเบียงทันที
ทว่าก็ไม่เร็วเกินไปกว่าบอย เขาอุ้มร่างเพื่อนสนิทกลับเข้าไปวางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา ท่าทางไม่ต่างจากพระเอกในละคร
“นิน นิน เมิงอย่าเป็นอะไรไปนะ กูอยู่นี่แล้ว กูอยู่กับเมิงแล้ว นิน...” บอยกุมมือปธานินขึ้นแนบแก้ม พลางมองหน้าเพื่อนสนิท แม้ม่านน้ำอันเจิ่งนองเบ้าตาจะทำให้ภาพนั้นมัวลงก็ตาม เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ต่างจากกำลังถูกทรมานด้วยเครื่องมือชั้นดีซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของผีห่าซาตานจากนรก... กล้ามเนื้อบริเวณเบ้าตาหดเกร็งเพื่อสร้างหยดน้ำอุ่น ๆ จนปวดตุ่บ หัวใจถูกบีบคั้นจนเจ็บจุก สมองถูกรบกวนด้วยภาพความทรงจำอันสนุกสนานเวลาที่อยู่ได้อยู่ด้วยกันจนรู้สึกหน่วง เลือดแต่ละหยดในกายถ่วงหนักดุจหินผา ทั่วร่างคล้ายถูกกระแสไฟไหลผ่านจนแทบหมดเรี่ยวแรง... แม้จะหายใจยังลำบาก “นิน เมิงอย่าทิ้งกูไปไหนนะ ฮือ...”
“ไอ้บอย...” พลทำได้เพียงมองดูภาพตรงหน้า ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก
ทว่าบรรยากาศเศร้าหมองอันหนักอึ้งก็ถูกพังครืนลงในเวลาต่อมา บอยวางมือของเพื่อนสนิทลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาตนออก “ไอ้ชัย!” บอยโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ โจนตัวขึ้นยืน ดวงตาที่เคยเศร้าหมองพลันเปลี่ยนไป มันลุกวาวด้วยเปลวเพลิงแห่งความพิโรธซึ่งโหมกระพือขึ้นอย่างฉับพลัน
“ไอ้บอย เป็นอะไร” พลรีบถามทันทีเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายกำลังเหลียวมองรอบตัวอย่างร้นรนด้วยแววตาอันน่ากลัว ประหนึ่งเทพอสูร
“พล ฝากดูแลไอ้นินที... กูจะไปฆ่ามัน” เด็กหนุ่มจากเมืองกรุงตอบ ก่อนจะคว้าขวดเบียร์ซึ่งซื้อมาเตรียมไว้ใช้เป็นเครื่องเซ่นขึ้นกระชับในมือ
“เฮ้ย! เดี๋ยว ๆ ๆ เมิงจะทำอะไร” พลรีบเอาตัวเข้าขวางเพื่อนไว้ทันที ทั้งที่ยังตกใจ เพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายโมโหขนาดนี้
“กูจะไปฆ่าไอ้ชัยไง แมร่งทำให้นินต้องเป็นอย่างนี้”
“เมิงใจเย็น ๆ สิวะ กูรู้ว่าเมิงโกรธ แต่เมิงคิดได้ยังไง จะเอาขวดเบียร์ไปไล่ฆ่าผี เมิงบ้า หรือว่ากูหูฝาดวะ”
“เออ! โกรธ กูโกรธมากด้วย โกรธไอ้ผีห่านั่นที่แมร่งไม่รู้จะอะไรกันนักหนา นี่ก็จะมาแก้บนแล้วไง แต่ศาลมันหาย ไปจะให้กูทำไงวะ” แม้จะอยู่ในช่วงที่ปรอทอารมณ์ถีบตัวขึ้นสูง หากแต่คำถามของพลก็ช่วยทำให้บอยได้สติ เด็กหนุ่มหันมองร่างของเพื่อนแวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แล้วกูก็โกรธตัวเองด้วยที่ช่วยคนที่กูรักไว้ไม่ได้”
“กูเข้าใจ กูว่าเราห่วงไอ้นินมันก่อนเถอะ เมิงมียาดมเปล่า มันคงแค่สลบไป” พลพูดพลาง นั่งลงข้างปธานิน ใช้นิ้วอังจมูกเพื่อตรวจดูลมหายใจ
“มี ๆ ๆ แป๊บ” เด็กหนุ่มผู้ผ่อนอารมณ์ลงได้ รีบวิ่งลงชั้นล่างเพื่อหายาดม แล้วกลับขึ้นมาทันที
“แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงวะ”
“คืออย่างนี้...” บอยเล่าเรื่องทั้งหมดให้พลฟัง ในขณะที่โยกหลอดยาดมไปมาอยู่ใต้จมูกเพื่อนสนิท ดวงตาสั่นระริกใต้ม่านน้ำ
“อืม... กูรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะ มันอาจจะต้องมีอะไรมากกว่าที่เราคิด” หนุ่มอีสานพูดขึ้นทันทีที่บอยเล่าจบ
วินาทีนั้นเอง สิ่งที่พวกเขารอคอยก็บังเกิด เปลือกตาของปธานินสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เปิดขึ้น “บอย...”
“นิน เมิงเป็นไงบ้างวะ เชี่ย กูเป็นห่วงแทบตาย” ผู้ถูกร้องเรียกตอบกลับ กุมมือเพื่อสนิทไว้แน่น รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นปาดน้ำตา
“เกิดอะไรขึ้นวะ ชัยหายไปไหน กูจำได้ว่าเมิงถูกขังอยู่ในตู้ ส่วนกู... กูถูกชัยรัดคอแล้วลากไปที่ระเบียง มันอึดอัดมาก จนกูหายใจไม่ออก กูคิดว่ากูตายไปแล้วซะอีก” ปธานินเล่าเหตุการณ์สุดระทึก อันเป็นความทรงจำสุดท้ายให้เพื่อนฟัง พร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“อืม... เมิงปลอดภัยแล้ว เมิงยังอยู่กับกู” บอยเอนตัวรั้งร่างผอมบางเข้าไว้ในอ้อมกอด วางคางลงบนไหล่อีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้น “นิน กูเป็นห่วงเมิงนะเว้ย นึกว่าเมิงตายไปแล้ว” หยดน้ำเอ่อท่วมกระบอกตาของบอยอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี “ขอบใจนะ”
“ขอบใจอะไร” ปธานินถามกลับ
“ขอบใจที่เมิงยังไม่ตายไง ขอบใจ... ที่เมิงยังอยู่กับกู” ฝ่ายผู้ถูกถามซบหน้าลงแนบไหล่ของอีกฝ่าย
“เออ แล้วเมิงล่ะ เป็นไงบ้าง”
“ปวดสิ กูร้องไห้จนปวดตาไปหมดแล้ว กูคิดว่ากูจะต้องเสียเมิงไปซะอีก...” ในวินาทีนั้นเองบอยก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังแสดงออกนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด เขาจึงคลายวงแขนออกอย่างไม่เต็มใจ “...เพื่อน”
“เอ้า ๆ ๆ จะหวานกันอีกนานไหม ว่าแต่ พอกูได้ยินเมิงเล่า กูก็เลยแน่ใจเลยว่ะนิน” พลขัดขึ้น
“แน่ใจ?”
“อืม ถ้าชัยจะฆ่าเมิงนะ คงทำไปแล้ว แต่นี่เหมือนกับว่า พอเมิงหายใจไม่ออกก็เลยปล่อย”
“เฮ้ย! แต่ไอ้นินมันก็เกือบตายเลยนะเว้ย ถึงขั้นสลบ มันจะเล่นแรงไปไหม” บอยสวนกลับทันที
*********** อ่านต่อด้านล่างครับ ************