Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.3 : ทางรอด (ตอนอวสาน)




แนวเรื่อง : ลึกลับ ระทึกขวัญ สยองขวัญ หักมุม
ผู้แต่ง : Phakin (ภาคิน)

มนุษย์เราทุกผู้ล้วนมีบาป ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นหนทางแห่งความตาย...
บนเส้นทางชีวิตมีบ่อยครั้งที่ต้องเลือกว่า จะทำ หรือไม่ทำ...
แต่ปลายทางคงเลือกไม่ได้ว่า จะตาย หรือไม่ตาย

ถ้าชอบช่วยกดไลค์แฟนเพจไว้ติดตามข่าวสารเรื่องนี้ และเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/phakin.uttabolyukol




Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - Sloth : ขี้เกียจตัวเป็นศพ - ตอนที่ 15.3 : ทางรอด (ตอนอวสาน)



               กล้ามเนื้อทุกมัดถูกกระตุ้นให้มีพลังมากกว่าเก่า กระแสเลือดฉีดพล่าน ลมหายใจรุนแรง ถี่กระชั้นขึ้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจซึ่งบีบรัดตัวเอง จนเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความปวดหน่วงในช่องอกอย่างเด่นชัด ปธานินรู้ตัวดี ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของเขาคงทนต่อสภาพนี้ได้อีกไม่นานนัก หากแต่ก็หยุดพักไม่ได้เช่นกัน ด้านหลังคือวิญญาณหญิงสาวผู้หิวโหยซึ่งกวดตามมาในระยะกระชั้นชิด

               เบื้องหน้าคือ ความมืดทอดยาวสุดสายตา แสงจากไฟฉายในมือโบกสะบัดเกินกว่าจะมองเห็นอย่างอื่นได้นอกจากพื้นถนนดินขรุขระ... ดูไม่ต่างจากเส้นทางสู่นรก

               มันอาจเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาที หากแต่ในความรู้สึกของผู้ถูกล่าแล้ว มันยาวนานราวชั่วโมง... เกมการไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป

               จนในที่สุดร่างกายก็เริ่มแสดงความเหนื่อยล้า อดรีนาลีนจวนเจียนหมดฤทธิ์ กำลังเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ปธานินสัมผัสได้ถึงความอึดอัดแผ่ลามจากช่องอก หัวใจเต้นแรงราวจะจะหนีให้พ้นจากร่าง ขาแต่ละข้างหนักอึ้ง แข็งเกร็งไม่ต่างจากท่อนเหล็ก

               ปธานินรู้ดี หากเขาพลาดท่าหมดแรงตอนนี้... ชีวิตของเขาก็คงหมดลงด้วยเช่นกัน

               วินาทีก้ำกึ่งระหว่างความเป็นความตายนั้นเอง ภาพของบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตก็โผล่แว่บขึ้นในสมอง... บอย

               ปธานินตัดสินใจเดิมพันครั้งสุดท้าย เขาหันหลังกลับ ล้วงหยิบสร้อยพระที่บอยให้ออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนชูขึ้นเหยียดมือไปข้างหน้าสุดแขน ปิดเปลือกตาทั้งคู่ลง

               อมนุษย์กระหยิ่มยิ้มย่องราวผู้มีชัยครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนราวถูกทารุณกรรม แล้วสลายหายไปในทันที... ปธานินรอดตายได้ราวปาฏิหาริย์ ทว่าความรู้สึกของการเป็นผู้รอดชีวิตกลับไม่ได้ช่วยเติมเต็มกำลังวังชาให้ร่างกายแม้แต่น้อย ร่างของเด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้น ส่งเสียงหอบหายใจจนตัวโยน พลางมองดูสร้อยพระในมือ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ปธานินอดนึกไม่ได้ว่า นี่คืออีกครั้งที่เพื่อนสนิทได้ช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วคงจะไม่ต้องวิ่งจนเหนื่อยขนาดนี้หากเขาระงับความขี้เกียจของตัวเองไว้ แล้วสวมใส่สร้อยนี้ลงบนคอแต่แรก แทนที่จะใช้นิสัยมักง่ายยัดลงในกางเกงแทน

               เมื่อคิดได้ดังนั้น ปธานินจึงไม่รอช้า สวมสร้อยพระลงบนคอของตนทันที จากนั้นจึงพลิกตัวกลับ สาดแสงไฟฉายไปยังทิศทางที่สโมสรร้างตั้งอยู่อีกครั้ง ระหว่างรอให้ความเหนื่อยหอบจางหายไป

               แต่แล้วปธานินก็ต้องพบกับเรื่องไม่คาดคิดอีกครั้ง เมื่อเขาได้เห็นบางอย่างอยู่สุดระยะของกำลังไฟฉาย ปฏิกิริยาตอบสนองสั่งการให้ร่างกายทำงานโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ขยับเท้าเข้าไปใกล้วัตถุปริศนาทีละน้อยๆ จนกระทั่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น... มันเป็นวัตถุสีขาวหม่น มีรูปทรงคล้ายแท่นสี่เหลี่ยมธรรมดา ทว่าบางอย่างบนแท่นนั้นต่างหากที่ทำให้ปธานินต้องผงะถอยหลังอย่างลืมตัว
สิ่งที่เด็กหนุ่มได้พบนั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน หากแต่จะต่างกันบ้างนิดหน่อยก็คือ... มันไม่มีหัว

               …

               “เฮ้ยพล นินมันจะเป็นไงบ้างวะเนี่ย มันเข้าไปตั้งนานแล้วนะ” บอยเอ่ยถาม ท่าทางกระสับกระส่าย

               “กูจะต้องรู้ด้วยไหมเนี่ย เมิงก็ใจเย็นดิวะ หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เราคงได้ยินเสียงไอ้นินมันแหกปากแล้ว” พลตอบ พลางดูเพื่อนซึ่งเดินวนกลับไปกลับมาอย่างไม่เป็นสุข

               “แต่...”

               “เออ กูเขาใจ แต่ระยะทางมันก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะเว้ย กว่าจะถึงสโมสร กว่าจะแก้บนเสร็จ กว่าจะเดินกลับมาอีก คงใช้เวลาอีกสักพักว่ะ” พลรีบบอกอย่างรู้ทัน

               “นินเอ๊ยนิน... กูคิดถูกหรือเปล่าวะเนี่ยที่ปล่อยให้เมิงไปคนเดียว” บอยยังคงบ่นกับตัวเองต่อ คำพูดของสหายเจ้าถิ่นไม่อาจช่วยลดความกังวลลงได้แม้แต่น้อย

               พลเองก็จนปัญญาจะจะพูดให้อีกฝ่ายสบายใจได้ เขาจึงตบไหล่บอยครั้งหนึ่งแทน

               “แล้วเชี่ยเอ๊ย มันไกลมากเลยเหรอวะพล ทำไมมันถึงไม่สร้างสโมสรไว้ตื้น ๆ เนี่ย ไปสร้างทำมะเขืออะไรในป่า”

               “แล้วกูจะต้องไปถามใครให้เมิงเนี่ย? ฮึ! ว่าแต่... จริง ๆ มันก็มีทางเข้าอีกทางนะ เข้าจากหลังหมู่บ้านได้แล่ะ แต่...”

               “อ้าวเชี่ย! มีทางลัดแล้วเมิงทำไมไม่ใช้วะ” บอยหยุดเดิน หันมองหน้าอีกฝ่ายทันที

               “เมิงฟังกูให้จบสิ ทางลัดที่กูว่าน่ะ มันไม่ใช่ทางจริง ๆ หรอก มันก็แค่รอยแตกของกำแพงหลังหมู่บ้าน ทำให้สามารถเดินฝ่าป่าฝ่าดงเข้าไปสโมสรได้ในระยะสั้นกว่าเท่านั้นเอง...” พลมองหน้าเพื่อนทีหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “...ถ้าเป็นกลางวันก็คงได้ แต่นี่มันกลางคืนนะเว้ย กูถามจริง ระหว่างผีป่านางไม้ กับงูเงี้ยวเขี้ยวขอ อะไรมันจะน่ากลัวกว่ากันวะ”

               “ผะ... เออ งูก็ได้วะ” บอยตอบ

               “เมิงก็เย็น ๆ หน่อยสิ กูเองก็บอกทางลัดให้นินมันไปแล้ว เผื่อเกิดอะไรขึ้น มันจะได้มีทางหนีทีไล่”

               “อืม...” เด็กหนุ่มจากกรุงเทพตอบรับ

               “เออ ว่าแต่ ปวดขี้ว่ะ บอยพากูกลับไปขี้ที่บ้านก่อนสิ เดี๋ยวค่อยมาใหม่ นินมันคงยังไม่เสร็จหรอก”

               “อั้นไว้ก่อนไม่ได้เหรอวะ เอ้า! งั้นเมิงขี่รถไปเองเลย กูจะรอนินมันอยู่ที่นี่แล่ะ”

               “เออ เออ เออ ก็ได้วะ เดี๋ยวกูมานะ” พลรีบขึ้นคล่อมรถมอเตอร์ไซต์แล้วขับออกไปทันทีที่รับกุญแจมา
บอยหันหลังกลับ มองฝ่าความมืดไปยังทิศทางที่สโมสรร้างตั้งอยู่อีกครั้ง แววตาเปี่ยมด้วยความเป็นห่วง และวิตกกังวล

               ...

               ร่างของปธานินทรุดฮวบลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองไปยังร่างมนุษย์ไร้หัวด้วยความตกใจ มือไม้สั่นเกินกว่าจะประคองไฟฉายให้อยู่นิ่ง ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ตระหนักได้ แท้จริงแล้วมนุษย์ไร้หัวนั้นเป็นเพียงแค่รูปปั้นประดับสวนที่เปื้อนเปรอะเท่านั้น

               “เชี่ย!” ปธานินเผลอสบถอย่างลืมตัว สูดหายใจเข้าลึกเพื่อดึงสติกลับคืน นึกปลอบขวัญตัวเองว่า อย่างน้อยเขาก็มาถึงสโมสรร้างสักที ปลายทางของค่ำคืนอันน่ากลัวอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น... เมื่อกำลังใจดีขึ้น เขาจึงรีบลุกแล้วเดินต่อทันที

               เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มคือ อาคารทรงยุโรปสีขาวหม่นจนเกือบเทาตามกาลเวลา ตามกำแพงภายนอกอาคารมีไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมไปทั่ว ดูราวกับปราสาทผีสิงในภาพยนตร์ฝรั่ง ทว่าทันทีที่ได้เดินเข้าไปภายใน ปธานินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแปลกไป ผิวหนังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิซึ่งลดต่ำลง จนขนทั่วร่างลุกชูชันขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แต่ละอณูอากาศแผงไว้ด้วยความอึดอัด ความมืดมิดรอบตัวดูราวกับเพิ่มความเข้มข้น จนทำให้แสงจากไฟฉายดูสว่างขึ้นไปถนัดตา

               เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอด รวบรวมความกล้า และสติอีกครั้ง ก่อนจะสาดแสงไฟไปรอบตัว

               ภายในอาคารยังคงถูกออกแบบให้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบยุโรป กลางโถงมีเคาท์เตอร์ว่างเปล่าซึ่งเพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า มันคงเคยเป็นเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์มาก่อน หากแต่บัดนี้ความว่างเปล่าได้เปลี่ยนให้มันดูน่าวังเวงขึ้นหลายขุม ถัดไปด้านหลังเป็นบันไดขึ้นชั้นสองซึ่งมีขนาดกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก  ซ้ายมือเป็นซุ้มโค้งไร้ประตู ถูกสลักลวดลายคล้ายเถาวัลย์ และช่อองุ่นโดยรอบ หากแต่มันกลับไม่ให้ความรู้สึกสวยงาม หรือมีระดับอีกต่อไปแล้ว เพราะเมื่อมองผ่านซุ้มโค้งนั้นเข้าไปก็จะเห็นเพียงความมืดสนิทอัดแน่นอยู่ภายใน ส่วนขวามือเป็นซุ้มโค้งแบบเดียวกัน แต่มีประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ดูคุ้นตาปิดอยู่...

               ใช่แล้ว ปธานินจำได้ในทันทีว่า มันเป็นบานเดียวกันกับที่เห็นในฝันไม่ผิดเพี้ยน เบื้องหลังก็คงเป็นสระว่ายน้ำนั่นเอง... สระน้ำซึ่งชัยเคยเอาชีวิตตัวเองมาทิ้ง

                ปธานินรู้ตัวดี เวลาแห่งการเผชิญหน้าระหว่างเขากับชัยกำลังจะมาถึงในไม่ช้า

               เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ยกมือขึ้นกำสร้อยคอไว้ ราวกับเป็นการปลุกปลอบตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะรวบรวมกำลังที่มีผลักบานประตูให้เปิดออก

               “เอี๊ยด................!” เสียงฝืดของบานพับประตูดังก้องซ้ำไปมาท่ามกลางความมืดมิด ฉุดกระชากจิตของมนุษย์ผู้มีลมหายใจเพียงคนเดียวในรัศมีเกือบสองกิโลเมตรให้ตกลงสู่หุบเหวแห่งความหวาดหวั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปธานินรู้สึกได้ถึงความเสียววาบลามเลียจากต้นคอไปทั่วร่าง นึกปรารถนาให้ไม่มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นอีก... เหมือนเช่นในฝัน

               วินาทีนั้นเอง มวลอากาศที่ถูกกักไว้อยู่ภายในก็พุ่งเข้าปะทะกับร่างของเด็กหนุ่ม จนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนกว่าเดิม อุณหภูมิลดต่อลงอีก สวนทางกับความชื้น และความอึดอัดอันอัดแน่นอยู่ในทุกอณูอากาศ ฆานประสาทสัมผัสได้ถึงกลิ่นอับของเชื้อรา กลิ่นเหม็นเขียวของตะไคร่น้ำ และกลิ่นเหม็นเน่าของน้ำซึ่งขังมาเป็นเวลานาน โสตประสาทแว่วเสียงของผิวน้ำซึ่งถูกฟองอากาศดันผ่านเป็นระยะอย่างน่าขนลุก


--------------- ยังไม่จบ อ่านต่อด้านล่างครับ ------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่