JJNY : เครือข่ายอจ. ถกแถลง ประเทศไม่ใช่ห้องทดลอง5ปี ผลจากร่างรธน.อาจก่อวิกฤตรุนแรง

กระทู้คำถาม
เครือข่ายอจ.ถกแถลง ชี้ ประเทศไทยไม่ใช่ห้องทดลอง 5 ปี คาด ร่างรธน. – คำถามพ่วง เจอ วิกฤตใหญ่แน่ จี้ คสช. เผยทางออกให้ชัด ก่อนรู้ผล

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 25 เมษายน ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มีกิจกรรมถกแถลงร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2 หัวข้อ “คำถามพ่วงมีนัยอย่างไร” จัดโดย สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม จุฬาฯ หลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ คณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี และคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โดยมี นายโคทม อารียา ผอ.สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา กล่าวว่า การทำประชามติต้องไม่อยู่ภายใต้ความกลัว เราต้องยึดหลักนิติธรรมและกฎหมาย คำถามพ่วงของ สนช. ผลการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ จะมีอยู่ 4 กรณี คือ
1. ร่างรัฐธรรมนูญผ่าน แต่คำถามพ่วงไม่ผ่าน ก็จะนำไปสู่การประกาศใช้ แต่ส.ว.ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี
2. ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน แต่คำถามพ่วงผ่าน ผลก็คือ จะต้องไม่มีนัยผูกพัน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปว่า จะต้องให้ ส.ว. มีส่วนร่วมเลือกนายกฯ


นายโคทม กล่าวต่อว่า
3. ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงไม่ผ่าน ตรงนี้ คสช. ควรประกาศให้ชัดก่อนการทำประชามติว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไร เพราะหากประชาชนบอกไม่เอาแล้ว คสช. จะไปหยิบฉบับใดฉบับหนึ่งมาใช้ ก็จะหมายความว่า ไม่ได้ฟังเสียงประชาชน และ
4. ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และคำถามพ่วงผ่านประชามติ ซึ่ง การเสนอชื่อนายกฯจะยังต้องเป็นของ ส.ส. ที่กำหนดให้พรรคการเมืองเสนอได้พรรคละ 3 คน แต่หากเลือกกันไม่ได้ แล้ว ส.ว.ต้องเข้ามามีส่วนร่วมเลือก ก็ต้องดูว่า เสียงการเลือกนายกรัฐมนตรี ของ ส.ส. ส.ว. จะเป็นอย่างไร หาก 2 พรรคใหญ่จับมือกัน เพื่อไปร่วมกับ ส.ว.ก็ต้องให้ได้เสียงมากกว่า 375 ที่นั่ง ก็จะสามารถเลือกนายกฯคนนอกได้ แต่หาก 2 พรรคใหญ่ ไม่จับมือกัน พรรคใหญ่พรรคหนึ่งก็จะไปร่วมกับพรรคเล็กและส.ว. ก็อาจทำให้ได้นายกฯ ที่มาจากพรรคใหญ่ หรือจากพรรคเล็ก ที่ส.ว.ฝ่ายคสช.สนับสนุน หรือนายกฯอาจจะเป็นคนนอก ที่คสช.เก็บไว้ไม่เผยตัวตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งก็ได้


ด้าน นายตระกูล มีชัย จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ที่ต้องมีคำถามพ่วง น่าจะเกิดจากการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญของกรธ.ไม่ตอบโจทย์ คำขอแก้แม่น้ำ 4 สาย จึงต้องมีคำถามวัดใจ ให้ ส.ว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพวกเขาอาจเชื่อว่า ไม่น่ามีหลักประกันเพียงพอที่จะสร้างเสถียรภาพของผู้มีอำนาจในขณะนี้ต่อไปได้ และอาจเกิดความเกรงกลัวว่า เมื่อมีการเลือกตั้งฝ่ายการเมือง จะเข้ามาคุมโครงสร้างอำนาจและกลไกที่คสช.วางไว้ สุดท้ายคือ ผู้วางกลไกอำนาจตอนนี้ ไม่อยากลง อยากนั่งต่อ การให้เหตุผลของคำถาม ส.ว. ร่วม ส.ส. เลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผลักดันการปฏิรูปและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ตนไม่เห็นว่า การปฏิรูปจะเห็นผลต่อเนื่องอะไร แล้วการนำไปพ่วงกับแผนยุทธศาสตร์ชาติก็ยิ่งทำให้งงว่า เกี่ยวข้องอะไรกัน

นายตระกูล กล่าวต่อว่า ส่วนผลของการทำประชามติ หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ปัญหาที่จะตามมาคือ ต้องร่างใหม่ หรือจะเอาฉบับเดิมมาใช้ จะย้อนกลับไปหาฉบับ 2489 เลยหรือไม่ หรือจะร่างกันแบบสมัยจอมพลถนอม ตั้งแต่ 2506 ถึง 2511 หรือจะแก้ไขจากฉบับชั่วคราวแล้วเลือกตั้งตามโรดแม็ป แต่ทั้งนี้ หากประชาชนไม่รับรางรัฐธรรมนูญ ที่ยึดไปตามกรอบมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว เราจะตีความได้หรือไม่ว่า ประชาชนก็ไม่รับ มาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเช่นเดียวกัน เราจะแปลว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบันี้ไม่ผ่านประชามติ ก็เท่ากับผู้ร่างไม่มีความชอบธรรมใช่หรือไม่

นายตระกูล กล่าวอีกว่า แต่หากรับร่างแต่ไม่รับคำถามพ่วง กรธ.ก็จะเดินหน้าร่างกฎหมายลูก ที่จะมีความเข้มข้นขึ้น และในรายละเอียดจะมีกลไกเยอะมาก ทำให้เราไม่อาจรู้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น หรือหากไม่รับร่างแต่รับคำถามพ่วง ก็ยุ่งอีก เพราะกระบวนการร่างใหม่ จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ สุดท้ายหากผ่านทั้งหมด ก็ต้องรอดูกันว่า การเมืองหลังการเลือกตั้ง จะเกิดอะไรขึ้น ได้ยินมาว่า พรรคใหญ่ที่มีกลุ่มเล็กรวมอยู่ เริ่มหาบ้านใหม่ ซึ่งภายใต้รูปแบบการเลือกตั้งพันธ์ผสม พรรคขนาดกลางเกิดแน่ แต่ตนไม่เชื่อว่า พรรคใหญ่จะจูบปากกัน โดยปัญหาใหญ่สุดที่จะเกิดขึ้นคือ นายกรัฐมนตรี และไม่ว่า นายกฯจะมาจากไหน เสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่มี บรรยากาศจะอึดอัด เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับนักการเมือง เหมือนปี 2523 – 2524 ได้

“ภายใต้ 5 ปี ของระบบการเมืองไทย ไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรอะไรได้ ยังเติร์กหนุนพล.อ.เปรม ในปี 2522 แต่ในปี 2523 กลับนำกำลังปฏิวัติ ระหว่าง 5 ปีนี้ จะให้ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ 2 คน คงไม่ง่าย คนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและปัญหาสะสมมันเยอะ ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงนี้ จะต้องเจอกับวิกฤตครั้งใหญ่แน่นอน” นายตระกูล กล่าว

ขณะที่ นายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี กล่าวว่า การตั้งคำถามพ่วงเพิ่มเข้า สะท้อนว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยตามสากล จึงต้องมาใส่คำถาม แต่หากคำถามพ่วงนี้ผ่าน ก็อาจถูกอ้างว่า ได้การยอมรับ หากร่างไม่ผ่าน แล้วต้องร่างใหม่ ก็อาจจะมีการนำไปใส่ไว้ในร่างฉบับถัดไปก็ได้ ทั้งนี้ กระบวนการทำประชามติต้องเปิดให้มีการพูดคุยอย่างกว้างขวาง แต่สำหรับประเทศไทย และกฎหมายประชามติ โดยเฉพาะมาตรา 7 ถูกนำมาใช้อ้างว่า มีสิทธิเสรีภาพ แต่ในข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน ทุกอย่างยังขึ้นกับการตีความของผู้มีอำนาจ แต่สิทธิเสรีภาพของเราต้องได้รับการคุ้มครอง เพื่อให้การทำประชามติเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะรัฐธรรมนูญ จะบังคับใช้กับเราทุกคน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปิดเวทีให้พูด เพื่อให้รู้ข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจ เพราะแม้แต่คนที่มีการศึกษาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องรัฐธรรมนูญทั้งหมด พื้นที่ให้ความรู้ประชาชนจะต้องมี มิเช่นนั้น เราจะไม่ได้รัฐธรรมนูญที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ปัญหาก็คือ ประเทศไทยเราทดลองมาครบทุกอย่างแล้ว. ไม่ว่าจะเผด็จการ ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือประชาธิปไตย

สุดท้ายมีแต่ยุคทักกี้เท่านั้นที่ประเทศชาติดูดีมีหน้ามีตาบนเวทีโลกมากที่สุด

แต่ไม่น่าเชื่อว่าเรากำลังจะออกกฏหมายที่ย้อนหลังไปก่อนปี40 เพื่อทะเลาะกันใหม่อีกรอบ และยังมีคนหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ดีควรสนับสนุน

ถามหน่อยเถอะ (โดยเฉพาะสลิ่ม) ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มันดีจริง พลเอกสุจินดาก็ไม่ควรจะถูกล้ม และคงไม่เกิดพฤษภาทมิฬจนคนไทยต้องมาฆ่ากันเองหรอกนะฮ้า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
การทดลองนี้ไม่ใช่ไม่เคยทดลอง ไม่ใช่ไม่เคยมีบทเรียนในอดีตมาก่อน มันจะต่างกันก็แค่เพียงครั้งนี้พยายามตีตราให้มันได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยผ่านเสียงประชามติของประชาชนเท่านั้น รายละเอียดเป็นยังไง ข้อดี-ข้อเสียมันเป็นยังไง  สิ่งเดียวที่ต้องการ ณ เวลานี้คือเผยแพร่สิ่งเหล่านั้นให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบก่อนที่จะลงประชามติ แล้วผลมันจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้นโดยส่วนตัวก็ยินดีที่จะรับมัน  ส่วนผลการทดลองที่จะส่งผลต่อไปในอนาคต มันจะเป็นคำตอบอีกครั้งหนึ่งให้ทุกคนได้เรียนรู้ว่าการทดลองนี้มันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปหรือไม่ หากมันไม่ดีก็หวังว่าคงได้ข้อสรุปว่าต่อจากนี้ไปยังจะมีแบบนี้อีกไหม 5 ปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ มันคือเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตคนเลยทีเดียว ความลำบากของประชาชนมันประเมินค่าไม่ได้ การที่ประเทศหยุดนิ่ง เศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเสียการยอมรับจากนานาชาติ ก็เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน ผมสงสัยเหลือเกินว่าการที่ประเทศไทยมันจะเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยฯมันยากมากขนาดนั้นเลยหรือ ที่ผ่านมามันเคยอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ยังดีกว่าช่วงเวลาที่ความอยากรู้อยากเห็นอยากลองแบบไม่รู้จักพอจนกลไกมันผิดเพี้ยนไปหมด ใครเดือดร้อนถ้าไม่ใช่ประชาชน
ความคิดเห็นที่ 4
ประเทศไม่ใช่ห้องทดลอง ไม่ใช่สนามเด็กเล่น

และที่ผ่านมาเราเสียโอกาสจากการให้คนส่วนน้อยใช้วาทกรรมต่างๆ เช่น "พวกมากลากไป"
"ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" (ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าปฏิรูปอะไร ยังไง) ลากประเทศถอยหลังไปมากแล้ว

ขออะไรที่ชัดเจน เป็นสากล ให้สิทธิแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ได้ไหมคะ ประเทศจะได้ไม่ต้องวนลูปอยู่แบบนี้
แล้วจะได้ใจประชาชนแน่ๆ เอาใจช่วยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่