พิษณุโลก+สุโขทัย=เก็บพิษณุโลกไว้ในใจ ชูสุขโขทัยมาสองนิ้ว ><




สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิป วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวที่จังหวัดพิษณุโลกและ เรียนรู้การเป็นอยู่กับโฮมสเตย์ที่สุโขทัยนะครับ ทริปนี้เกิดมากจากความบังเอิญโลกกลมพรหมสะกิดชีวิตสะดุดที่เราได้ลงวิชา GEN441ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ทำให้เราต้องแปลงร่างเป็นตากล้องเพียงข้ามคืนด้วยการศึกษาจากยูทุป หากสิ่งใดไม่พอใจขอ อภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ซึ่งแน่นอนครับวิชานี้ ชื่อแบบนี้ เราต้องได้งานคือการเที่ยวอย่างแน่นอนนนน โดยเมื่อพวกผมรู้แล้วว่ามีงานที่ต้องออกท่องเที่ยว ออกไปเผชิญโลกกว้างพวกผมจึงวางแผนกันไปเที่ยวหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ-ลอนดอน ตะลอนปารีส แวะเที่ยวซิสนี่ย์ แต่ประเดี๋ยวก่อนน......โจทย์ของเราคือ Low Price High Experience เราจึงต้องประหยัดงบประมาณเลยเลือกไปที่ กรุงเทพ-พิษณุโลก-สุโขทัย แทนครับบ >..< นี่ก็เป็นต้นกำเนิดของทริปเรานั่นเอง....... (กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราถ้ามีความผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ)

อารัมภบทกันมาพอสมควรแล้วนะครับ เข้าเรื่องการเดินทางของพวกเรากันเลยดีกว่า วันเสาร์เวลา 16.30น. หลังเลิกเรียนพวกเราก็ได้รวมตัวกันหน้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีของพวกเรา



แล้วพวกเราก็นั่งกะป้อ ซูบารุ (แล้วแต่ใครจะเรียกนะครับ -.-)ไปจนถึง กม.9 ในราคาคนละ7บาท ต่อจากนั้นเราก็นั่งรถเมย์สาย138 ไปลงที่ บขส.(หมอชิต)ในเวลา 17.30น.



เราได้จองตั๋วขึ้นรถทัวร์จาก กทม.-พิษณุโลก ในเวลา 18.00น. ซึ่งพวกเราโชคดีมากเพราะตอนแรกจะได้รถตอน2-3ทุ่ม แต่เดินไปเจอคิวรถซึ่งอยู่ท้ายสุดพอดีจึงได้รถตอน6โมงเย็น หลังจากนั้น เราก็ได้ไปรับประทานอาหารก่อนออกเดินทาง
แล้วพวกเราก็ออกเดินทาง เดินทาง.. เดินทาง.... เดินทาง....... ถึงแล้วครับพิษณุโลก พวกเราใช้เวลานั่งรถประมาณ6ชั่วโมงครับ หลับ2ตื่นก็ถึงแล้ว เริ่มต้นที่เมืองพิษณุโลกโดยตามธรรมเนียมแล้วตอนกลางคืนคนพิษณุโลกก็...... จะนอนกันครับ พวกผมจึงหาหอพัก เช่ารายวันอยู่ครับโดยพักคืนนึงตกคืนละ350บาท มีแอร์ มีทีวี มีพัดลม มีตู้เย็น ให้อย่างเพรียกพร้อมครับ แต่ปัญหาใหญ่ที่พวกเราได้พบก็คือ........... น้ำไม่ไหลครับ โดยเหตุที่น้ำไม่ไหลมาทราบตอนหลังว่าเป็นเพราะ คสช. ให้ช่วยกันประหยัดน้ำครับ -.-

เช้าวันนี้ที่พิษณุโลกครับ



พวกเราได้มากันที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร ว่าจะมาดูสาวๆวิ่งกันตอนเช้าสักหน่อย (ไม่ได้หื่นเลยครับอิอิ) แต่ส่วนมากจะเป็นนักศึกษาชายกับผู้ใหญ่วิ่งกันอยู่แบบเบาบางครับ แต่จัดได้ว่าอากาศดี



พวกเราก็ได้มานั่งกันอยู่ที่ลานสมเด็จพระนเรศวรครับโดยลานแห่งนี้มีความสะอาดมากจนผมคิดว่านอนไปเลยก็ดี ซึ่งที่แห่งนี้เป็นที่เคารพนับถือของคนแถวนี้ครับ



โดยช่วงที่นักศึกษาต้องสู้รบกับข้อสอบนักศึกษาก็จะมาบนบานต่างๆที่ลานสมเด็จ โดยวิธีการแก้บนคือการถูพื้นลานสมเด็จครับ(ถึงว่าหล่ะ สะอาดมาก) แล้วเราก็มาถ่ายรูปเล่นรอบๆบริเวณที่แห่งนี้ครับ



ครับแวะมาเจ้าถิ่นแล้วครับ ช่วงสายก้ออกเดินทางกันต่อ
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางมารับประทานอาหารเช้า ที่ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาครับ ซึ่งแน่นอน



ครับก๋วยเตี๋ยวห้อยขานี้เป็นสัญลักษณ์อย่างนึงในพิษณุโลกเลยก็ว่าได้(ไม่เชื่อลองพิมพ์ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาในอาจารย์googleดูครับขึ้นมาแน่นอน)





จัดว่าอร่อยเลยครับ  อิอิ

หลังจากรับประทานอาหารที่นี่เสร็จพวกเราก็ได้นั่งรถเที่ยวรอบๆเมือง ไปที่ศาลากลางบ้าง ศาลหลักเมืองบ้าง อากาศร้อนพาสมควรเลยครับ



ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินทางไปที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหารก็ได้เข้าไปสักการะบูชา









เมื่อชมรอบๆเมืองเสร็จเราก็จะไปเที่ยวน้ำตกกันที่โรงแรม วนธารา แน่นอนครับว่าใกล้เที่ยงแล้วกองทัพต้องเดินด้วยเท้า แต่ท้องเราต้องเติมด้วยไก่ แง่มๆ เราต้องหาของกินไปรับประทานที่น้ำตกด้วย จึงแวะซื้อไก่ย่างซึ่งจะดังในชื่อ ไก่ถังวังทอง!!  



ไปทานด้วยขอรับรองเลยครับอร่อยสุดๆ



ถึงแล้วครับน้ำตกของเรา เสียค่าเข้าไปเที่ยวคนละ40บาท แล้วบิลที่ได้มาสามารถไปแลกน้ำดื่มได้อีกด้วยเป็นน้ำหวานใบเตยหวานหอมอร่อยละมุนลิ้น ฮ่าๆๆๆ เสียดายครับไม่ได้ถ่ายมาให้ดูหมดไวไปนิดนึง><



บรรยากาศน้ำตก





หลังจากนั้นเราก็ต้องรีบไปที่กรมขนส่ง เพื่อรีบซื้อตั๋วไปสุโขทัย คงต้องบอกลา “วนธารา” ไว้เพียงเท่านี้เพราะรถรอบสุดท้ายของเรากำลังจะหมดภายใน 30 นาทีครับT^T
มาถึงกรมขนส่งซื้อตั๋วรถไปสุโขทัย ซื้อปุ๊ป ขึ้นรถทันทีเพราะรถใกล้จะออกแล้ว สภาพคือคนเต็มรถ พวกเราเลยต้องยืนจากพิษณุโลกไปสุโขทัยอำเภอ”ศรีสัชนาลัย” โดยใช้เวลาประมาณ                         2ชั่วโมงกว่าๆ ยืนเพลินเลยครับ555555+



มาถึงสุโขทัยแล้ววว  เราก็จะไปกันที่บ้านครอบครัวกำไร ซึ่งเป็นที่ที่เราได้ติดต่อเอาไว้ตั้งแต่หลังจากวางแผนไปเที่ยวสำเร็จ





เมื่อถึงบ้านครอบครัวกำไรแล้ว เขาก็ต้อนรับด้วยอาหารอย่างดี ซึ่งมื้อนี้ทางครอบครัวได้เลี้ยงต้อนรับเราเป็นพิเศษ บอกเลยครับผมยอมแพ้ตั้งแต่หมดไปครึ่งถาด -.-

หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกับคุณตาเขี้ยม



เกี่ยวกับการเป็นอยู่ของคนที่นี่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน(ได้อะไรๆ มาเยอะเลยครับ) และคุยกับคุณน้า เล่นกับหลานๆ  ซึ่งคุยไปคุยมาเลยมารู้ว่าบ้านที่เราได้มาอาศัยนี่ติดกับสุสานของวัดหาดเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ นี่เองครับ ทำเอาคนในกลุ่มที่ขวัญอ่อนนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว



ตื่นเช้ามาพวกเราก็ได้มาสัมผัสการเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ครับ โดยเริ่มจากการไปตลาด ส่วนคุณตาก็มาโค่นต้นกล้วยเพื่อที่จะทำแกงหยวกกล้วย ให้พวกเราได้รับประทานกันนะครับ (ตี4.50 เช้ามากๆๆๆ) ถ้าใครเคยตื่นเช้าๆตามคุณยายคุณตาไปตลาดก็คงคิดถึงบรรยายกาศนี้ไม่น้อยเลยนะครับ





จริงๆแล้วจะเข้าไปช่วยคุณตานะครับแต่คุณตาบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวจัดการเองเดี๋ยวมันจะโค่นลงบ้านข้างๆเอา หลังจากตัดต้นกล้วยเสร็จก็เอาเฉพาะหยวกซึ่งอยู่ตรงกลางของต้นกล้วยเพื่อมาทำอาหารครับ ใส่“กระบวนการทำแกงหยวก”



นอกจากแกงหยวกกล้วยแล้วยังมีอีกหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็น ยำเล็บมือนางใสไส้หมู ผัดหมี่ซั้ว เป็นต้น ซึ่งคุยยายกับคุณตาได้ตั้งใจช่วยกันทำให้เราได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพและอร่อยมากๆ



เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ด้วยเวลาอันจำกัดเราคงต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแต่เพียงเท่านี้ โดยไปขึ้นที่ บขส.ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเท่าไหร่

และภารกิจของพวกเราก็จบลง สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้สำหรับการเรียนรู้ในครั้งนี้นะครับ คือ...
    ทุกคนชื่นชอบในการที่จะได้ชื่นชมวัฒนธรรมและเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ แต่น้อยคนที่จะช่วยกันรักษาวัฒนธรรมไว้ การเดินทางของผมได้ไปในสถานที่ที่ต่างกันสุดขั้ว การสัมผัสวัฒนธรรมในปัจจุบัน และวัฒนธรรมเก่าๆของคนเฒ่าคนแก่ความต่างอยู่หนึ่งสิ่งที่ผมสัมผัสได้ คนแก่จะพยายามรักษาวัฒนธรรม ส่วนรุ่นไหม่ๆอย่างเราพยายามจะเปิดรับใหม่ๆให้มากตามให้ทัน สุดท้ายนี้ผมอยากจะทุกคนมีสติในการรับวัฒนธรรมอะไรที่ดีงามก็เปิดรับเข้ามาและช่วยกันรักษากันไว้อะไรที่ไม่ดีก็อยากให้ปล่อยมันผ่านไป... ขอบคุณครับที่รับชม <3

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่