สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ขอบคุณค่ะพี่โอ้ มีคำนวณเป็นตัวเลขออกมาแบบนี้ทำให้เห็นภาพชัดเจนเลย และสามารถวิเคราะห์ท่าทีของพรรคการเมือง โดยเฉพาะ ปชป.ซึ่งที่ผ่านมาก็ทราบจุดยืนของพรรคนี้ดีอยู่แล้ว ทั้งการบอยคอตการเลือกตั้ง การเล่นการเมืองนอกสภา ฯลฯ
ขออนุญาตนำลักษณะรัฐธรรมนูญที่ดีจากบทความ http://www.vcharkarn.com/blog/18014 มาบางส่วนค่ะ
รัฐธรรมนูญที่ดี คือรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมกับสภาพอันแท้จริงของประเทศ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ซึ่งน่าจะมีลักษณะสำคัญ 8 ประการ คือ
1) รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีข้อความที่ชัดเจนแน่นอน เข้าใจง่าย ไม่กำกวมล่อแหลมต่อการตีความที่อาจเกิดความผิดพลาด
2) รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีการบัญญัติสิทธิ หน้าที่และเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างชัดเจนแน่นอน รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอีกด้วย
3) รัฐธรรมนูญที่ดีไม่ควรยืดยาวเกินไป เพราะอาจทำให้ต้องมีการอธิบายตีความหมายกันมากมาย รายละเอียดปลีกย่อยควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในภายหลัง
4) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องครอบคลุมบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองของรัฐไว้อย่างครบถ้วน อันได้แก่ การใช้อำนาจอธิปไตย การแบ่งอำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย เป็นต้น
5) รัฐธรรมนูญที่ดีควรระบุระบอบการปกครองของประเทศและศาสนาประจำชาติให้ชัดเจนเด็ดขาด
6) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องสร้างความเป็นธรรม ความยุติธรรม และความเสมอภาค ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวมทั้งหมด
7) รัฐธรรมนูญที่ดีควรกำหนดวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือบทเฉพาะกาลให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับยุคสมัย
8) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องสามารถป้องกันการล้มล้างหรือแก้ไขโดยใช้กำลังบังคับจากการปฏิวัติรัฐประหารได้ (ข้อนี้เป็นสุดยอดของรัฐธรรมนูญ) สำหรับข้อที่ 8 นี้ .... (อ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ค่ะ)
จะเห็นว่าสิ่งสำคัญของ รธน.ที่ดีคือ ต้องเขียนให้เข้าใจง่าย ไม่กำกวม ระบุชัดเจนไปเลย และสำคัญสุดคือถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหากเสียงส่วนมากของประชาชนที่ไว้วางใจและพอใจกับนโยบายพรรคหนึ่ง แต่พรรคการเมืองนั้นกลับไม่สามารถรับใช้ประชาชนได้ เสียงของประชาชนจะไม่มีความหมาย
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับ แต่อยากให้ทุกคนพิจารณาให้ดีในการตัดสินใจ อย่าให้ใครเอาเสียงเราไปแอบอ้างได้ ที่ผ่านมาเราเสียเวลาและโอกาสมาหลายสิบปีแล้ว อย่าตัดสินใจง่ายๆ เพียงแค่อยากเอาชนะ หรือคิดว่าให้จบๆ ไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
หากเป็นอย่างนั้นเราก็จะก้าวไม่พ้นวงจรที่เกิดขึ้นเช่นนี้ และนับวันปัญหาก็จะแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าแล้วหากยิ่งนานไป ยังไม่ได้เลือกตั้งจนเกิดความเสียหายมากกว่าล่ะ ใครจะรับผิดชอบ แล้วใครเป็นคนก่อเหตุล่ะ ใครที่ออกมาเป่านกหวีดเรียกร้องปฏิรูป ใครที่สนับสนุนการเมืองนอกสภา ต่อไปจะได้เป็นบทเรียนแก่ผู้ที่นิยมการละเมิดกติกา ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเป็นผู้รับกรรมตลอดไป
ขอเอาใจช่วยคณะร่าง รธน.ให้ร่างออกมาดีๆ จะได้เป็นผลงานที่อยู่ในใจประชาชนค่ะ
ขออนุญาตนำลักษณะรัฐธรรมนูญที่ดีจากบทความ http://www.vcharkarn.com/blog/18014 มาบางส่วนค่ะ
รัฐธรรมนูญที่ดี คือรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมกับสภาพอันแท้จริงของประเทศ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ซึ่งน่าจะมีลักษณะสำคัญ 8 ประการ คือ
1) รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีข้อความที่ชัดเจนแน่นอน เข้าใจง่าย ไม่กำกวมล่อแหลมต่อการตีความที่อาจเกิดความผิดพลาด
2) รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีการบัญญัติสิทธิ หน้าที่และเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างชัดเจนแน่นอน รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอีกด้วย
3) รัฐธรรมนูญที่ดีไม่ควรยืดยาวเกินไป เพราะอาจทำให้ต้องมีการอธิบายตีความหมายกันมากมาย รายละเอียดปลีกย่อยควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในภายหลัง
4) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องครอบคลุมบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองของรัฐไว้อย่างครบถ้วน อันได้แก่ การใช้อำนาจอธิปไตย การแบ่งอำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย เป็นต้น
5) รัฐธรรมนูญที่ดีควรระบุระบอบการปกครองของประเทศและศาสนาประจำชาติให้ชัดเจนเด็ดขาด
6) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องสร้างความเป็นธรรม ความยุติธรรม และความเสมอภาค ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยรวมทั้งหมด
7) รัฐธรรมนูญที่ดีควรกำหนดวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือบทเฉพาะกาลให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับยุคสมัย
8) รัฐธรรมนูญที่ดีต้องสามารถป้องกันการล้มล้างหรือแก้ไขโดยใช้กำลังบังคับจากการปฏิวัติรัฐประหารได้ (ข้อนี้เป็นสุดยอดของรัฐธรรมนูญ) สำหรับข้อที่ 8 นี้ .... (อ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์ค่ะ)
จะเห็นว่าสิ่งสำคัญของ รธน.ที่ดีคือ ต้องเขียนให้เข้าใจง่าย ไม่กำกวม ระบุชัดเจนไปเลย และสำคัญสุดคือถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหากเสียงส่วนมากของประชาชนที่ไว้วางใจและพอใจกับนโยบายพรรคหนึ่ง แต่พรรคการเมืองนั้นกลับไม่สามารถรับใช้ประชาชนได้ เสียงของประชาชนจะไม่มีความหมาย
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับ แต่อยากให้ทุกคนพิจารณาให้ดีในการตัดสินใจ อย่าให้ใครเอาเสียงเราไปแอบอ้างได้ ที่ผ่านมาเราเสียเวลาและโอกาสมาหลายสิบปีแล้ว อย่าตัดสินใจง่ายๆ เพียงแค่อยากเอาชนะ หรือคิดว่าให้จบๆ ไป แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
หากเป็นอย่างนั้นเราก็จะก้าวไม่พ้นวงจรที่เกิดขึ้นเช่นนี้ และนับวันปัญหาก็จะแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าแล้วหากยิ่งนานไป ยังไม่ได้เลือกตั้งจนเกิดความเสียหายมากกว่าล่ะ ใครจะรับผิดชอบ แล้วใครเป็นคนก่อเหตุล่ะ ใครที่ออกมาเป่านกหวีดเรียกร้องปฏิรูป ใครที่สนับสนุนการเมืองนอกสภา ต่อไปจะได้เป็นบทเรียนแก่ผู้ที่นิยมการละเมิดกติกา ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเป็นผู้รับกรรมตลอดไป
ขอเอาใจช่วยคณะร่าง รธน.ให้ร่างออกมาดีๆ จะได้เป็นผลงานที่อยู่ในใจประชาชนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
"หากรับร่างรัฐธรรมนูญ และเห็นด้วยกับคำถามพ่วง ก็คือมอบอำนาจให้กับวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้ง ซึ่งมีอำนาจร่วมลงมติเลือกนายกฯ ในช่วงเวลา 5 ปี
ดังนั้นจากนี้ไปประมาณปีเศษๆ จะมีวุฒิสภา เมื่อวุฒิสภาร่วมลงมติเลือกนายกฯ แล้ว นายกฯ อาจหมดวาระ 4 ปี แต่วุฒิสภายังอยู่ต่อ และยังมีอำนาจ
เลือกนายกฯ คนถัดไป เมื่อเป็นอย่างนี้ อำนาจบริหารก็จะสืบเนื่องไปตั้งแต่ คสช.รัฐประหารเมื่อ 2 ปีที่แล้ว บวกจากนี้ไป 1 ปีที่จะมีการเลือกตั้ง บวก
จากนี้ไป 5 ปี ถ้าสืบต่อการเป็นนายกฯ ซึ่งกำหนดได้โดยวุฒิสภาชุดนี้ที่ คสช.แต่งตั้ง ก็บวกไปอีก 4 ปี รวมๆ แล้วก็ประมาณ 11 ปี"
โคทม อารียา
ดังนั้นจากนี้ไปประมาณปีเศษๆ จะมีวุฒิสภา เมื่อวุฒิสภาร่วมลงมติเลือกนายกฯ แล้ว นายกฯ อาจหมดวาระ 4 ปี แต่วุฒิสภายังอยู่ต่อ และยังมีอำนาจ
เลือกนายกฯ คนถัดไป เมื่อเป็นอย่างนี้ อำนาจบริหารก็จะสืบเนื่องไปตั้งแต่ คสช.รัฐประหารเมื่อ 2 ปีที่แล้ว บวกจากนี้ไป 1 ปีที่จะมีการเลือกตั้ง บวก
จากนี้ไป 5 ปี ถ้าสืบต่อการเป็นนายกฯ ซึ่งกำหนดได้โดยวุฒิสภาชุดนี้ที่ คสช.แต่งตั้ง ก็บวกไปอีก 4 ปี รวมๆ แล้วก็ประมาณ 11 ปี"
โคทม อารียา
ความคิดเห็นที่ 15
พรรคเพื่อไทยยังคงรั้งคะแนนอันดับหนึ่งเช่นเคย แม้จำนวน ส.ส. จะลดลงจากปี 54 เป็นอย่างมาก ในทางกลับกันพรรคประชาธิปัตย์กลับมีจำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้นจากปี 54 เป็นอย่างมากเช่นกัน ทำให้ช่องว่างระยะห่างระหว่างคะแนนของทั้งสองพรรคบีบลดลงมา
เพื่อไทยจาก ส.ส.จาก 265 ลดลงเหลือ 242 ลดลง 23 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ ส.ส.จาก 159 เพิ่มขึ้นเป็น 176 เพิ่มขึ้น 17 ที่นั่ง
แบบนี้ชาวบ้านเรียกว่าพรรคแมงแสปได้ประโยชน์ค่ะ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะให้นายมาร์คได้เป็นนายกฯ
เพื่อไทยจาก ส.ส.จาก 265 ลดลงเหลือ 242 ลดลง 23 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ ส.ส.จาก 159 เพิ่มขึ้นเป็น 176 เพิ่มขึ้น 17 ที่นั่ง
แบบนี้ชาวบ้านเรียกว่าพรรคแมงแสปได้ประโยชน์ค่ะ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะให้นายมาร์คได้เป็นนายกฯ

แสดงความคิดเห็น
หากร่าง รธน. 2559 ผ่านประชามติ เรามาวิเคราะห์เชิงตัวเลขกันครับว่าใครจะได้เป็นนายกฯคนต่อไป (The Mario)
เพื่อให้เป็นการง่ายต่อการนำเสนอและการอ่านของเพื่อนสมาชิก ขอก้าวข้ามรายละเอียดที่มาของการคำนวนและขอนำแสดงแผนภาพตัวอย่างง่ายๆที่อธิบายการคิดคะแนนหา สส. ทั้งระบบแบ่งเขต+บัญชีรายชื่อแทนดังภาพนี้
รายละเอียดการคำนวนและเครดิตภาพตามไปดูได้ที่ลิ้งค์นี้ http://ilaw.or.th/node/4079
หมายเหตุ : ภาพดังกล่าวใช้ 40,000,000 คะแนนมาหาร 500 แต่ตัวเลขที่นำมาคำนวนในกระทู้นี้คือ 32,525,504 นำมาหาร 500
จากผลการเลือกตั้งปี 2554 เครดิตภาพวิกิพีเดีย
เนื่องจากจำนวน ส.ส. ระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อที่เปลี่ยนไปจาก 375:125 แปรเปลี่ยนไปเป็น 350:150 ตามมาตรา 83
การนำผลตัวเลขเดิมจากปี 54 จึงได้นำ ส.ส. แบ่งเขตที่พรรคต่างๆได้รับนำมาเทียบเทียบบัญญัติไตรยางค์ใหม่ดังนี้
เช่น พรรคเพื่อไทยจากเดิมเดิมได้ ส.ส.ระบบเขต 204 ที่นั่งจาก 375 เขต เมื่อปัจจุบันเหลือเพียง 350 เขต จะได้ ส.ส. = 204*350/375=190 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. = 109*350/375 = 107 ที่นั่งเป็นต้น
ขอสรุปจำนวน ส.ส. แบ่งเขตที่แต่ละพรรคจะได้ตามกติกาการเลือกตั้งใหม่ดังนี้
เพื่อไทย 190 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ 107 ที่นั่ง
ภูมิใจไทย 27 ที่นั่ง
ชาติไทยพัฒนา 14 ที่นั่ง
ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 5 ที่นั่ง
พลังชล 6 ที่นั่ง
รักประเทศไทย 0 ที่นั่ง
มาตุภูมิ 1 ที่นั่ง
รักษ์สันติ 0 ที่นั่ง
มหาชน 0 ที่นั่ง
ประชาธิปไตยใหม่ 0 ที่นั่ง
อื่น ๆ 0 ที่นั่ง
รวม 350 ที่นั่ง
สำหรับ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อคิดคร่าวๆจากฐานคะแนนเดิมของแต่ละพรรคที่ได้ทั้งหมด (โดยคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่เลือกทั้งคนเลือกทั้งพรรค และครั้งนี้นำคะแนนรวมของแต่ละเขตที่แต่ละพรรคได้มารวมกัน) สรุปคะแนนที่จะนำมาคิด ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อได้ดังนี้
เพื่อไทย 15,744,190 คะแนน
ประชาธิปัตย์ 11,433,762 คะแนน
ภูมิใจไทย 1,281,577 คะแนน
ชาติไทยพัฒนา 906,656 คะแนน
ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 494,894 คะแนน
พลังชล 178,110 คะแนน
รักประเทศไทย 998,603 คะแนน
มาตุภูมิ 251,702 คะแนน
รักษ์สันติ 284,132 คะแนน
มหาชน 133,772 คะแนน
ประชาธิปไตยใหม่ 125,784 คะแนน
อื่น ๆ 692,322 คะแนน
รวม 32,525,504 คะแนน
การคำนวนหา ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคที่ได้คือ 32,525,504/500 = 65,051 นำตัวเลขนี้เป็นตัวหาร และนำคะแนนรวมของแต่ละพรรคเป็นตัวตั้ง
เช่นพรรคเพื่อไทยได้คะแนนรวม 15,744,190 คะแนน จำนวน ส.ส. ที่พึงจะมีได้คือ 15,744,190/65,051 = 242 คน แล้วนำตัวเลข 242 ไปลบกับจำนวน ส.ส. ระบบแบ่งเขตที่ได้มา จะได้เป็นจำนวน ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อที่พรรคนั้นจะได้รับคือ 242-190 = 52 ที่นั่ง (ค่อยๆอ่านอีกรอบนะครับจะได้ไม่งง)
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน ส.ส. ที่พึงจะมีได้คือ 11,433,762/65,051 = 176 คน มี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 176-107 = 69 ที่นั่ง
สรุปทุกพรรคสำหรับที่นั่งระบบบัญชีรายชื่อ
เพื่อไทย 52 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ 69 ที่นั่ง
ภูมิใจไทย 0 ที่นั่ง (จำนวน ส.ส. ที่พึงจะมีได้ต่ำกว่าจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขต ตามมาตรา 91 ข้อ 4 ทำให้ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ)
ชาติไทยพัฒนา 0 ที่นั่ง (เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย)
ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 3 ที่นั่ง
พลังชล 0 ที่นั่ง (เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย)
รักประเทศไทย 15 ที่นั่ง
มาตุภูมิ 3 ที่นั่ง
รักษ์สันติ 4 ที่นั่ง
มหาชน 2 ที่นั่ง
ประชาธิปไตยใหม่ 2 ที่นั่ง
อื่น ๆ 0 ที่นั่ง (อนุมานว่าจำนวนพรรคเล็กพรรคน้อยหลายพรรคในแต่ละพรรคคะแนนหาร 65,051 ไม่ถึง 1 คน)
รวม 150 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม การนับคะแนน หลักเกณฑ์ วิธีการคํานวณ และการคิดอัตราส่วนที่ชัดเจน ยังต้องรอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สรุปจำนวน ส.ส. ทั้งหมดทั้ง 2 ระบบที่แต่ละพรรคได้
เพื่อไทย 242 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ 176 ที่นั่ง
ภูมิใจไทย 27 ที่นั่ง
ชาติไทยพัฒนา 14 ที่นั่ง
ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 8 ที่นั่ง
พลังชล 6 ที่นั่ง
รักประเทศไทย 15 ที่นั่ง
มาตุภูมิ 4 ที่นั่ง
รักษ์สันติ 4 ที่นั่ง
มหาชน 2 ที่นั่ง
ประชาธิปไตยใหม่ 2 ที่นั่ง
อื่น ๆ 0 ที่นั่ง
รวม 500 ที่นั่ง
ภาพแสดงมาตรา 91-4 ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลยแม้แต่คนเดียว
จากผลการคิดคะแนนแบบคร่าวๆนี้ พรรคเพื่อไทยยังคงรั้งคะแนนอันดับหนึ่งเช่นเคย แม้จำนวน ส.ส. จะลดลงจากปี 54 เป็นอย่างมาก ในทางกลับกันพรรคประชาธิปัตย์กลับมีจำนวน ส.ส. ที่เพิ่มขึ้นจากปี 54 เป็นอย่างมากเช่นกัน ทำให้ช่องว่างระยะห่างระหว่างคะแนนของทั้งสองพรรคบีบลดลงมา แต่ในทางกลับกันพรรคทางเลือกอันดับรองลงมาเช่นพรรคภูมิใจไทยกับชาติไทยพัฒนากลับไม่ได้ ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อเลย โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่คาดการณ์ได้ว่าจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแข่งกับพรรคเพื่อไทย
หรือหากเกิดกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เสียมารยาททางการเมืองโดยการแอบอ้างกลไกรัฐสภารวบรวมพรรคการเมืองทั้งหมดที่ได้ ส.ส. มา นำมารวมกันไว้โดยโดดเดี่ยวพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียวแล้วนำเสนอรายชื่อนายกฯแข่งก็สามารถทำได้ แต่คะแนนรวมของทั้ง 2 ฝั่งจะสูสีกันมาก
หลังจากที่คะแนนสูสีใกล้เคียงกัน จึงเป็นการยากที่จะหาข้อสรุปในการแต่งตั้งนายกฯที่มาจากการนำเสนอตามมาตรา 88
จึงเป็นการเปิดช่องให้เกิดมาตรา 272 กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘
และสิ่งนี้หรือไม่ที่เป็นที่มาของคำถามพ่วงท้ายการโหวตร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการโหวตรับ-ไม่รับนายกรัฐมนตรีของ สว. สรรหาทั้ง 250 คน
และเพราะทั้งหมดนี้หรือไม่จึงเป็นที่มาของท่าทีนายอภิสิทธิ์ที่เปลี่ยนไปต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สเต็ปแรกก็แพ้เลือกตั้ง พอใช้กลไกสารพัดเพื่อจะโหวตเลือกนายกฯก็จะโดนปาดหน้า นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อะไรเลย
ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปสำหรับผมแล้วก็สุดจะคาดเดาแม้กระทั่งพรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งชนะอย่างถล่มทลายก็ยังมิใช่ว่าจะมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี เสียงของประชาชนที่ต้องการจะเลือกนายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศของตนเองมันช่างยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา และต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้แล้วก็จะมีสเต็ปต่อมาให้เสียงของประชาชนเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายพร้อมที่จะล่มได้ทุกเมื่ออีก เสถียรภาพของรัฐบาลเลือกตั้งแทบไม่มีเลย ผมเองก็สงสัยเหลือเกินว่ามันยากขนาดนั้นเลยหรือสำหรับประชาธิปไตยแบบไทยๆ ในอดีตผมเคยตลกขบขันสินค้าปลอมจากประเทศจีนเช่นไข่ปลอม ข้าวสารปลอม นมผงปลอม เนื้อปลอม ยาปลอม วันนี้ผมมาเจอประชาธิปไตยแบบไทยๆไอ้ของจีนที่มันปลอมๆอยู่นี่มันเด็กๆไปเลยครับ
กระทู้หน้าผมจะมาแสดงให้เห็นว่าทำไมอนาคตรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึงถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เสียงของประชาชนเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ
The Mario 10 เมษายน 2559 (22.07 น.)