(กระทู้แรก ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะครับ)
ผมต้องทำยังไงครับ ชีวิตผมเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับผม
ก่อนอื่นต้องเท้าความกลับไปเมื่อเมื่อก่อน สมัยประถม ตอนนั้นผมเป็นคนที่ร่าเริงมาก มองโลกในแง่บวกมากๆเสมอ ขี้สงสาร ไม่ก้าวร้าว มีสัมมาคารวะ เป็นคนทำตามกฎไม่กล้าทำอะไรนอกกฎ ตั้งใจเรียน เรียนดีใช้ได้(แต่ไม่ถึงกับเก่ง) ได้เกรด 3.50 ขึ้นทุกปี สอบได้ที่ 1-5 ของห้องตลอด ส่งเกรดชิงทุนทุกปีทุกงาน ได้รับเงินแต่ละทุนทีละหลายพันบาทต่อครั้ง เป็นเด็กทั่วๆไปที่ดูไม่มีปัญหาอะไร ช่วงนั้นมีหน้าที่เรียนก็เรียน มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำ แต่ก็ไม่ได้แฮปปี้นะเพราะเป็นคนไม่ค่อยคาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว..... แต่จุดพีคกำลังจะมาถึง คือช่วงที่จบ ป.6 แล้วต้องไปสอบเรียนต่อ ม.1... ต้องขออธิบายตรงนี้ก่อนว่า โรงเรียนที่ผมจะไปสอบเพื่อเข้าเรียน ม.1 นี้ คือโรงเรียนประจำจังหวัด(ใกล้กันกับโรงเรียนประถมที่ผมเรียนอยู่) และเป็นโรงเรียนมัธยมที่คนอยากเรียนมากแห่งเดียวในจังหวัดจริงๆ เพราะจังหวัดนี้ไม่ได้มีโรงเรียนมัธยมเยอะนัก จะมีอีกที่ก็ชาญเมือง กับต่างอำเภอไปเลย... ผมอยากเรียนที่นี่มาก เพราะมันคือความฝันของเด็กทุกคนที่จบจากโรงเรียนประถมแห่งนี้ ไม่ใช่แค่แห่งนี้แต่จากทุกมุมเมืองเลยก็ว่าได้ และเกณฑ์ในการรับเด็กเข้า ม.1 ของโรงเรียนนี้คือรับปีละ 500 กว่าคน แต่มีคนมาสมัครต่อปีเกือบ 900 คน แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากเป็นโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงแล้ว ยังแบ่งเด็กในเขตกับนอกเขตอีก ซึ่ง... นั่นแหละฮะ ผมอยู่นอกเขต เกณฑ์การให้คะแนนคือเต็ม 200 คะแนน เด็กในเขตขอแค่คะแนนถึง 60 คะแนนก็เข้าได้แล้ว ส่วนเด็กนอกเขต 120 ขึ้นครับ ส่วนเรื่องข้อสอบ ไม่รู้ว่าคนออกข้อสอบไปเอาข้อสอบมากจากไหนมา ยากกว่าโอเน็ต ม.3 ยากกว่าข้อสอบของกลางเทอมปลายเทอม ม.1-ม.3 ที่ผมเคยเรียนมา มันเป็นเนื้อหาของ ม.1 ผสมกับ ม.4 แล้วเอามาออกอะ ใครจะไปทำได้ นี่ข้อสอบเด็ก ป.6 นะ ย้ำว่า ป.6 แต่ก็ย้ำอีกทีว่าที่พูดมาเป็นเฉพาะวิชาคณิตนะ วิชาอื่นก็ข้อสอบ ม.1-ม.2 ดีๆนี่เอง แต่ผมทำได้นะ อาจจะเป็นเพราะไปเรียนพิเศษกับอาจารย์ที่ออกข้อสอบวิทยาศาสตร์มา แต่ลองนึกภาพคนที่ไม่ได้เรียนพิเศษสิ... นั่นแหละฮะ
ต่อมา ถึงเวลาประกาศผลสอบ ผมบอกกับพ่อแม่ว่าถ้าไม่ติด จะเรียนโรงเรียน...............นี้นะ(โรงเรียนใกล้บ้าน และรองจากโรงเรียนประจำจังหวัด) เพราะโอกาสติดมันน้อย แต่พ่อผมเป็นทหารครับ กับทหารไม่ค่อยเท่าไหร่ ใจดีตลก หัวเราะ ยิงมุข ให้อภัย แต่กับลูกกับเมียเลี้ยงด้วยลำแข้งครับ ผมจะโดนสาดน้ำถึงที่นอนเวลาตื่นสาย(6:15 น.) หรืออาจจะโดนคอมแบทถีบลงจากบันไดเวลาเดินงัวเงียเพิ่งตื่นนอน หรืออาจจะโดนแก้ผ้าจับแขนมันกับเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน(บ้านติดถนนใหญ่ 4 เลน) หรืออาจจะโดนด่าแรงๆแบบที่ผู้ชายเขาไม่ด่ากัน (ที่พูดมาทั้งหมดเกิดขึ้นกับพี่สาวผมสองคนครับ ผมยังไม่เคยโดน) แต่ตอนนี้พี่ผมเขาเป็นครูทั้งสอง มีอนาคตที่ดีไปแล้ว มีลูกมีผัว พ้นจากโอวาทพ่อแม่(อย่างที่บอกไปข้างต้น) ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พวกเขาหวังที่สุด และเขาก็ทำมันได้ครับ ตอนนี้เหลือผมคนเดียวที่อยู่กับพ่อแม่ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสครับ เพราะพ่อผมเริ่มเบาลงมาหลายปีแล้ว (ต่อๆครับ นอกเรื่องมายาว) คำพูดของพ่อช่างหวานหูซะเหลือเกินว่า "ถ้าติดจะฉลองเลย แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไรลูก เรียนตรงนี้ก็ได้ คนจบจากนี่ได้เป็นเจ้าคนนายคนเยอะแยะ" ผมเริ่มไม่หวังกับโรงเรียนในเมือง และสบายใจขึ้น แต่... พอถึงวันประกาศผล ผมก็ไม่ติดจริงๆ เขาเอาเด็กในเขตหมดก่อนเลยเพราะคนทำคะแนนถึง 60 คะแนนได้เยอะ เด็กนอกเขตแทบจะไม่ติดซักคน(นอกจากพวกที่คะแนนโดดๆจริงเช่น 140 ขึ้น) ผมเศร้าใจมาก และในวันเดียวกันนั้นเอง ผมได้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน นั่งปฐมนิเทศและสอบเสร็จสับ และผมก็ติดที่นี่ครับ และพอผมกลับถึงบ้าน แม่ผมจัดการบอกทุกอย่างกับพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่น คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้.....
พ่อด่าแบบที่ไม่เคยด่ามาก่อน แรงมาก แรงมากกๆๆ แรงมากจริง แรงมากเกินที่เด็กวัยแค่นี้จะรับไหว โทษไปถึงแม่ว่าทำไมไม่รู้จักสอนลูกให้อ่านหนังสือ(ทั้งๆที่ผมอ่านและเรียนพิเศษด้วยซ้ำ) ผมเถียงขาดใจ เพราะนิสัยผมเป็นนิสัยไม่ชอบยอมใครแต่มีเหตุและผลนะ เขาเอาไม้มาตีผม ว่าทำไมแค่นี้สอบไม่ติด *ึงไม่ต้องเรียนหรอก น้ำหน้าอย่าง*ึงเยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ด่าผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเก็บตัวอยู่ในห้อง 2 เดือน ก่อนเปิดเทอม จนผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คิดไปทั่ว คิดแล้วคิดอีกว่าเราผิดอะไร และเขาผิดอะไร คิดหลายๆมุมเพราะผมเป็นคนคิดถึงใจเขาใจเรา แต่มันก็หาเหตุผลมาประกอบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..... คิดไปว่าเขาห่วงเราหรอ ถ้าห่วงจริง คงไม่ใช้ถ้อยคำที่มันทำให้จิตใจเราเปลี่ยนไปแบบนี้ก็ได้มั้ง จิตใจผมเริ่มอ่อนแอลง จากที่อยากเรียนโรงเรียนที่สอบติด ก็กลายเป็นไม่อยากเรียน ไม่อยากทำอะไรเลย เอาแต่เศร้า ร้องไห้ เก็บตัว ไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่ออกจากห้อง ไม่อาบน้ำ(อาบเวลาเดียว) อยากตาย คิดลบ จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีแรงบันดาลใจจะทำอะไรเลยจริงๆ ผมจึงเป็นโรคซึมเศร้าเป็นที่เรียบร้อยครับ (ที่ผมพิมพ์ไปอาจจะสื่อถึงอารมณ์ได้ไม่มาก แต่อยากให้ทุกคนลองนึกดูว่า คำพูดของคนๆหนึ่ง ที่ทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ โดยใช้แค่คำพูด มันแรงขนาดไหน)
และพอเปิดเทอม ผมก็เรียนครับ เรียนปกติ แต่ความสนใจในสิ่งต่างๆมันไม่มีเลย เช่นเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ มันไม่มีเลยครับ ไม่สนใจอะไร ไม่แคร์ทุกๆอย่าง ทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นครูนักเรียน พ่อแม่(จากแต่ก่อนไหว้ก่อนไปโรงเรียน แต่ทุกวันนี้ไม่เคยไหว้เลย) ไม่แคร์คือไม่สนใจอะไรเลย (ลองนึกภาพ Rihanna เวลาเบะปากมองบน) ไม่ยุ่งกับคนอื่นที่ไม่จำเป็น แต่ผมก็เรียนนะ ผมเป็นคนตลกของห้องด้วยซ้ำ คือเรียกเสียงหัวเราะ เล่นมุขแล้วตบมุกได้เริด อารมณ์ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแต่แฝงไปด้วยความไม่แคร์อีกชั้นหนึ่ง และชั้นสุดท้ายคือความซึมเศร้า เพราะเวลาอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านมาก ร้องไห้ คิดลบ คิดไปทั่ว เศร้าตลอดเวลา กลับมาบ้านก็อยู่แต่ในห้องเกือบ 4 เดือน + 2 เดือนก่อนเปิดเทอมที่อยู่ในห้อง กลายเป็น 6 เดือน ที่ไม่ได้คุยกับพ่อแม่และคนในครอบครัว ไม่มอง ไม่สน ไม่ไหว้ ใครจะตีหรอ ไม่แคร์ ตีซิ ตีกลับ จับไม่เรียวหักแล้วโยนแรงๆ ความคิดที่อยู่คนเดียวทัศนคติเริ่มเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน เราก็เริ่มกลับมาคุยกันเหมือนเดิม.... แต่ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ นิสัยเปลี่ยนไปคนละอย่างเลย จากเด็กดี มีความคิดว่าถ้าโตไป มีงานทำจะเลี้ยงพอเลี้ยงแม่ให้สบาย แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องนี้อยู่ในหัว และบางทีก็นั่งคิดนะว่า เรื่องแค่สอบไม่ติดมันถึงกับต้องด่ากัน ตีกันขนาดนี้เลยหรอ ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจสอบนะ ไม่ใช่ไม่พยายามนะ แต่ทำไมนะถึงเป็นอย่างนี้..........
[หลังจากจบ ม.1 เกรดลดลงมากกกอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความปัจจัยข้างต้นทั้งนั้น]
พอขึ้น ม.2 ก็เรียนได้ครับ ไม่มีอะไร แต่พอจบ ม.2 มี ร กับ 0 อย่างละตัว คือวิชาศิลปะ และวิชาการงาน(เย็บปักถักร้อย)...... ต้องบอกเลยว่า ผมไม่เก่งศิลปะแม้แต่นิดเดียว วาดรูปไม่เป็น เกลียดศิลปะด้วยซ้ำ การออกแบบ อะไรพวกนี้ไม่เป็นเลย แต่ถ้าไม่บอกพ่อแม่ก็จบใช่ไหมครับ เพราะแค่นี้ผมแก้ได้อยู่แล้ว เพราะนี่ก็ ม.2 แล้ว มีความรับผิดอบและผมก็พอจะนึกภาพออกเวลาพ่อรู้ แต่... ยัยที่ปรึกษาตัวแสบดันโทรมาหาพ่อ และมาคุยถึงบ้าน(ผมถามตัวเองว่าต้องจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอกับการติด ร 2 ตัว)
เสียงยัยที่ปรึกษา "เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา เขาเป็นเด็กที่เรียนดี สอบเข้า ม.1 ได้ที่ต้นๆของโรงเรียน แต่ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ (ผมคิดในใจ 'ข้อสอบง่ายมาก เด็ก ป.4 ก็ทำได้ ถามว่า R ตรงกับตัวอะไรในภาษาอังกฤษ ให้เขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ข้อสอบปัญญาอ่อนมาก')
แม่ผมก็เสริมเข้าไปอีกว่า "ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะแต่ก่อนเขาก็ตั้งใจเรียน และเรียนดีนะคะ เกรดก็ส่งชิงทุน ไม่เคยเป็นอย่างงี้เลยค่ะ" (ผมก็คิดในใจว่านี่ยังไม่รู้อีกหรอว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาจากตรงไหน) และนางก็กลับไปพร้อมกับกล้วย 2 หวีที่แม่ให้ (ช่วงนั้นพ่อยังไม่กลับมาจากทำงาน) และสงครามก็เกิดขึ้นอีกครั้งครับหลังจากพ่อกลับมาจากที่ทำงาน ทุกอย่างเหมือนตอนสอบไม่ติด ม.1 แต่แรงกว่าเดิม และผมก็แรงกว่าเดิมเหมือนกัน ทั้งสองต่างคนต่างแรง ผมเริ่มอยากเอาชนะเรียกร้องความสนใจ(ผลข้างเขียงจากโรคซึมเศร้า) โดยการกรีดแขนตัวเอง แล้วเอาเลือดป้ายไปกับฝาบ้านเป็นคราบยาว และผมก็เก็บตัวเป็นปีอีกเช่นเคย ครั้งนี้นานมากครับ เกือบ 1 ปีที่ผมไม่ได้คุยกับใครเหมือนตอนเรื่อง ม.1 นานจนผมเป็นกลากเพราะไม่ได้อาบน้ำ(อาบเวลาเดียวคือตอนเช้า ที่ต้องออกไปข้างนอก) ข้าวก็ไม่ได้กิน(กินมื้อเดียว โดยออกไปซื้อเขากินข้างนอก) น้ำหนักลดวูบประมาณ 15 กก. ได้มั้งครับ จนคนทักว่าผอม ครูที่โรงเรียนก็ทักว่าผอม(แต่ไม่ใช่ที่ปรึกษาที่รักของผมนะ) ครั้งนี้นานหน่อย นานจนไปถึงเทอม 2 ของ ม.3 ถึงได้คุยกัน(นับเอาว่า ม2 เทอม 2 ถึง ม3 เทอม 2 ที่ไม่ได้คุยกันอะกี่เดือน) กลับมากินข้าวปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือโยโย่ครับ น้ำหนักขึ้นทันทีเกือบ 30 กก. กลายเป็นคนละคนทันที่ แต่ที่เล่ามาทั้งหมด จิตใจผมก็ยังย่ำแย่อยู่ตลอดนะครับ เศร้าซึม เบื่อหน่าย อยากตายทุกๆครั้งที่เศร้าใจ การเรียนก็แย่ลงเช่นกัน(อาจจะเกิดเพราะความมีอคติกับ ร.ร. แห่งนี้ เพราะการโดนด่าตั้งแต่ ม.1 แล้ว ก็เป็นได้ เพราะนั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของผม)
อาจสงสัยว่าช่วงที่ไม่คุยกันใช้ชีวิตยังไงในแต่ละวัน = ตื่น, อาบน้ำ, ไป ร.ร., กลับมาจาก ร.ร., กินข้าวที่ร้านแถวบ้าน, กลับถึงบ้าน, เข้าห้อง ปิดประตู นั่นคือจบ 1 วันครับ วันต่อมาก็วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป
และยังไม่จบครับ ยังมีตอนจะจบ ม.3 ด้วยครับ ติด 2 ตัวเหมือนเดิม วิชาเดิม โดนด่าเหมือนเดิม แรงเหมือนเดิม แรงมาก ขึ้นบังคับให้ผมกราบ เพื่ออะไรก็ไม่รู้ เพราะที่ทำให้พ่อแม่เสียใจหรอ แต่ผมก็ไม่ทำตาม แล้วบอกว่าถ้าไม่กราบก็ตัดพ่อแม่กันเลย เถียงดีนัก *ูส่ง*ึงไปเรียน *ึงหยุดเรียนไหม มันซ้ำซาก มันต้องไม่คุยกันเหมือนเดิม อยู่แต่ในห้องเหมือนเดิม
จิตใจแย่ลงทุกครั้งเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ส่วนผม ก็กลายเป็นหินไปแล้ว ไม่แคร์อะไร แต่ไม่ใช่ว่าผมนิสัยไม่ดีนะ ผมยังเป็นเด็กดีเหมือนเดิม แต่แค่ทัศนคติที่มีต่ออะไรบางอย่างมันไม่เหมือนเดิม แล้วโรคซึมเศร้าก็ยังเหมือนเดิม ผมจะโกรธและอารมณ์ขึ้นมากเวลาโดนด่าเหมือนคนเป็นโรคไบโพล่า และผมก็จะซึมเศร้า เก็บตัว คิดเรื่องฆ่าตัวตาย ซึ่งต่างจากแต่ก่อนมาก ที่ผมไม่กล้าเถียงอะไรเลย จนตอนนี้ผมอยู่ ม.5 แล้วครับ ผ่านมา 5 ปีแล้วกับโรคซึมเศร้าที่ผมอยู่กับมัน ผมไม่หวังให้ใครเข้าใจอะไรนะ และไม่ได้อยากให้คนเอาแบบอย่างนะครับ เพราะมันไม่ได้เท่ มันทรมารมาก และผมก็อยากหาย ผมเคยไปหาหมอเพราะมันไม่ไหวจริงๆ เขาก็แนะนำ ให้ยา ตรวจนุ่นตรวจนี่ เป็นหนัก และผมก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะมันน่าเกลียด เพราะโรคซึมเศร้ามันคือโรคจิตชนิดหนึ่งที่ใครๆเขามองว่าแย่ มันก็แย่จริงๆนั่นแหละ ผมยังว่าผมโชคดีนะที่ไม่ฆ่าตัวตาย และเอาสิ่งที่คิดว่ามันเป็นประโชยน์มาเข้าตัวเอง ไม่เอาพวกความวิตกกังวลมากๆเข้าตัวเอง ไม่เอาปมแรงๆเข้าตัวเอง ไม่งั้นผมคงตายไปนานแล้ว ช่วยผมด้วยครับ ผมช่วยตัวเองไม่ไหวแล้ว ผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จิตใจแย่ลง หน้าโทรมขึ้น ผลจากการโยโย่ก็ไม่หายไป ผมควรทำอย่างไร แนะนำหน่อยนะครับ อยากได้การฟื้นฟูจิตใจแบบถูกวิธี อยากได้ความเข้าใจ อยากได้ความปกติของจิตใจ ทัศนคติดีๆ ช่วยด้วยครับ
- ผมอยู่ต่อหน้าคนอื่น ผมเป็นคนที่ไม่เศร้าเลย ไม่มีใครรู้ครับว่าผมเป็นซึมเศร้าแม้กระทั่งคนในครอบครัว ที่เขาด่าจนเรารู้สึก down มากๆ
- ผมได้รับผลกระทบทุกอย่างตามที่อาการของโรค ปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น
- ทั้งหมดนี้คือการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเฉยๆ แต่แก่นสารจริงๆอยู่ที่การหาทางออกเกี่ยวกับโรคนี้
ช่วยด้วย ฉันเป็นโรคซึมเศร้า :)
ผมต้องทำยังไงครับ ชีวิตผมเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับผม
ก่อนอื่นต้องเท้าความกลับไปเมื่อเมื่อก่อน สมัยประถม ตอนนั้นผมเป็นคนที่ร่าเริงมาก มองโลกในแง่บวกมากๆเสมอ ขี้สงสาร ไม่ก้าวร้าว มีสัมมาคารวะ เป็นคนทำตามกฎไม่กล้าทำอะไรนอกกฎ ตั้งใจเรียน เรียนดีใช้ได้(แต่ไม่ถึงกับเก่ง) ได้เกรด 3.50 ขึ้นทุกปี สอบได้ที่ 1-5 ของห้องตลอด ส่งเกรดชิงทุนทุกปีทุกงาน ได้รับเงินแต่ละทุนทีละหลายพันบาทต่อครั้ง เป็นเด็กทั่วๆไปที่ดูไม่มีปัญหาอะไร ช่วงนั้นมีหน้าที่เรียนก็เรียน มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำ แต่ก็ไม่ได้แฮปปี้นะเพราะเป็นคนไม่ค่อยคาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว..... แต่จุดพีคกำลังจะมาถึง คือช่วงที่จบ ป.6 แล้วต้องไปสอบเรียนต่อ ม.1... ต้องขออธิบายตรงนี้ก่อนว่า โรงเรียนที่ผมจะไปสอบเพื่อเข้าเรียน ม.1 นี้ คือโรงเรียนประจำจังหวัด(ใกล้กันกับโรงเรียนประถมที่ผมเรียนอยู่) และเป็นโรงเรียนมัธยมที่คนอยากเรียนมากแห่งเดียวในจังหวัดจริงๆ เพราะจังหวัดนี้ไม่ได้มีโรงเรียนมัธยมเยอะนัก จะมีอีกที่ก็ชาญเมือง กับต่างอำเภอไปเลย... ผมอยากเรียนที่นี่มาก เพราะมันคือความฝันของเด็กทุกคนที่จบจากโรงเรียนประถมแห่งนี้ ไม่ใช่แค่แห่งนี้แต่จากทุกมุมเมืองเลยก็ว่าได้ และเกณฑ์ในการรับเด็กเข้า ม.1 ของโรงเรียนนี้คือรับปีละ 500 กว่าคน แต่มีคนมาสมัครต่อปีเกือบ 900 คน แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนอกจากเป็นโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงแล้ว ยังแบ่งเด็กในเขตกับนอกเขตอีก ซึ่ง... นั่นแหละฮะ ผมอยู่นอกเขต เกณฑ์การให้คะแนนคือเต็ม 200 คะแนน เด็กในเขตขอแค่คะแนนถึง 60 คะแนนก็เข้าได้แล้ว ส่วนเด็กนอกเขต 120 ขึ้นครับ ส่วนเรื่องข้อสอบ ไม่รู้ว่าคนออกข้อสอบไปเอาข้อสอบมากจากไหนมา ยากกว่าโอเน็ต ม.3 ยากกว่าข้อสอบของกลางเทอมปลายเทอม ม.1-ม.3 ที่ผมเคยเรียนมา มันเป็นเนื้อหาของ ม.1 ผสมกับ ม.4 แล้วเอามาออกอะ ใครจะไปทำได้ นี่ข้อสอบเด็ก ป.6 นะ ย้ำว่า ป.6 แต่ก็ย้ำอีกทีว่าที่พูดมาเป็นเฉพาะวิชาคณิตนะ วิชาอื่นก็ข้อสอบ ม.1-ม.2 ดีๆนี่เอง แต่ผมทำได้นะ อาจจะเป็นเพราะไปเรียนพิเศษกับอาจารย์ที่ออกข้อสอบวิทยาศาสตร์มา แต่ลองนึกภาพคนที่ไม่ได้เรียนพิเศษสิ... นั่นแหละฮะ
ต่อมา ถึงเวลาประกาศผลสอบ ผมบอกกับพ่อแม่ว่าถ้าไม่ติด จะเรียนโรงเรียน...............นี้นะ(โรงเรียนใกล้บ้าน และรองจากโรงเรียนประจำจังหวัด) เพราะโอกาสติดมันน้อย แต่พ่อผมเป็นทหารครับ กับทหารไม่ค่อยเท่าไหร่ ใจดีตลก หัวเราะ ยิงมุข ให้อภัย แต่กับลูกกับเมียเลี้ยงด้วยลำแข้งครับ ผมจะโดนสาดน้ำถึงที่นอนเวลาตื่นสาย(6:15 น.) หรืออาจจะโดนคอมแบทถีบลงจากบันไดเวลาเดินงัวเงียเพิ่งตื่นนอน หรืออาจจะโดนแก้ผ้าจับแขนมันกับเสาไฟฟ้าหน้าบ้าน(บ้านติดถนนใหญ่ 4 เลน) หรืออาจจะโดนด่าแรงๆแบบที่ผู้ชายเขาไม่ด่ากัน (ที่พูดมาทั้งหมดเกิดขึ้นกับพี่สาวผมสองคนครับ ผมยังไม่เคยโดน) แต่ตอนนี้พี่ผมเขาเป็นครูทั้งสอง มีอนาคตที่ดีไปแล้ว มีลูกมีผัว พ้นจากโอวาทพ่อแม่(อย่างที่บอกไปข้างต้น) ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พวกเขาหวังที่สุด และเขาก็ทำมันได้ครับ ตอนนี้เหลือผมคนเดียวที่อยู่กับพ่อแม่ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสครับ เพราะพ่อผมเริ่มเบาลงมาหลายปีแล้ว (ต่อๆครับ นอกเรื่องมายาว) คำพูดของพ่อช่างหวานหูซะเหลือเกินว่า "ถ้าติดจะฉลองเลย แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไรลูก เรียนตรงนี้ก็ได้ คนจบจากนี่ได้เป็นเจ้าคนนายคนเยอะแยะ" ผมเริ่มไม่หวังกับโรงเรียนในเมือง และสบายใจขึ้น แต่... พอถึงวันประกาศผล ผมก็ไม่ติดจริงๆ เขาเอาเด็กในเขตหมดก่อนเลยเพราะคนทำคะแนนถึง 60 คะแนนได้เยอะ เด็กนอกเขตแทบจะไม่ติดซักคน(นอกจากพวกที่คะแนนโดดๆจริงเช่น 140 ขึ้น) ผมเศร้าใจมาก และในวันเดียวกันนั้นเอง ผมได้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน นั่งปฐมนิเทศและสอบเสร็จสับ และผมก็ติดที่นี่ครับ และพอผมกลับถึงบ้าน แม่ผมจัดการบอกทุกอย่างกับพ่อไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่น คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้.....
พ่อด่าแบบที่ไม่เคยด่ามาก่อน แรงมาก แรงมากกๆๆ แรงมากจริง แรงมากเกินที่เด็กวัยแค่นี้จะรับไหว โทษไปถึงแม่ว่าทำไมไม่รู้จักสอนลูกให้อ่านหนังสือ(ทั้งๆที่ผมอ่านและเรียนพิเศษด้วยซ้ำ) ผมเถียงขาดใจ เพราะนิสัยผมเป็นนิสัยไม่ชอบยอมใครแต่มีเหตุและผลนะ เขาเอาไม้มาตีผม ว่าทำไมแค่นี้สอบไม่ติด *ึงไม่ต้องเรียนหรอก น้ำหน้าอย่าง*ึงเยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ด่าผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเก็บตัวอยู่ในห้อง 2 เดือน ก่อนเปิดเทอม จนผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คิดไปทั่ว คิดแล้วคิดอีกว่าเราผิดอะไร และเขาผิดอะไร คิดหลายๆมุมเพราะผมเป็นคนคิดถึงใจเขาใจเรา แต่มันก็หาเหตุผลมาประกอบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..... คิดไปว่าเขาห่วงเราหรอ ถ้าห่วงจริง คงไม่ใช้ถ้อยคำที่มันทำให้จิตใจเราเปลี่ยนไปแบบนี้ก็ได้มั้ง จิตใจผมเริ่มอ่อนแอลง จากที่อยากเรียนโรงเรียนที่สอบติด ก็กลายเป็นไม่อยากเรียน ไม่อยากทำอะไรเลย เอาแต่เศร้า ร้องไห้ เก็บตัว ไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่ออกจากห้อง ไม่อาบน้ำ(อาบเวลาเดียว) อยากตาย คิดลบ จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีแรงบันดาลใจจะทำอะไรเลยจริงๆ ผมจึงเป็นโรคซึมเศร้าเป็นที่เรียบร้อยครับ (ที่ผมพิมพ์ไปอาจจะสื่อถึงอารมณ์ได้ไม่มาก แต่อยากให้ทุกคนลองนึกดูว่า คำพูดของคนๆหนึ่ง ที่ทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ โดยใช้แค่คำพูด มันแรงขนาดไหน)
และพอเปิดเทอม ผมก็เรียนครับ เรียนปกติ แต่ความสนใจในสิ่งต่างๆมันไม่มีเลย เช่นเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ มันไม่มีเลยครับ ไม่สนใจอะไร ไม่แคร์ทุกๆอย่าง ทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นครูนักเรียน พ่อแม่(จากแต่ก่อนไหว้ก่อนไปโรงเรียน แต่ทุกวันนี้ไม่เคยไหว้เลย) ไม่แคร์คือไม่สนใจอะไรเลย (ลองนึกภาพ Rihanna เวลาเบะปากมองบน) ไม่ยุ่งกับคนอื่นที่ไม่จำเป็น แต่ผมก็เรียนนะ ผมเป็นคนตลกของห้องด้วยซ้ำ คือเรียกเสียงหัวเราะ เล่นมุขแล้วตบมุกได้เริด อารมณ์ดีเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแต่แฝงไปด้วยความไม่แคร์อีกชั้นหนึ่ง และชั้นสุดท้ายคือความซึมเศร้า เพราะเวลาอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านมาก ร้องไห้ คิดลบ คิดไปทั่ว เศร้าตลอดเวลา กลับมาบ้านก็อยู่แต่ในห้องเกือบ 4 เดือน + 2 เดือนก่อนเปิดเทอมที่อยู่ในห้อง กลายเป็น 6 เดือน ที่ไม่ได้คุยกับพ่อแม่และคนในครอบครัว ไม่มอง ไม่สน ไม่ไหว้ ใครจะตีหรอ ไม่แคร์ ตีซิ ตีกลับ จับไม่เรียวหักแล้วโยนแรงๆ ความคิดที่อยู่คนเดียวทัศนคติเริ่มเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน เราก็เริ่มกลับมาคุยกันเหมือนเดิม.... แต่ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ นิสัยเปลี่ยนไปคนละอย่างเลย จากเด็กดี มีความคิดว่าถ้าโตไป มีงานทำจะเลี้ยงพอเลี้ยงแม่ให้สบาย แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องนี้อยู่ในหัว และบางทีก็นั่งคิดนะว่า เรื่องแค่สอบไม่ติดมันถึงกับต้องด่ากัน ตีกันขนาดนี้เลยหรอ ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจสอบนะ ไม่ใช่ไม่พยายามนะ แต่ทำไมนะถึงเป็นอย่างนี้..........
[หลังจากจบ ม.1 เกรดลดลงมากกกอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากความปัจจัยข้างต้นทั้งนั้น]
พอขึ้น ม.2 ก็เรียนได้ครับ ไม่มีอะไร แต่พอจบ ม.2 มี ร กับ 0 อย่างละตัว คือวิชาศิลปะ และวิชาการงาน(เย็บปักถักร้อย)...... ต้องบอกเลยว่า ผมไม่เก่งศิลปะแม้แต่นิดเดียว วาดรูปไม่เป็น เกลียดศิลปะด้วยซ้ำ การออกแบบ อะไรพวกนี้ไม่เป็นเลย แต่ถ้าไม่บอกพ่อแม่ก็จบใช่ไหมครับ เพราะแค่นี้ผมแก้ได้อยู่แล้ว เพราะนี่ก็ ม.2 แล้ว มีความรับผิดอบและผมก็พอจะนึกภาพออกเวลาพ่อรู้ แต่... ยัยที่ปรึกษาตัวแสบดันโทรมาหาพ่อ และมาคุยถึงบ้าน(ผมถามตัวเองว่าต้องจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอกับการติด ร 2 ตัว)
เสียงยัยที่ปรึกษา "เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา เขาเป็นเด็กที่เรียนดี สอบเข้า ม.1 ได้ที่ต้นๆของโรงเรียน แต่ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ (ผมคิดในใจ 'ข้อสอบง่ายมาก เด็ก ป.4 ก็ทำได้ ถามว่า R ตรงกับตัวอะไรในภาษาอังกฤษ ให้เขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ข้อสอบปัญญาอ่อนมาก')
แม่ผมก็เสริมเข้าไปอีกว่า "ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะแต่ก่อนเขาก็ตั้งใจเรียน และเรียนดีนะคะ เกรดก็ส่งชิงทุน ไม่เคยเป็นอย่างงี้เลยค่ะ" (ผมก็คิดในใจว่านี่ยังไม่รู้อีกหรอว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาจากตรงไหน) และนางก็กลับไปพร้อมกับกล้วย 2 หวีที่แม่ให้ (ช่วงนั้นพ่อยังไม่กลับมาจากทำงาน) และสงครามก็เกิดขึ้นอีกครั้งครับหลังจากพ่อกลับมาจากที่ทำงาน ทุกอย่างเหมือนตอนสอบไม่ติด ม.1 แต่แรงกว่าเดิม และผมก็แรงกว่าเดิมเหมือนกัน ทั้งสองต่างคนต่างแรง ผมเริ่มอยากเอาชนะเรียกร้องความสนใจ(ผลข้างเขียงจากโรคซึมเศร้า) โดยการกรีดแขนตัวเอง แล้วเอาเลือดป้ายไปกับฝาบ้านเป็นคราบยาว และผมก็เก็บตัวเป็นปีอีกเช่นเคย ครั้งนี้นานมากครับ เกือบ 1 ปีที่ผมไม่ได้คุยกับใครเหมือนตอนเรื่อง ม.1 นานจนผมเป็นกลากเพราะไม่ได้อาบน้ำ(อาบเวลาเดียวคือตอนเช้า ที่ต้องออกไปข้างนอก) ข้าวก็ไม่ได้กิน(กินมื้อเดียว โดยออกไปซื้อเขากินข้างนอก) น้ำหนักลดวูบประมาณ 15 กก. ได้มั้งครับ จนคนทักว่าผอม ครูที่โรงเรียนก็ทักว่าผอม(แต่ไม่ใช่ที่ปรึกษาที่รักของผมนะ) ครั้งนี้นานหน่อย นานจนไปถึงเทอม 2 ของ ม.3 ถึงได้คุยกัน(นับเอาว่า ม2 เทอม 2 ถึง ม3 เทอม 2 ที่ไม่ได้คุยกันอะกี่เดือน) กลับมากินข้าวปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือโยโย่ครับ น้ำหนักขึ้นทันทีเกือบ 30 กก. กลายเป็นคนละคนทันที่ แต่ที่เล่ามาทั้งหมด จิตใจผมก็ยังย่ำแย่อยู่ตลอดนะครับ เศร้าซึม เบื่อหน่าย อยากตายทุกๆครั้งที่เศร้าใจ การเรียนก็แย่ลงเช่นกัน(อาจจะเกิดเพราะความมีอคติกับ ร.ร. แห่งนี้ เพราะการโดนด่าตั้งแต่ ม.1 แล้ว ก็เป็นได้ เพราะนั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของผม)
อาจสงสัยว่าช่วงที่ไม่คุยกันใช้ชีวิตยังไงในแต่ละวัน = ตื่น, อาบน้ำ, ไป ร.ร., กลับมาจาก ร.ร., กินข้าวที่ร้านแถวบ้าน, กลับถึงบ้าน, เข้าห้อง ปิดประตู นั่นคือจบ 1 วันครับ วันต่อมาก็วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป
และยังไม่จบครับ ยังมีตอนจะจบ ม.3 ด้วยครับ ติด 2 ตัวเหมือนเดิม วิชาเดิม โดนด่าเหมือนเดิม แรงเหมือนเดิม แรงมาก ขึ้นบังคับให้ผมกราบ เพื่ออะไรก็ไม่รู้ เพราะที่ทำให้พ่อแม่เสียใจหรอ แต่ผมก็ไม่ทำตาม แล้วบอกว่าถ้าไม่กราบก็ตัดพ่อแม่กันเลย เถียงดีนัก *ูส่ง*ึงไปเรียน *ึงหยุดเรียนไหม มันซ้ำซาก มันต้องไม่คุยกันเหมือนเดิม อยู่แต่ในห้องเหมือนเดิม
จิตใจแย่ลงทุกครั้งเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ส่วนผม ก็กลายเป็นหินไปแล้ว ไม่แคร์อะไร แต่ไม่ใช่ว่าผมนิสัยไม่ดีนะ ผมยังเป็นเด็กดีเหมือนเดิม แต่แค่ทัศนคติที่มีต่ออะไรบางอย่างมันไม่เหมือนเดิม แล้วโรคซึมเศร้าก็ยังเหมือนเดิม ผมจะโกรธและอารมณ์ขึ้นมากเวลาโดนด่าเหมือนคนเป็นโรคไบโพล่า และผมก็จะซึมเศร้า เก็บตัว คิดเรื่องฆ่าตัวตาย ซึ่งต่างจากแต่ก่อนมาก ที่ผมไม่กล้าเถียงอะไรเลย จนตอนนี้ผมอยู่ ม.5 แล้วครับ ผ่านมา 5 ปีแล้วกับโรคซึมเศร้าที่ผมอยู่กับมัน ผมไม่หวังให้ใครเข้าใจอะไรนะ และไม่ได้อยากให้คนเอาแบบอย่างนะครับ เพราะมันไม่ได้เท่ มันทรมารมาก และผมก็อยากหาย ผมเคยไปหาหมอเพราะมันไม่ไหวจริงๆ เขาก็แนะนำ ให้ยา ตรวจนุ่นตรวจนี่ เป็นหนัก และผมก็ไม่ได้ไปอีกเลยเพราะมันน่าเกลียด เพราะโรคซึมเศร้ามันคือโรคจิตชนิดหนึ่งที่ใครๆเขามองว่าแย่ มันก็แย่จริงๆนั่นแหละ ผมยังว่าผมโชคดีนะที่ไม่ฆ่าตัวตาย และเอาสิ่งที่คิดว่ามันเป็นประโชยน์มาเข้าตัวเอง ไม่เอาพวกความวิตกกังวลมากๆเข้าตัวเอง ไม่เอาปมแรงๆเข้าตัวเอง ไม่งั้นผมคงตายไปนานแล้ว ช่วยผมด้วยครับ ผมช่วยตัวเองไม่ไหวแล้ว ผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จิตใจแย่ลง หน้าโทรมขึ้น ผลจากการโยโย่ก็ไม่หายไป ผมควรทำอย่างไร แนะนำหน่อยนะครับ อยากได้การฟื้นฟูจิตใจแบบถูกวิธี อยากได้ความเข้าใจ อยากได้ความปกติของจิตใจ ทัศนคติดีๆ ช่วยด้วยครับ
- ผมอยู่ต่อหน้าคนอื่น ผมเป็นคนที่ไม่เศร้าเลย ไม่มีใครรู้ครับว่าผมเป็นซึมเศร้าแม้กระทั่งคนในครอบครัว ที่เขาด่าจนเรารู้สึก down มากๆ
- ผมได้รับผลกระทบทุกอย่างตามที่อาการของโรค ปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น
- ทั้งหมดนี้คือการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเฉยๆ แต่แก่นสารจริงๆอยู่ที่การหาทางออกเกี่ยวกับโรคนี้