** เคล็ดลับคำโคลง **
ตอน.. สัมผัสใน 
สัมผัสใน หมายถึงสัมผัสที่มิได้กำหนดไว้ในบังคับของคำประพันธ์
จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีจะเพิ่มให้ไพเราะขึ้นตามความเหมาะสม
ในคำประพันธ์มีศัพท์ที่ใช้เรียกสัมผัสในในลักษณะต่างๆกันทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ(หรืออักษร) ถ้าจะอนุโลมนำมาเทียบเคียงคือ…
๑.
เคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน ๒ คำ
๐ เนิน
หนอกหมอกเสกแต้ม ตะลึงตา
๒.
เทียบเคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน ๓ คำ
วารกาลผ่านฤทัย ทวนโศก ศัลย์นอ
๓
.ทบเคียง หมายถึงสัมผัสสระสองสระเรียงกันสระละ ๒ คำ
๐ ทุกว
ลีศรีฉ่ำน้ำ ใจขำ
๔
.เทียบแอกแทรกเคียง หมายถึงสัมผัสสระที่มีสระอื่นคั่น ๑ สระ
กบ
เขียดเงา
เฉียดสม สง่าแง้ม
๕.
แทรกแอก เป็นลักษณะเดียวกับเทียบแอกแทรกเคียง แต่มีสระอื่นคั่น ๒ สระ
เหงาเปลี่ยนแปลง
เงาใส สุขล้ำ
๖.
ยมก หมายถึงการซ้ำคำ
ไกล
ห่างห่างใจข้อง เกี่ยวก้อยกลอยกมล ฯ
๗.
คู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๒ คำ
แอร์
ยะเยือกกระเซ็น สั่นสะท้าน
๘.
เทียบคู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๓ คำ
เบิกบานบ่ายจรมา พารุ่ง เรืองเฮย
๙.
เทียมรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๔ คำ
ดอกดกแดงดังรวง แรกแย้ม
๑๐.
เทียบรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๕ คำ
เลี้ยงลูกรักลูกรา หนึ่งน้อย
๑๑.
ทบคู่ คือสัมผัสอักษร ๒ อักษรเรียงกัน ๒ คำเป็นคู่
ไกลกลิ่นหอมหวนล้ำ กระหน่ำห้วงไพรสาณฑ์ ฯ
๑๒.
แทรกคู่ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น ๑ คำ
โล้ไกว
ลูกสุขสรวล สฤตสิ่ง
๑๓.
แทรกรถ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น ๒ คำ
รักสุดจะ
ระทม หนักน้อง
๑๔.
นิสสัย หมายถึงสัมผัสอักษรระหว่างปลายบาทหน้ากับต้นบาทหลัง
๐ เข้าป่าหาน้ำตก...................ชม
สวน
สูดลึกโอโซนอวล...................อบซ้ำ
๑๕.
นิสสิต อักษรปลายบาทหน้าสัมผัสอักษรที่สองของบาทหลัง
๐ กราบมาตาต่อไท้...............ธร
ณี
ทะ
นุถนอมบุตรศรี...................สืบคล้อย
๑๖.
สังขะ สัมผัสอักษรและสัมผัสสระที่เสียงพยัญชนะต้นเหมือนกันเป็นคู่ โดยซ้ำเสียงสระในพยางค์หน้า
แต่ในพยางค์หลังเสียงสระต่างกัน
๐ เงินตรา
ตะกุกตะกักต้อง........
ตะเกียกตะกาย
อำนาจ อำนวยอบาย..................อนึ่งบ้า
ฯลฯ
สัมผัสในถือเป็นอลังการทางภาษาที่งดงามของวรรณศิลป์ไทยอย่างหนึ่ง หากคำประพันธ์ใดที่แพรวพราวด้วยสัมผัสในย่อมฟังรื่นไหล
แต่ทั้งนี้คำที่ใช้ต้องดีทั้งเสียงและความหมาย
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับทางโคลงอีกมาก แต่จะขอนำเสนอในตอนต่อไป...
ท้ายนี้ขอนำโคลงบทเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ ครับ

๐ ศศิขัณฑ์สะบั้นขาด อรรธจันทร์
รัตติกาลดับมหันต์ มหิฟ้า
สุริเยศเภทอาถรรพณ์ ลั่นระเบิด
โอ้! จักรวาลสูญหล้า สบแล้งทวีคูณ ฯ
๐ สูญตะวันพ่ายแพ้ พญามาร
ทวยเทพอ่อนแรงผสาน สฤษฏ์สร้าง
พลัน”เปลวอัคคี”ดาล ดวงทิพย์ มณีนอ
เปล่งปลั่งกานท์แก้วสล้าง ร่วมกู้อณูสวรรค์ ฯะ






** เคล็ดลับคำโคลง ** ตอน..สัมผัสใน
ตอน.. สัมผัสใน
สัมผัสใน หมายถึงสัมผัสที่มิได้กำหนดไว้ในบังคับของคำประพันธ์ จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีจะเพิ่มให้ไพเราะขึ้นตามความเหมาะสม
ในคำประพันธ์มีศัพท์ที่ใช้เรียกสัมผัสในในลักษณะต่างๆกันทั้งสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ(หรืออักษร) ถ้าจะอนุโลมนำมาเทียบเคียงคือ…
๑.เคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน ๒ คำ
๐ เนินหนอกหมอกเสกแต้ม ตะลึงตา
๒.เทียบเคียง หมายถึงสัมผัสสระเรียงชิดกัน ๓ คำ
วารกาลผ่านฤทัย ทวนโศก ศัลย์นอ
๓.ทบเคียง หมายถึงสัมผัสสระสองสระเรียงกันสระละ ๒ คำ
๐ ทุกวลีศรีฉ่ำน้ำ ใจขำ
๔.เทียบแอกแทรกเคียง หมายถึงสัมผัสสระที่มีสระอื่นคั่น ๑ สระ
กบเขียดเงาเฉียดสม สง่าแง้ม
๕.แทรกแอก เป็นลักษณะเดียวกับเทียบแอกแทรกเคียง แต่มีสระอื่นคั่น ๒ สระ
เหงาเปลี่ยนแปลงเงาใส สุขล้ำ
๖.ยมก หมายถึงการซ้ำคำ
ไกลห่างห่างใจข้อง เกี่ยวก้อยกลอยกมล ฯ
๗.คู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๒ คำ
แอร์ยะเยือกกระเซ็น สั่นสะท้าน
๘.เทียบคู่ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๓ คำ
เบิกบานบ่ายจรมา พารุ่ง เรืองเฮย
๙.เทียมรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๔ คำ
ดอกดกแดงดังรวง แรกแย้ม
๑๐.เทียบรถ หมายถึงสัมผัสอักษรชิดกัน ๕ คำ
เลี้ยงลูกรักลูกรา หนึ่งน้อย
๑๑.ทบคู่ คือสัมผัสอักษร ๒ อักษรเรียงกัน ๒ คำเป็นคู่
ไกลกลิ่นหอมหวนล้ำ กระหน่ำห้วงไพรสาณฑ์ ฯ
๑๒.แทรกคู่ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น ๑ คำ
โล้ไกวลูกสุขสรวล สฤตสิ่ง
๑๓.แทรกรถ เป็นสัมผัสอักษรที่มีอักษรอื่นคั่น ๒ คำ
รักสุดจะระทม หนักน้อง
๑๔.นิสสัย หมายถึงสัมผัสอักษรระหว่างปลายบาทหน้ากับต้นบาทหลัง
๐ เข้าป่าหาน้ำตก...................ชมสวน
สูดลึกโอโซนอวล...................อบซ้ำ
๑๕.นิสสิต อักษรปลายบาทหน้าสัมผัสอักษรที่สองของบาทหลัง
๐ กราบมาตาต่อไท้...............ธรณี
ทะนุถนอมบุตรศรี...................สืบคล้อย
๑๖.สังขะ สัมผัสอักษรและสัมผัสสระที่เสียงพยัญชนะต้นเหมือนกันเป็นคู่ โดยซ้ำเสียงสระในพยางค์หน้า
แต่ในพยางค์หลังเสียงสระต่างกัน
๐ เงินตรา ตะกุกตะกักต้อง........ ตะเกียกตะกาย
อำนาจ อำนวยอบาย..................อนึ่งบ้า
ฯลฯ
สัมผัสในถือเป็นอลังการทางภาษาที่งดงามของวรรณศิลป์ไทยอย่างหนึ่ง หากคำประพันธ์ใดที่แพรวพราวด้วยสัมผัสในย่อมฟังรื่นไหล
แต่ทั้งนี้คำที่ใช้ต้องดีทั้งเสียงและความหมาย
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับทางโคลงอีกมาก แต่จะขอนำเสนอในตอนต่อไป...
ท้ายนี้ขอนำโคลงบทเก่ามาปัดฝุ่นใหม่ ครับ
๐ ศศิขัณฑ์สะบั้นขาด อรรธจันทร์
รัตติกาลดับมหันต์ มหิฟ้า
สุริเยศเภทอาถรรพณ์ ลั่นระเบิด
โอ้! จักรวาลสูญหล้า สบแล้งทวีคูณ ฯ
๐ สูญตะวันพ่ายแพ้ พญามาร
ทวยเทพอ่อนแรงผสาน สฤษฏ์สร้าง
พลัน”เปลวอัคคี”ดาล ดวงทิพย์ มณีนอ
เปล่งปลั่งกานท์แก้วสล้าง ร่วมกู้อณูสวรรค์ ฯะ