เรื่องจริงไม่อิงนิยาย เรียนต่อป.โทที่อังกฤษตอนอายุ 30 กว่าขวบ กับเงินติดกระเป๋า 3 หมื่น

– A long lasting dream –

ถ้าวันหนึ่งเพื่อนสนิทของคุณเดินเข้ามาบอกว่า  เธอกำลังจะไปใช้ชีวิตและศึกษาต่อ ณ.แดนไกล    คุณจะพูดอะไรกับเพื่อน    

ก. ดีใจด้วยนะฝันเป็นจริงเสียที
ข. เราจะเลี้ยงส่งแกวันไหนดี
ค. เดี๋ยวฉันตามไป  แกอย่าเพิ่งรีบกลับนะ
ง. แน่ใจหรือเปล่า   ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว  ไม่เหงาแย่เหรอ
จ. ไปกี่ปี   เมื่อไรกลับ?   อย่าลืมของฝาก
ฉ. ไม่ใช่ทุกข้อที่กล่าวมา

หลังจากได้รับวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษมาหมาด ๆ   ฉันรีบโทรไปบอกข่าวดีกับเพื่อนสนิท    และนี่คือบทสนทนาระหว่างเรา  
“เราจะไปอังกฤษอาทิตย์หน้าแล้วนะ”

“ตกลงแกจะกลับไปเรียนต่อจริง ๆ?”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“อ้าว  แล้วงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ล่ะ”

“ก็เลิกไง   ไม่ทำแล้ว  จะไปเรียนต่อ”

“เอาจริงเหรอเนี่ย”

“จริงดิ”

“แกจะบ้าหรือเปล่า   อยู่ดี ๆ จะเลิกทำงาน  ไม่เออรี่รีไทร์ไปซะเลยล่ะ   แก่จนปูนนี้แล้วยังจะไปเรียนอะไรอีก!  กว่าจะจบกลับมาก็แก่งั่กพอดี   งานเขียนบทละครที่แกทำอยู่ทุกวันนี้มันใช้ความรู้ทางวิชาการซะที่ไหน   จะไปนั่งเรียนให้มันเมื่อยทำไม !”

ดูมันพูดเข้าสิ      ทำอย่างกับเพิ่งได้ยินแผนการที่งี่เง่าและผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต     คนเค้าจะไปเรียนต่อ   ไม่ได้จะหนีตามผู้ชายซะหน่อย     ... แก่จนปูนนี้ ....   ฉันก็อายุเท่าแกนั่นแหละ   เพิ่งจะสามสิบสองขวบเท่านั้นเอง   ไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย    

ถึงคำประชดประชันของเพื่อนจะฟังแล้วแสลงหูไปบ้างแต่ฉันไม่โกรธหรอก   คิดซะว่าหากนางไม่ใช่เพื่อนบังเกิดเกล้าคงไม่พูดด้วยความห่วงใย (หรือเปล่าก็ไม่รู้) แบบนี้    

เพื่อนก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ ...   แล้วแกจะให้ฉันไปตอนไหน    นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเรียนต่อมากที่สุด  เพราะว่าฉัน...  

1. ไม่มีครอบครัว    
2. ก็เลยยังไม่มีลูก
3. แถมไม่มีแฟนอีกต่างหาก    
4. ไม่มีภาระหนี้สิ้น  ผ่อนบ้าน  ผ่อนรถ   ผ่อนไอโฟน   หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ  
5. ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแก่แม่ชรา
6. ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยไม่ต้องลาออกจากงาน  
7. สามารถซื้อตั๋วแล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องไปได้เลย

แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เพื่อนพูดก็สมเหตุสมผลทุกอย่าง   งานเขียนบทละครต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าความรู้ทางวิชาการ   ถึงกระนั้นฉันก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร   และจะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความมุ่งมั่นตั้งใจของว่าที่นักเรียนโข่งคนนี้ได้    

“เขาว่ากันว่าการศึกษาคือการลงทุน    แกเคยได้ยินไหม”

“แล้วแกมีเงินไปลงทุนเท่าไร”

“...ก็สาม...กว่า ๆ”

“สามล้าน?”

“ไม่ถึงหรอก”

“สามแสน?”

“ไม่ใช่”

“แล้วมันอะไรกันแน่   อย่าบอกนะว่าสามหมื่น”

“ก็ประมาณนั้นแหละ”

“นี่แกจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยเงินสามหมื่น ! ... เหรอ ... ล้อเล่นใช่ไหม”

อ๊ะ อ๊ะ  อย่าดูถูกเงินสามหมื่นสิยะ    ถึงมันจะน้อยนิดแต่ก็ทำฝันให้เป็นจริงได้เหมือนกันนะ  
    
ตอนที่เริ่มวางแผนเรื่องกลับไปเรียนต่อ   คือช่วงเวลาที่ฉันมีเงินนอนอยู่ในบัญชีประมาณหนึ่งแสนบาท   ซึ่งต่อมาก็ค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปกับค่าดำเนินการต่าง ๆ   ทั้งค่าสอบ IELST   ค่าขอวีซ่า   ค่าโน่นนี่นั่น    รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน   สุดท้ายพอถึงวันที่กำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นรอบที่สอง   เพื่อพยายามเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่สอง   ฉันเหลือเงินสดอยู่ในกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาท  

โฉนดที่ดินติดริมทะเล  คอนโดหรูย่านสาธร   พันธบัตรรัฐบาล   พระเครื่อง  แหวนเพชรมรดกจากคุณย่า   ก็ไม่มีสักอย่าง    (แล้วจะกล่าวถึงทำไม)  

ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนและใช้ชีวิตในลอนดอนมาแล้วครั้งหนึ่ง  (เขียนให้ดูดี   จริง ๆ แล้วไปเรียนภาษาและทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านไทย)   เคยสมัครเข้าเรียนป.โทในมหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังไม่ได้เรียน     เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม      ห้าปีผ่านไปความฝันยังอยู่คงเดิมและฉันยังไม่มีค่าเทอมเหมือนเดิม  
  
ความฝันนั้นเป็นเรื่องแปลก    มันก่อตัวขึ้นในจินตนาการ   จากนั้นก็เกาะติดหนึบอยู่กับเราเพื่อเฝ้าทวงถามว่าเมื่อไรจะลงมือทำฝันให้เป็นจริงเสียที    หากเราแกล้งทำหูทวนลม    มันจะเฝ้าเพียรกระซิบถามซ้ำ ๆ อยู่ร่ำไปว่า  ‘เมื่อไร  เมื่อไร   เมื่อไร...’    

และถึงจะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟังว่ายังไม่มีตังค์    ไม่มีเวลา   ตอนนี้ยังไม่พร้อม   รอให้ถูกหวยสักงวดก่อนได้ไหม ฯลฯ   แต่ดูเหมือนมันไม่เคยเข้าใจ     ยังคงตั้งคำถามเดิม ๆ รบกวนใจเรา   ‘เมื่อไร  เมื่อไร  เมื่อไร...’
    

เมื่อเห็นว่าเรายังเพิกเฉย    ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนลืมสิ่งที่เคยฝันไว้จนหมดใจ    มันก็ปล่อยท่อนฮุกหมัดเด็ดออกมา   “แล้วเธอจะมานั่งเสียดายในตอนที่มันสายเกินไปแล้ว”

เหมือนถูกเสยปลายคางจนน๊อคเอ้าท์กลางอากาศ   ฉันหลับไปและเห็นภาพตัวเองย่างเข้าสู่วัยเฒ่าชะแลแก่ชรา    คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ยังเฝ้าหลอกหลอน    แต่เปลี่ยนจากคำถามสั้น ๆ ว่า  ‘เมื่อไร  เมื่อไร   เมื่อไร...’     มาเป็นคำถามยาว ๆ ว่า   ‘ทำไมเธอไม่เดินตามความฝันของตัวเองในวันที่ยังมีโอกาส?’  

เมื่อรู้สึกตัวตื่น  ฉันได้เหตุผลใหม่มาบอกตัวเองว่า   การลงมือทำตามความฝันบางครั้งก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมายนักหรอก    
แล้วในที่สุดคำถามที่ได้ฟังซ้ำ ๆ เป็นเวลาห้าปีก็กำลังจะจบลง    

การเดินทางครั้งนี้เปรียบได้กับการกลับไปปิดจ๊อบ   ทำฝันที่ค้างเติ่งให้กลายเป็นความจริงเสียที  
    
Wiser old man กล่าวไว้ว่า  ‘คิดทำการใหญ่ต้องวางแผน’    

การเดินทางไปเรียนต่อด้วยเงินติดกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาทยิ่งต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด    ทั้งเรื่องเรียน    เรื่องงาน    เรื่องเงิน   ที่พักอาศัย   อาหารการกิน  ฯลฯ    ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยวางแผนอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านี้มาก่อน    

แต่ว่านะหลายครั้งที่เราวางแผนอะไรไว้ก็ตาม    มันมักไม่เป็นไปตามนั้นหรอก    ครั้งนี้ก็เหมือนกัน    จากตอนแรกที่คิดว่าชีวิตต่อจากนี้คงเป็นไปตามแผนการอย่างราบรื่น    แต่ก็ผิดแผนจนได้

สุดท้ายแล้วนักเรียนโข่งจะเรียนจบป.โทอย่างที่มุ่งหวังไว้หรือไม่    จะมีความเป็นอยู่แบบไหน    จะประกอบอาชีพอะไร   จะหาค่าเทอมได้หรือเปล่า     กรุณาติดตามอ่านตอนต่อ ๆ ไป

***เนื่องจากเรื่องราวต่อไปนี้เขียนขึ้นจากเรื่องจริง  จึงมีการเปลี่ยนชื่อสถานที่บางที่  
และเปลี่ยนชื่อตัวละครทุกคน  ยกเว้นชื่อคนเพียงคนเดียว  คือ น้อย***

Chapter 1
‘Hello again UK’

เช้าตรู่วันที่ 30 มกราคม    นกยักษ์ปีกม่วงที่โดยสารมาร่อนลงแตะรันเวย์สนามบินฮีทโธรว์อย่างนุ่มนวล     เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไป   พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า   บรรยากาศขมุกขมัว    อากาศข้างนอกน่าจะหนาวพอ ๆ กับช่องฟรีซในตู้เย็น  

อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็จะได้ก้าวเท้าลงสู่ดินแดนที่อยู่ในความคิดคำนึงตลอดมา ... รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกำลังจะได้กลับมาเจอคนรักเก่า    
หลายปีที่ผ่านมาฉันมักคิดถึงการนั่งอาบแดดอุ่น ๆ ต้นฤดูร้อนในสวนสาธารณะเซนต์เจมส์      

คิดถึงการเดินเล่นดูของแปลกตาที่ตลาดแคมเดน      คิดถึงหนังอินดี้ที่โรงหนังปริ้นซ์ชาร์ล     คิดถึงบรรยากาศสบาย ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์     คิดถึงการเข้าไปฉีดน้ำหอมฟรีตามร้านบู้ทส์      แล้วในวันนี้เราก็ได้พบกันเสียที    

“ลอนดอนจ๋า here I come”      
ความดีใจอันท่วมท้นทำให้การเดินทางข้ามเวลา  ข้ามทวีปที่ยาวนานกว่าสิบสามชั่วโมง     ไม่ก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียเลยสักนิด   (จะเพลียได้ไง  หลับมาตลอดทาง)      ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสดชื่นเบิกบานพร้อมแล้วสำหรับการผจญภัยครั้งใหม่      
พลังงานบวกสูบฉีดปรี๊ดปร๊าดทั่วร่าง ...   ว่าแต่ตม.จะตรวจเอกสารอีกนานไหม

พี่เขาตั้งคำถามหลายข้อ   พลิกดูเอกสารอยู่หลายรอบ   เวลาผ่านไปไม่กี่อึดใจแต่เหมือนนานเป็นชาติ    ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตม.ร่างยักษ์ประจำสนามบินฮีทโธร์วก็ส่งเอกสารทุกอย่างคืนให้     แต่กลับไม่ยอมให้ผ่านเข้าประเทศ    

พี่เขาบอกให้ไปติดต่อที่แผนกตรวจวัณโรค   ... ระดับพลังงานบวกลดลงฮวบฮาบ    เดจาวูชัด ๆ    
ชีวิตนี้ฉันเดินทางเข้าประเทศอังกฤษสองครั้ง    ถูกส่งไปตรวจสภาพปอดทั้งสองครั้ง     นี่มันหมายความว่าอะไร    

รู้สึกใจแป้วฉับพลันแม้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกและอาจไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย   เมื่อมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมชะตากรรม   ก็พบว่าคนที่ออกมาจากเครื่องลำเดียวกันผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปจนเกลี้ยงแล้ว  เหลือแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่ยังตกค้างอยู่ในนี้      

อดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีระเบียบการคัดกรองอย่างไร     อยากรู้นะแต่ไม่อยากถาม    จำใจเดินไปที่แผนกตรวจวัณโรคเพื่อรอเอ๊กซเรย์ปอด   และนั่งรวมกลุ่มอยู่กับคนหน้าตาขี้โรคจากประเทศต่าง ๆ        

‘หรือว่าจะถูกส่งกลับ...  เราไม่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทวีปมาเพื่อฉี่ทิ้งไว้ที่สนามบินฮีทโธรว์  แล้วก็นั่งเครื่องกลับบ้านสักหน่อย   มันเป็นไปไม่ด้ายยยย....’  (กรีดร้องกับตัวเอง  แล้วหยิบบรัชออนขึ้นมาปัดแก้มให้แลดูสุขภาพดีมีเลือดฝาด)  

แต่ถึงจะมีทั้งวีซ่า    ใบรับรองแพทย์   กับฟิล์มเอ๊กซเรย์ปอดซึ่งยืนยันได้ว่าสุขภาพปกติดีมิได้ป่วยเป็นโรคที่สังคมรังเกียจแต่อย่างใด   กลับไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ตม.ประจำสนามบินฮีทโธรว์จะปล่อยเราเดินฉุยฉายเข้าประเทศไปได้ง่าย ๆ      

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีภารกิจสำคัญในการสแกนหาคนที่มีสารรูปเหมือนพวกสุขภาพเสื่อมโทรม  มีแนวโน้มที่จะเป็นพาหะนำเชื้อวัณโรคเข้าสู่ราชอาณาจักร  
  
ในหนังสือ ลอนดอนไดอารี่    นิ้วกลม เล่าไว้ว่าแกก็โดนส่งตัวไปเอ๊กซเรย์ปอดหาเชื้อวัณโรคเหมือนกัน    ฉันไม่ได้รู้จักเฮียนิ้วกลมเป็นการส่วนตัว    แต่ก็พอรู้ว่าแกไม่ได้มีหุ่นสูงชะลูดตูดปอดยอดขุนพล      ออกจะบึกบึนสมส่วนดูมุมไหนก็ไม่เหมือนพวกขี้โรค    ถึงกระนั้นแกยังตกเป็นผู้ต้องสงสัย (ว่ามีเชื้อวัณโรค) จนได้    

ในเมื่อค่านิยมของคนแถวนี้คือผิวสีแทนเท่ากับสุขภาพดี    มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะผิวขาวราวไก่ต้มของพวกเรานี่แหละ  ที่ทำให้พี่ตม.คิดว่าเราป่วย      

Wiser old man กล่าวไว้ว่า   ‘คนเรามักถูกตัดสินจากเปลือกนอก’    
คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  เมื่อฉันถูกตัดสินจากเปลือกซึ่งทั้งบอบบางและขาวซีด
    
นี่ถ้าลงทุนโบกรองพื้นเบอร์เข้มให้ผิวเป็นสีแทนเหมือนเพิ่งกลับมาจากทริปอาบแดดที่สวนสยาม    ใส่เสื้อซ้อนห้าชั้นอำพรางหุ่นผอมกระหร่อง    ยอมเสียเวลานิดหน่อยตกแต่งเปลือกตัวเองให้ดูมีสุขภาพดีมากที่สุด    ฉันอาจผ่านด่านตม.ง่ายขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

สรุปแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ฉันมาเยือนลอนดอนครั้งแรก    หลังจากทำให้เสียเวลาไปตั้งสองชั่วโมง    พี่ตม.ร่างยักษ์สแตมป์ตราประทับลงในเล่มพาสปอร์ต    ก่อนจะส่งคืนให้

‘Welcome to England’    
วินาทีนั้นฉันไม่ได้รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น    กลับนึกกังวลกลัวจะคลาดกับคนที่นัดหมายไว้ว่าจะมารับ   รีบลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปที่ท่ารถโค้ช Central Bus Station  เพื่อนั่งรถต่อไปยังจุดหมายปลายทาง    ซึ่งไม่ใช่ลอนดอน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่