สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
รายได้ 5 พันเหรียญต่อเดือน หรือ 60,000 เหรียญต่อปีเท่ากับรายได้ของคนอเมริกัน 2 คน
ถุ๊ย!!! นึกว่าคนอื่นโง่ไม่เคยไปเหยียบอเมริกาหรือไง รายได้นี้มันรายได้แบบรายได้ขั้นต่ำสุด เช่น พวกขายของตามร้านเซเว่น พนักงานจัดของตามซุปเปอร์ พนักงานทำความสะอาดในห้าง แล้วMueng
ขนาดเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร 2 คนรายได้ยังเกินเดือนละ 5000 เหรียญต่อเดือนเลย
คนขับรถยังรายได้ประมาณ 8,000 เหรียญต่อเดือนเลย
แล้วMuengทั้งคู่ เป็นหมอฟันนะ หมอฟัน!!! สามีของเพื่อนเป็นอาจารย์สอนหมอฟันในมหาวิทยาลัย
แล้วก็ทำงานในคลีนิคด้วย อาทิตย์นึงอย่างขี้เกียจๆนะ 3,000 เหรียญ หลังแทกซ์
ส่วนรายได้ของพอร์ชก็จ่ายค่า Childcare ลูกหมด มันใช่เหรอ?
ค่า childcare ประมาณอาทิตย์ละ 500-600 แค่นั้นแหละ ไม่งั้นลูกของคนที่เค้าทำงานรายได้น้อยๆ จะมีปัญญาไปเรียนเหรอ เช่น พ่อแม่เป็นพนักงานตามร้านฟาสฟู้ดแบบเนี้ย ลูกเค้าจะเรียนได้ไงในเมื่อเงินเดือนหมอฟันต้องจ่ายค่ารร.ลูกหมด
อีกอย่างคอนโดบ้าบออะไรราคาแค่ 15,000 เหรียญ คอนโดกระจอกงอกง่อยห้องเดียว ราคาก็ประมาณ 350,000 เหรียญแล้ว มาบอกว่าขายคอนโดได้แค่หมื่นห้า มันน่าเชื่อไหม๊ ถ้าจะตอlae ก็เอาให้เนียน!!!
Mueng ไม่เคยคิดจะชดใช้เค้าเลยมากกว่า เวลาผ่านมาตั้งไม่รู้กี่ปี ตั้งแต่ก่อนมีลูกอีก ยังไม่สำนึกนะ
ถุ๊ย!!! นึกว่าคนอื่นโง่ไม่เคยไปเหยียบอเมริกาหรือไง รายได้นี้มันรายได้แบบรายได้ขั้นต่ำสุด เช่น พวกขายของตามร้านเซเว่น พนักงานจัดของตามซุปเปอร์ พนักงานทำความสะอาดในห้าง แล้วMueng
ขนาดเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร 2 คนรายได้ยังเกินเดือนละ 5000 เหรียญต่อเดือนเลย
คนขับรถยังรายได้ประมาณ 8,000 เหรียญต่อเดือนเลย
แล้วMuengทั้งคู่ เป็นหมอฟันนะ หมอฟัน!!! สามีของเพื่อนเป็นอาจารย์สอนหมอฟันในมหาวิทยาลัย
แล้วก็ทำงานในคลีนิคด้วย อาทิตย์นึงอย่างขี้เกียจๆนะ 3,000 เหรียญ หลังแทกซ์
ส่วนรายได้ของพอร์ชก็จ่ายค่า Childcare ลูกหมด มันใช่เหรอ?
ค่า childcare ประมาณอาทิตย์ละ 500-600 แค่นั้นแหละ ไม่งั้นลูกของคนที่เค้าทำงานรายได้น้อยๆ จะมีปัญญาไปเรียนเหรอ เช่น พ่อแม่เป็นพนักงานตามร้านฟาสฟู้ดแบบเนี้ย ลูกเค้าจะเรียนได้ไงในเมื่อเงินเดือนหมอฟันต้องจ่ายค่ารร.ลูกหมด
อีกอย่างคอนโดบ้าบออะไรราคาแค่ 15,000 เหรียญ คอนโดกระจอกงอกง่อยห้องเดียว ราคาก็ประมาณ 350,000 เหรียญแล้ว มาบอกว่าขายคอนโดได้แค่หมื่นห้า มันน่าเชื่อไหม๊ ถ้าจะตอlae ก็เอาให้เนียน!!!
Mueng ไม่เคยคิดจะชดใช้เค้าเลยมากกว่า เวลาผ่านมาตั้งไม่รู้กี่ปี ตั้งแต่ก่อนมีลูกอีก ยังไม่สำนึกนะ
แสดงความคิดเห็น
มาดูรายจ่ายชีวิตคนอเมริกัน คนไทยกลับบ้านมาอยู่เมืองไทยดีฟ่าาา
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000017591
จากภาวะการเงินของเรา ณ ขณะนี้ รายได้ของพอร์ชหลังหักภาษีรายได้รัฐบาลรวมและภาษีรายได้รัฐที่ทางผู้ว่าจ้างจะหักแล้ว ที่เหลือจะนำไปชำระค่าสถานเลี้ยงเด็กของลูกของเรา และเงินกู้ซึ่งเธอได้กู้มาจำนวน 5 หมื่นเหรียญนั้น ได้ถูกโอนไปให้ติ๊คแล้ว ก่อนที่เราจะมีลูก และก่อนที่ผมกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน รายได้ของเธอนั้นได้นำไปชำระค่าเช่าบ้านและค่าทนายที่ดำเนินเรื่องในเรื่องกรมตรวจคนเข้าเมือง ในช่วงเวลา 3 ปี เธอไม่ได้มีรายได้เลย และไม่มีทรัพย์สินด้วย และผมเป็นผู้ที่ดูแลอุปการะเธอในช่วงนั้น ซึ่งก็ทำให้ทรัพย์สินของผมก็ลดลงด้วย
รายได้ของผมหลังจากหักภาษีรายได้ หักค่าประกันสุขภาพ (รัฐบาลบังคับให้ทุกคนซื้อประกันสุขภาพ ซึ่งหมายถึงต้องชำระภาษีเพิ่ม) ทำให้รายได้ผมลดลง 1,100 เหรียญ และรายได้ที่เหลือผมก็ต้องทำไปจ่ายค่าผ่อนบ้านของเรา ซึ่งเป็นบ้านที่ผมซื้อโดยที่พอร์ชไม่ได้ร่วมชำระค่าเงินดาว์นบ้าน การที่ผมซื้อก็เพื่อที่ว่าผม ภรรยาและลูกจะได้อยู่ในเมืองเดียวกัน การกู้เงินในการผ่อนบ้านนั้น ธนาคารได้อนุมัติโดยดูจากรายได้ของผม รายได้จากการขายคอนโด และรายได้ของพอร์ช (ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้ในการชำระเป็นค่าเช่าบ้าน ซึ่งตอนนั้นเรานึกว่าจะสามารถนำเงินส่วนนี้มาชำระผ่อนบ้านแทน และหลักจากมีลูกแล้วเงินส่วนนี้ก็นำไปชำระค่าสถานเลี้ยงเด็กแทน เพื่อที่เธอจะได้ไปทำงานได้ - ถ้าไม่จ่ายค่าสถานเลี้ยงเด็ก ก็ไม่สามารถทำงานมีรายได้ …. ถ้าไม่ทำงาน ก็ไม่สามารถชำระค่าผ่อนบ้าน หรือขอเงินกู้เพิ่มได้) หลังจากที่ทางเราได้อธิบายไปหลายครั้งแล้วว่า เราได้ทำทุกวิถีทางในการหาเงินกู้ชำระให้กับผู้ค้ำประกันพอร์ช แต่ทางเราก็ได้รับการปฏิเสธการกู้ เพราะรายได้ของพอร์ชเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะเหลือแค่ศูนย์ และของผมก็ติดลบ
ผมได้ชี้แจ้งแล้วว่า หลังจากขายคอนโดของผมแล้ว (ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องกับพอร์ช และเธอก็ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของ ฉะนั้นก็จะไม่นับเป็นทรัพย์สินที่ทางผู้ค้ำประกันจะหวังว่าจะฟ้องร้องได้ ) และผมได้เซ็นสัญญากับธนาคารว่ารายได้จากการขายคอนโดจะใช้ค้ำเงินกู้ในการซื้อบ้านใหม่ ผมคิดว่าหลังขายคอนโดนแล้วคงจะเหลือประมาณ 5 หมื่นเหรียญหลังจากหักค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเครื่องทำความร้อนและระบบแอร์ที่เก่า 17 ปี และหักค่าใช้จ่ายซ่อมแซมคอนโดชั้นล่างที่เสียหายจากน้ำรั่วจากยูนิตเรา และค่าซ่อมแซมอื่นๆที่จะทำให้คอนโดดูดีขึ้นเพื่อง่ายในการขาย และรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขนย้ายสิ่งของของผมด้วย ถ้าผมรีบขายโดยการลดราคา เงินคงเหลือที่กล่าวไว้ข้างต้นก็จะลดลงยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงว่าจะสามารถชำระคืนผู้ค้ำประกันน้อยยิ่งขึ้น
จากการคำนวณคร่าว ๆ ถ้าผมให้เงินเหลือที่ได้จากการขายคอนโด 5 หมื่นเหรียญ และยังเหลืออีก 150,000 เหรียญที่ต้องชำระภายใน 2.5 ปี (30 เดือน) ตามที่เรียกร้องนั้น ก็คือ 150,000 หาร 30 เดือน ก็เท่ากับ 5 พันเหรียญต่อเดือน ถ้าจำนวนเงิน 5 พันเหรียญหลักหักภาษีรายได้แล้ว ก็หมายถึงรายได้ต่อปี 6 หมื่นเหรียญหลังหักภาษี ซึ่งก็สูงกว่ารายได้เฉลี่ยอเมริกันของ 2 คนที่ทำงานเต็มเวลา คุณไม่สามารถเถียงผมได้จากตัวเลขเหล่านี้ เพราะฉะนั้นผมและภรรยาไม่สามารถชำระเงินได้จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น
นอกเหนือจากนั้น ตัวเลขเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายคร่าวๆรายเดือนของผม
ค่าส่วนกลางคอนโด 727.09
ภาษีที่ดินคอนโด 400 (4800 ต่อปี)
ค่าไฟ 180
ค่าน้ำ/ค่าบำบัดน้ำทิ้ง 300 (3600 ต่อปี)
ค่าแก๊สโพรเพน ( เพื่อทำอาหารและเพื่อทำน้ำอุ่น) 300 (ช่วงหน้าหนาวจะมาก ช่วงหน้าร้อนจะน้อย 3600 ต่อปี)
ค่าซ่อมแซมรถและค่าน้ำมัน 400 ( จริงๆแล้วผมต้องจ่าย 5 พัน- 6 พันเหรียญอาทิตย์นี้ เพราะได้ทำการเปลี่ยนเครื่องยนต์รถที่เก่า 18 ปีของผม เพราะสายพานรถยนต์เสีย ทำให้เครื่องยนต์เสียตาม ซึ่งเป็นรถยนต์คันเดียวของเรา ขอย้ำอีกครั้งว่ารถคันนี้ผมซื้อก่อนที่จะรู้จักกับพอร์ช ซึ่งรถนี้ไม่มีชื่อเธอเป็นเจ้าของร่วม)
ค่าอาหาร 600
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าผ้าอ้อม ค่าดูแลบ้าน ฯลฯ) 500
ค่าประกันอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธนาคารเรียกร้องให้ซื้อ 1500 ต่อ
ค่าประกันรถยนต์ 1100 ต่อปี
ถูกต้อง หลังจากขายคอนโดแล้ว ค่าส่วนกลางคอนโดและภาษีที่ดินคอนโดก็ไม่ต้องชำระต่อไป แต่เชื่อผมเถอะ ผมก็อยากจะขายคอนโดโดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว เพราะรำคาญที่ยังต้องชำระค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้ ปัญหาก็คือ ผมไม่สามารถจะลางานได้หนึ่งเดือนและเงินเดือนหายหนึ่งเดือนจากการลา และยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีก ถ้าผมไม่มีงาน สุดท้ายก็ไม่สามารถชำระเงินคืนผู้ค้ำประกันได้