ท่านที่เคารพรักครับ ประเด็นพระ เป็นข่าวโด่งดัง และสับสน เพราะมีอย่างที่ไหน ทางโลก ไปหาทางออก ให้ ทางธรรม
และที่หนักเข้าไปอีก คือ พระรูปหนึ่ง ที่ถือว่าเป็น ทางธรรม ดอดมายุ่งเกี่ยวกับ ทางโลก
ในยุทธจักรคนสู้คนแล้วนั้น พระ ถือเป็นเผือกร้อน ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งและเข้าไปแตะต้อง
ซึ่งหากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้ง ผู้ประพันธ์ ดาบมรกต ถือเป็นข้อห้ามไว้ด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างมาเล่านั่นคือว่า
ในเรื่องดาบมรกตนั้น “ตวนเง็ก” ได้รับคำสั่งให้ท่องจำ “ บัญญัติทั้งเจ็ดประการ ” ที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ตอแยความยุ่งยากในยุทธจักร อันได้แก่
หนึ่ง ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ
สอง ห้ามไม่ให้คบหาสหายแปลกหน้า
สาม ห้ามไม่ให้เล่นพนันกับคนแปลกหน้า
สี่ อย่าได้สร้างศัตรูกับ หลวงจีน นักพรต และขอทาน
ห้า อย่าอวดรวยต่อสาธารณชน
หก อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นโดยง่าย
เจ็ด ห้ามคบหากับสตรีแปลกหน้า ซึ่งข้อนี้ถือว่าสำคัญที่สุด
บทบัญญัติเจ็ดประการสำหรับจอมยุทธที่ไม่อยากแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนนี้ เป็นคำสอนที่บิดาของพระเอกของเรื่อง
ได้สั่งสอนให้ลูกชายท่องจำ เนื่องจาก “ตวนเง็ก” ได้รับมอบหมายจาก “นายผู้เฒ่าแซ่ตวน”
ให้ออกมาโลดแล่นในยุทธจักร เพื่อไปหาคู่ครอง
ท่านที่เคารพรักครับ มนุษย์นั้นเกิดมาอย่างเดียวดาย แต่ในการใช้ชีวิตที่มีปัญหาคือการร่วมชีวิต คือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
นี่คือปัญหาของคนมาโดยตลอด เพราะลึกๆแล้ว มนุษย์เรียกร้องและปรารถนา ให้มีใครสักคนมาเข้าใจ ซึ่งมนุษย์ใช้คำว่า หาคู่
ทั้งๆที่เกิดมาอย่างเดียวดาย สุดท้าย มนุษย์ก็ไปอย่างเดียวดายเหมือนเดิม
ชีวิตมนุษย์ที่เกิดล้วนไขว่คว้า ล้วนค้นหา และมีมากมาย หลายชีวิต ที่ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งค้นหา ก็ยิ่งพบแต่ความว่างเปล่า
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน ระหว่างนักการเมือง ระหว่างผู้ปกครอง ล้วนแล้วแต่ผูกเป็นเงื่อนปม
ที่สับสนยุ่งเยิง ที่จะรักและผูกพันกันก็ได้ หรือเกลียดชังกัน ก็ได้ อยู่ที่ แต่ละคนจะเลือก แต่ใช่ว่าเลือกแล้ว จะได้มาอย่างที่ตนต้องการ
บางคนดิ้นรนอยากได้ความรัก ก็ได้ความรักจอมปลอม ทั้งๆที่ต้องเอาเรือนร่างไปแลกมาซึ่งคำว่ารัก แต่สิ่งที่ได้กลับคืน มีแต่ความขื่นขม
บางคนอยากได้กระเป๋าแบรนท์เนม ก็ได้กระเป๋าก๊อปเกรดเอปลอมเลียนแบบ เสียเงิน เสียทองไปกับความซื่อ ความไร้เดียงสา และความอ่อนต่อโลก
ซึ่งทุกๆอย่างในโลกนี้ สิ่งที่มนุษย์อยากได้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีอะไร ไปแลกมา ไม่เคยได้มาฟรีๆ
บางคนอยากได้ประชาธิปไตย บางคนอยากได้ เลือกตั้ง …..
ความจริง หากแต่ละชีวิตดำเนินกันไปตามลักษณะ กิน อี้ บี้ นอน ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มันมีปัญหา นั่นก็เพราะมีคำถามประโยคหนึ่งที่ว่า
“ คนเราเกิดมาทำไมกัน กินอยู่สืบพันธ์เท่านั้นหรือ ? "
คำถามสั้นๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่หลวง ปัญหานี้ มนุษย์จึงวุ่นวายหาทางออก ตั้งแต่อดีตเราจึงเห็นการเกิดขึ้นของ ผู้ทรงศีลประเภทต่างๆ
ตามแต่จะเรียกกันไป ตามแต่จะถือปฏิบัติกันไป เช่น ฤษีชีไพร สิทธา โยคี มุนี ดาบส ชฎิล และสุดท้าย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
ค้นพบทางออกที่แท้จริง นักบวชประเภทต่างๆ ที่หลากหลายจึงหมดไป เหลือเพียงสองแนวทางเท่านั้นคือ
หนึ่ง ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางพ้นทุกข์ ตามรอยพระพุทธเจ้า
สอง พวกบวชและปฏิบัติแบบพวกนอกรีต
.....................................
ขอน้อมคารวะครับ พี่ๆที่ระลึกถึงเสมอมาครับ
อาร์ต โฟล์คสวาเกน
ยิ่งลักษณ์ ยิ้มเย้ยยุทธจักร ข้อห้ามของชีวิต ที่ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว
และที่หนักเข้าไปอีก คือ พระรูปหนึ่ง ที่ถือว่าเป็น ทางธรรม ดอดมายุ่งเกี่ยวกับ ทางโลก
ในยุทธจักรคนสู้คนแล้วนั้น พระ ถือเป็นเผือกร้อน ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งและเข้าไปแตะต้อง
ซึ่งหากพูดตามสำนวนกำลังภายในของท่านโกวเล้ง ผู้ประพันธ์ ดาบมรกต ถือเป็นข้อห้ามไว้ด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างมาเล่านั่นคือว่า
ในเรื่องดาบมรกตนั้น “ตวนเง็ก” ได้รับคำสั่งให้ท่องจำ “ บัญญัติทั้งเจ็ดประการ ” ที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ตอแยความยุ่งยากในยุทธจักร อันได้แก่
หนึ่ง ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ
สอง ห้ามไม่ให้คบหาสหายแปลกหน้า
สาม ห้ามไม่ให้เล่นพนันกับคนแปลกหน้า
สี่ อย่าได้สร้างศัตรูกับ หลวงจีน นักพรต และขอทาน
ห้า อย่าอวดรวยต่อสาธารณชน
หก อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นโดยง่าย
เจ็ด ห้ามคบหากับสตรีแปลกหน้า ซึ่งข้อนี้ถือว่าสำคัญที่สุด
บทบัญญัติเจ็ดประการสำหรับจอมยุทธที่ไม่อยากแกว่งเท้าไปหาเสี้ยนนี้ เป็นคำสอนที่บิดาของพระเอกของเรื่อง
ได้สั่งสอนให้ลูกชายท่องจำ เนื่องจาก “ตวนเง็ก” ได้รับมอบหมายจาก “นายผู้เฒ่าแซ่ตวน”
ให้ออกมาโลดแล่นในยุทธจักร เพื่อไปหาคู่ครอง
ท่านที่เคารพรักครับ มนุษย์นั้นเกิดมาอย่างเดียวดาย แต่ในการใช้ชีวิตที่มีปัญหาคือการร่วมชีวิต คือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
นี่คือปัญหาของคนมาโดยตลอด เพราะลึกๆแล้ว มนุษย์เรียกร้องและปรารถนา ให้มีใครสักคนมาเข้าใจ ซึ่งมนุษย์ใช้คำว่า หาคู่
ทั้งๆที่เกิดมาอย่างเดียวดาย สุดท้าย มนุษย์ก็ไปอย่างเดียวดายเหมือนเดิม
ชีวิตมนุษย์ที่เกิดล้วนไขว่คว้า ล้วนค้นหา และมีมากมาย หลายชีวิต ที่ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งค้นหา ก็ยิ่งพบแต่ความว่างเปล่า
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน ระหว่างนักการเมือง ระหว่างผู้ปกครอง ล้วนแล้วแต่ผูกเป็นเงื่อนปม
ที่สับสนยุ่งเยิง ที่จะรักและผูกพันกันก็ได้ หรือเกลียดชังกัน ก็ได้ อยู่ที่ แต่ละคนจะเลือก แต่ใช่ว่าเลือกแล้ว จะได้มาอย่างที่ตนต้องการ
บางคนดิ้นรนอยากได้ความรัก ก็ได้ความรักจอมปลอม ทั้งๆที่ต้องเอาเรือนร่างไปแลกมาซึ่งคำว่ารัก แต่สิ่งที่ได้กลับคืน มีแต่ความขื่นขม
บางคนอยากได้กระเป๋าแบรนท์เนม ก็ได้กระเป๋าก๊อปเกรดเอปลอมเลียนแบบ เสียเงิน เสียทองไปกับความซื่อ ความไร้เดียงสา และความอ่อนต่อโลก
ซึ่งทุกๆอย่างในโลกนี้ สิ่งที่มนุษย์อยากได้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีอะไร ไปแลกมา ไม่เคยได้มาฟรีๆ
บางคนอยากได้ประชาธิปไตย บางคนอยากได้ เลือกตั้ง …..
ความจริง หากแต่ละชีวิตดำเนินกันไปตามลักษณะ กิน อี้ บี้ นอน ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มันมีปัญหา นั่นก็เพราะมีคำถามประโยคหนึ่งที่ว่า
“ คนเราเกิดมาทำไมกัน กินอยู่สืบพันธ์เท่านั้นหรือ ? "
คำถามสั้นๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่หลวง ปัญหานี้ มนุษย์จึงวุ่นวายหาทางออก ตั้งแต่อดีตเราจึงเห็นการเกิดขึ้นของ ผู้ทรงศีลประเภทต่างๆ
ตามแต่จะเรียกกันไป ตามแต่จะถือปฏิบัติกันไป เช่น ฤษีชีไพร สิทธา โยคี มุนี ดาบส ชฎิล และสุดท้าย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้
ค้นพบทางออกที่แท้จริง นักบวชประเภทต่างๆ ที่หลากหลายจึงหมดไป เหลือเพียงสองแนวทางเท่านั้นคือ
หนึ่ง ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางพ้นทุกข์ ตามรอยพระพุทธเจ้า
สอง พวกบวชและปฏิบัติแบบพวกนอกรีต
.....................................
ขอน้อมคารวะครับ พี่ๆที่ระลึกถึงเสมอมาครับ
อาร์ต โฟล์คสวาเกน