พุทธศาสนา : ศาสนาแห่งการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงการท่องจำ
ปริยัติ – อริยสัจสี่เป็นแก่นเดียว
พระพุทธศาสนา แม้เพียง อริยสัจสี่ เรื่องเดียว ก็เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ผู้ใดเข้าใจและปฏิบัติตาม ก็เพียงพอที่จะนำพาตนเองให้ถึงความพ้นทุกข์ได้แล้ว
การท่องจำพระธรรมคำสอนมาตั้งแต่ประถม แม้เป็นบุญ แต่หากขาดการปฏิบัติ ก็ไม่ต่างอะไรกับเพียงเก็บข้อมูลไว้ในสมอง ไม่อาจเกิด “ปฏิเวธ” หรือผลที่สัมผัสได้จริง
พุทธศาสนาเปิดให้แย้ง–พิสูจน์ได้
ความต่างที่เด่นชัดระหว่าง พระพุทธศาสนา กับ ศาสนาแบบพระเจ้า คือ พระพุทธองค์ไม่ห้ามการโต้แย้ง ไม่ห้ามการพิสูจน์ ท่านยังตรัสไว้ตั้งแต่พุทธกาลว่า “ธรรมของเรานี้ พึงพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ มิใช่เชื่อเพียงเพราะคำสอน”
ดังนั้น ผู้ที่เรียนพุทธะเพียงเพื่อท่องจำ แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ย่อมเสมือน “โมฆบุรุษ” คือผู้ว่างเปล่า ไม่อาจสัมผัสผลจริงได้
กินข้าวชาวบ้าน แต่ไม่ปฏิบัติ
ภิกษุในพระศาสนา หากเพียงอาศัยข้าวปลาอาหารจากญาติโยม แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ย่อมก่อบาปอันหนัก เพราะไม่ทำหน้าที่แท้จริงของผู้บวช ผลที่รออยู่คืออบาย มิใช่ทางแห่งพระนิพพาน
ศาสนาแบบพระเจ้า – เน้นการเชื่อฟัง
ในศาสนาที่อิงพระเจ้า ทุกตัวอักษรในคัมภีร์ถือเป็นคำสั่งห้ามโต้แย้ง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติใด ๆ เพียงท่องจำและเชื่อฟัง ก็ถือว่าเป็นศาสนิกแล้ว จากนั้นรอเพียง “ปาฏิหาริย์” มาช่วยเหลือ
พุทธศาสนา – ศาสตร์แห่งการข้ามพ้นทุกมิติ
ตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาเป็น ศาสตร์แห่งการค้นหา–พิสูจน์–ปฏิบัติ ลงลึกสู่ใจ จนสามารถก้าวพ้นกรอบทุกมิติที่ครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น มิติแห่งกาย จิต เวลา หรือแม้แต่ความคิดปรุงแต่ง
ความพ้นนั้นเรียกว่า อกาลิโก – ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอปาฏิหาริย์ แต่สัมผัสได้ในปัจจุบัน เมื่อปฏิบัติถูกต้อง
นิพพาน – พ้นจากมิติเวลา
สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ การที่พระพุทธศาสนาชี้ชัดว่า “ยังมีสภาวะที่พ้นจากกาลเวลา” ผู้ที่ปฏิบัติถึงย่อมรู้เองโดยตรง นี่คือสิ่งที่ไม่มีในศาสนาอื่น ๆ เป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาเท่านั้น
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการท่องจำ แต่คือ วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ หากหยุดอยู่ที่ปริยัติ ย่อมเป็นเพียงความรู้แห้งแล้ง แต่หากลงมือภาวนา จิตจะพ้นทุกมิติทั้งปวง กระทั่งพ้นแม้กาลเวลา เข้าสู่ความจริงสูงสุด – พระนิพพาน
พุทธศาสนา : ศาสนาแห่งการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงการท่องจำ
ปริยัติ – อริยสัจสี่เป็นแก่นเดียว
พระพุทธศาสนา แม้เพียง อริยสัจสี่ เรื่องเดียว ก็เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ผู้ใดเข้าใจและปฏิบัติตาม ก็เพียงพอที่จะนำพาตนเองให้ถึงความพ้นทุกข์ได้แล้ว
การท่องจำพระธรรมคำสอนมาตั้งแต่ประถม แม้เป็นบุญ แต่หากขาดการปฏิบัติ ก็ไม่ต่างอะไรกับเพียงเก็บข้อมูลไว้ในสมอง ไม่อาจเกิด “ปฏิเวธ” หรือผลที่สัมผัสได้จริง
พุทธศาสนาเปิดให้แย้ง–พิสูจน์ได้
ความต่างที่เด่นชัดระหว่าง พระพุทธศาสนา กับ ศาสนาแบบพระเจ้า คือ พระพุทธองค์ไม่ห้ามการโต้แย้ง ไม่ห้ามการพิสูจน์ ท่านยังตรัสไว้ตั้งแต่พุทธกาลว่า “ธรรมของเรานี้ พึงพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติ มิใช่เชื่อเพียงเพราะคำสอน”
ดังนั้น ผู้ที่เรียนพุทธะเพียงเพื่อท่องจำ แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ย่อมเสมือน “โมฆบุรุษ” คือผู้ว่างเปล่า ไม่อาจสัมผัสผลจริงได้
กินข้าวชาวบ้าน แต่ไม่ปฏิบัติ
ภิกษุในพระศาสนา หากเพียงอาศัยข้าวปลาอาหารจากญาติโยม แต่ไม่ตั้งใจปฏิบัติ ย่อมก่อบาปอันหนัก เพราะไม่ทำหน้าที่แท้จริงของผู้บวช ผลที่รออยู่คืออบาย มิใช่ทางแห่งพระนิพพาน
ศาสนาแบบพระเจ้า – เน้นการเชื่อฟัง
ในศาสนาที่อิงพระเจ้า ทุกตัวอักษรในคัมภีร์ถือเป็นคำสั่งห้ามโต้แย้ง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติใด ๆ เพียงท่องจำและเชื่อฟัง ก็ถือว่าเป็นศาสนิกแล้ว จากนั้นรอเพียง “ปาฏิหาริย์” มาช่วยเหลือ
พุทธศาสนา – ศาสตร์แห่งการข้ามพ้นทุกมิติ
ตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาเป็น ศาสตร์แห่งการค้นหา–พิสูจน์–ปฏิบัติ ลงลึกสู่ใจ จนสามารถก้าวพ้นกรอบทุกมิติที่ครอบงำ ไม่ว่าจะเป็น มิติแห่งกาย จิต เวลา หรือแม้แต่ความคิดปรุงแต่ง
ความพ้นนั้นเรียกว่า อกาลิโก – ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอปาฏิหาริย์ แต่สัมผัสได้ในปัจจุบัน เมื่อปฏิบัติถูกต้อง
นิพพาน – พ้นจากมิติเวลา
สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ การที่พระพุทธศาสนาชี้ชัดว่า “ยังมีสภาวะที่พ้นจากกาลเวลา” ผู้ที่ปฏิบัติถึงย่อมรู้เองโดยตรง นี่คือสิ่งที่ไม่มีในศาสนาอื่น ๆ เป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาเท่านั้น
พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งการท่องจำ แต่คือ วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ หากหยุดอยู่ที่ปริยัติ ย่อมเป็นเพียงความรู้แห้งแล้ง แต่หากลงมือภาวนา จิตจะพ้นทุกมิติทั้งปวง กระทั่งพ้นแม้กาลเวลา เข้าสู่ความจริงสูงสุด – พระนิพพาน