ภูลังกา ภูนม ตั้งอยู่ในวนอุทยานภูลังกา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่ อ.เชียงคำและอ.ปง จังหวัดพะเยา เส้นทางนี้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสามารถเชื่อมจากจังหวัดเชียงราย เข้าสู่ อ.เทิง - กิ่ง อ.ภูซาง - อ.เชียงคำ - อ.ปง แล้วเที่ยวต่อจังหวัดน่าน ซึ่งเส้นทางเชื่อมโยงมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติที่มีความน่าสนใจอยู่มากมายค่ะ เช่น ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว น้ำตกภูซาง ดอยเสมอดาว เป็นต้น หรือจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น ไร่เชิญตะวัน วัดนันตาราม วัดพระนั่งดิน วัดภูมินทร์ เป็นต้น
พูดถึงยอดยอดภูลังกาเอง โดยปกติแล้วเราจะต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เป็นระยะประมาณ 3 กิโลเมตรเพราะเส้นทางก็หนักหนาอยู่ค่ะ พอถึงบริเวณตีนดอย(ยังเรียกว่าตีนดอยอยู่มั้ง) ก็เดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร พอเดินขึ้นไปก็จะเจอทางแยก แยกซ้ายเป็นภูนม แยกขวาเป็นทางไปยอดภูลังกา ปลายสุดมีแท่นเทวดาอยู่ค่ะ .....แต่ทริปนี้บังเอิญเป็นช่วงอากาศหนาว ฝนตก เรียกว่ารถก็ต้องพันโซ่ขึ้น แต่ด้วยความตั้งใจที่เรามาถึงตีนดอยขั้นแรกแล้ว และสอบถามเจ้าหน้าที่ความสวยงามและความปลอดภัยแล้ว.....เราจึงตัดสินใจตบเท้าเดินขึ้น ระยะทางไปกลับโดยประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ ดูรูปไปด้วยดีกว่าค่ะ
เริ่มจากตีนดอยเราดูเหมือนจะพร้อมมากสังเกตรองเท้า ^__^ และร่มหักๆ ห่วยๆ ที่อยู่ในรถเผื่อฝนจะตก
ระหว่างเดินไป หมอกลงค่ะ แดดก็เริ่มแทรกตัวมาเห็นเป็นลำแสง โอ๊ววว แสงเทพโดยไม่ต้อง Photoshop
เดินได้ประมาณม่อนดอยแรก เราก็ได้พบกับผลไม้ป่า ลูกคล้ายมะกอกน้ำค่ะ แต่กินได้เฉพาะเมล็ดข้างในซึ่งเมล็ดข้างในก็มีแค่นี้ เราไม่รู้ว่ามันชื่อลูกอะไร แต่เราเรียกมันว่า มะจิ้ม เพราะเวลากินเราต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มรูตรงกลางแล้วแงะออกมา แล้วเนื้อที่เรากินเล็กกว่าก้อนขี้มูกเราอีกค่ะ แต่เราก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
เดินมาแล้วนึกว่าครึ่งกิโลเมตร ที่แท้ยังไม่ได้เริ่ม จากจุดนี้เจอป้ายค่ะ เรียกได้ว่าเดินต่อไปอีก 2 กิโลเมตรไหมล่ะ
ระหว่างนี้ทางลูกรัง ดินแดงลื่นปื๊ดๆค่ะ เราเลยเดินฟังเสียงนก ชมไม้ เพื่อลดความกดดันทางเท้าค่ะซึ่งก็ช่วยได้มาก
นี่เป็นดอกเอื้องผึ้ง เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่งค่ะ พบเห็นอยู่ทั่วไปบนต้นไม้ คิดภาพดูนะคะเวลาที่ดอกออกสีเหลืองเป็นพวงห้อยลงมาเต็มๆ จะสวยขนาดไหน
แป๊ปเดียวเราเดินมาถึงทางเรียบ ทางสะดวก ข้างทางเป็นสนไม้เกี๊ยะ จุดนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วนะคะ ดีใจ!! ^__^
แล้วเราก็มาถึงจุดที่เรียกว่า ตีนดอย จุดนี้เป็นลานโล่ง ต้นไม้ใหญ่ไม่ค่อยมีแล้วค่ะเพราะที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1000 กิโลเมตร และจุดจุดนี้นี่เองที่!!!
ปกติเขาจะเอารถมาจอดตรงนี้แล้วเดินขึ้นยอดดอยค่ะ
ไม่รีรอค่ะ เดินต่อไปยอดภู สภาพภูมิทัศน์วันนี้ หมอกคละคลุ้งค่ะ นั่งนิ่งๆนอกจากจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นด้วยอัตรา 150 ครั้งต่อนาทีแล้ว ก็เป็นเสียงลมพัดแรง เสียงฝนตกที่อยู่ตรงหุบเขา นั่นก็คือตรงข้างล่างนั่น ฝนตก!!! คือก้อนเมฆอ้วนเกินไป ไต่เขาขึ้นมาไม่ได้ก็เลยกลั่นหยดน้ำอยู่ข้างล่างนั่น
ระหว่างเดินสันเขา เรานั่งนิ่งฟังเสียงลม คิดว่าอื่อ.....ถ้าฝนตกเราคงเปียกเป็นแน่แท้ และเวลานี้ก็ปาไป สี่โมงเย็น กว่าจะถึงตีนของตีนดอยก็คงหกโมงโดยประมาณ เราสามคนจึงพร้อมกันพยักหน้า กลับเถอะ! พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่า เราเดินมาจากตีนดอยของตีนดอย มาถึงจุดจุดนี้ก็พอแล้ว
ระหว่างทางลง ก็ลื่นปี๊ดและล้มขาพับไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน
ขอจบทริปนี้ด้วยรูปนี้นะคะ บอกเลยว่า เละ! รู้เรื่อง!
===========================================
ตามมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ
www.facebook.com/nannwm
[CR] เมื่อฉันเดินขึ้นภูลังกา
พูดถึงยอดยอดภูลังกาเอง โดยปกติแล้วเราจะต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เป็นระยะประมาณ 3 กิโลเมตรเพราะเส้นทางก็หนักหนาอยู่ค่ะ พอถึงบริเวณตีนดอย(ยังเรียกว่าตีนดอยอยู่มั้ง) ก็เดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร พอเดินขึ้นไปก็จะเจอทางแยก แยกซ้ายเป็นภูนม แยกขวาเป็นทางไปยอดภูลังกา ปลายสุดมีแท่นเทวดาอยู่ค่ะ .....แต่ทริปนี้บังเอิญเป็นช่วงอากาศหนาว ฝนตก เรียกว่ารถก็ต้องพันโซ่ขึ้น แต่ด้วยความตั้งใจที่เรามาถึงตีนดอยขั้นแรกแล้ว และสอบถามเจ้าหน้าที่ความสวยงามและความปลอดภัยแล้ว.....เราจึงตัดสินใจตบเท้าเดินขึ้น ระยะทางไปกลับโดยประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 ชม. ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ ดูรูปไปด้วยดีกว่าค่ะ
เริ่มจากตีนดอยเราดูเหมือนจะพร้อมมากสังเกตรองเท้า ^__^ และร่มหักๆ ห่วยๆ ที่อยู่ในรถเผื่อฝนจะตก
ระหว่างเดินไป หมอกลงค่ะ แดดก็เริ่มแทรกตัวมาเห็นเป็นลำแสง โอ๊ววว แสงเทพโดยไม่ต้อง Photoshop
เดินได้ประมาณม่อนดอยแรก เราก็ได้พบกับผลไม้ป่า ลูกคล้ายมะกอกน้ำค่ะ แต่กินได้เฉพาะเมล็ดข้างในซึ่งเมล็ดข้างในก็มีแค่นี้ เราไม่รู้ว่ามันชื่อลูกอะไร แต่เราเรียกมันว่า มะจิ้ม เพราะเวลากินเราต้องใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มรูตรงกลางแล้วแงะออกมา แล้วเนื้อที่เรากินเล็กกว่าก้อนขี้มูกเราอีกค่ะ แต่เราก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
เดินมาแล้วนึกว่าครึ่งกิโลเมตร ที่แท้ยังไม่ได้เริ่ม จากจุดนี้เจอป้ายค่ะ เรียกได้ว่าเดินต่อไปอีก 2 กิโลเมตรไหมล่ะ
ระหว่างนี้ทางลูกรัง ดินแดงลื่นปื๊ดๆค่ะ เราเลยเดินฟังเสียงนก ชมไม้ เพื่อลดความกดดันทางเท้าค่ะซึ่งก็ช่วยได้มาก
นี่เป็นดอกเอื้องผึ้ง เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่งค่ะ พบเห็นอยู่ทั่วไปบนต้นไม้ คิดภาพดูนะคะเวลาที่ดอกออกสีเหลืองเป็นพวงห้อยลงมาเต็มๆ จะสวยขนาดไหน
แป๊ปเดียวเราเดินมาถึงทางเรียบ ทางสะดวก ข้างทางเป็นสนไม้เกี๊ยะ จุดนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วนะคะ ดีใจ!! ^__^
แล้วเราก็มาถึงจุดที่เรียกว่า ตีนดอย จุดนี้เป็นลานโล่ง ต้นไม้ใหญ่ไม่ค่อยมีแล้วค่ะเพราะที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1000 กิโลเมตร และจุดจุดนี้นี่เองที่!!!
ปกติเขาจะเอารถมาจอดตรงนี้แล้วเดินขึ้นยอดดอยค่ะ
ไม่รีรอค่ะ เดินต่อไปยอดภู สภาพภูมิทัศน์วันนี้ หมอกคละคลุ้งค่ะ นั่งนิ่งๆนอกจากจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นด้วยอัตรา 150 ครั้งต่อนาทีแล้ว ก็เป็นเสียงลมพัดแรง เสียงฝนตกที่อยู่ตรงหุบเขา นั่นก็คือตรงข้างล่างนั่น ฝนตก!!! คือก้อนเมฆอ้วนเกินไป ไต่เขาขึ้นมาไม่ได้ก็เลยกลั่นหยดน้ำอยู่ข้างล่างนั่น
ระหว่างเดินสันเขา เรานั่งนิ่งฟังเสียงลม คิดว่าอื่อ.....ถ้าฝนตกเราคงเปียกเป็นแน่แท้ และเวลานี้ก็ปาไป สี่โมงเย็น กว่าจะถึงตีนของตีนดอยก็คงหกโมงโดยประมาณ เราสามคนจึงพร้อมกันพยักหน้า กลับเถอะ! พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่า เราเดินมาจากตีนดอยของตีนดอย มาถึงจุดจุดนี้ก็พอแล้ว
ระหว่างทางลง ก็ลื่นปี๊ดและล้มขาพับไปหลายรอบอยู่เหมือนกัน
ขอจบทริปนี้ด้วยรูปนี้นะคะ บอกเลยว่า เละ! รู้เรื่อง!
www.facebook.com/nannwm
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น