CDO ต้นตอวิกฤติ Subprime

สาเหตุที่ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดวิกฤติครั้งนี้ ว่าจริงๆแล้วมันเป็นอุบัติเหตุหรือมีคนจงใจให้เกิด  แล้วเราจัดการกับต้นตอปัญหาเหล่านี้ได้สิ้นซากจริงๆหรือยัง หรือมันแค่รอวันกลับมาอีกครั้ง
รู้จัก cdo ก่อน
เวลาเราต้องการจะซื้อบ้านสักหลัง เราอาจไม่ต้องการสูญเสียเงินสดจำนวนมากเพราะอาจทำให้เสียสภาพคล่องได้ ทางออกที่ดีคือการกู้เงินมาซื้อบ้าน ซึ่งเราสามารถกู้ได้เยอะกว่าการกู้ไปซื้ออย่างอื่นและสามารถผ่อนได้เป็นเวลานาน ดังนั้นการปล่อยกู้แบบนี้จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ปล่อยกู้ต้องพิจารณาอย่างมาก ประเด็นคือที่อเมริกา เราจะไม่ได้ไปกู้กับธนาคารโดยตรงเหมือนประเทศไทยที่มีอยู่ไม่กี่ธนาคาร ส่วนใหญ่จะกู้จากบริษัทปล่อยกู้ในท้องถิ่นเล็กๆ ห่วงโซ่จึงเริ่มต้นตรงนี้

ผู้ซื้อบ้าน -> บริษัทปล่อยกู้ -> วานิชธนกิจ -> นักลงทุน


จากแผนภาพข้างบน เมื่อผู้ซื้อบ้านไปทำสัญญากู้กับบริษัทสินเชื่อต่างๆ บริษัทเหล่านี้ก็จะนำสัญญานั้นไปขายให้บริษัทวานิชธนกิจ วานิชธนกิจก็จะรวบรวมสัญญาต่างๆ ไม่ใช่แค่การกู้บ้านแต่การกู้ซื้อรถ, กู้ยืมเพื่อการศึกษา, การกู้ยืมเพื่อธุรกิจ ฯลฯ โดยจะนำมาจัดเป็นชุดต่างๆ คล้ายกับชุดอาหารในร้านฟาสฟู้ดที่เราโปรดปราน แล้วนำไปขายให้กับนักลงทุนต่างๆ ที่ต้องการซื้อ เรียกว่า " CDO " โดยครั้งนี้เมื่อคุณกู้ซื้อบ้าน เงินดอกเบี้ยที่คุณส่งจะไม่ได้ถูกส่งไปที่บริษัทปล่อยกู้หรือวานิชธนกิจ แต่มันจะส่งไปที่ผู้ซื้อ cdo ทันทีรวมทั้งถ้าคุณเบี้ยวหนี้ โดยจะมีบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นอีกคือ

CDO -> AIG -> ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง -> นักลงทุน


- บริษัท AIG ซึ่งเป็นบริษัทประกัน โดยปริษัทจะทำการรับประกันให้แก่ CDO แต่ละชนิด โดยคุณต้องจ่ายค่าประกัน เป็นรายเดือนหรือรายปี เหมือนกับคุณซื้อประกันชีวิตให้ตัวเองแต่นี้คือคุณซื้อประกันให้ cdo ถ้าเกิดมันมีปัญหา แค่นั้นคงยังกำไรไม่พอ บริษัทจึงได้นำการประกันไปทำเป็นอนุพันธ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง" เพื่อไปขายให้กับนักลงทุนอีกต่อ โดยถ้า cdo นั้นไม่มีปัญหา คนซื้อตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงก็ต้องจ่ายค่าประกันปกติ แต่ถ้า cdo มีปัญหาคุณก็จะได้กำไรจากค่าชดเชยที่คุณลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง  บริษัทต่อมาคือ

AIG -> ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง, cdo -> บริษัทจัดเรตติ่ง -> วานิชธนกิจ -> นักลงทุน


- บริษัทจัดเรตติ่งต่างๆ โดยบริษัทจะออกมาจัดเรตติ้งให้กับ cdo ที่ออกมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับ AAA คือดีมากๆ ไม่เสี่ยงเลย ด้วยเรทติ้งขนาดนี้จึงทำให้กองทุนต่างๆ สนใจอย่างมาก รวมทั้งกองทุนเกษียรอายุต่างๆ ที่มีกฎต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่ถูกจัดอยู่ในระดับที่ดีมากๆ อย่าง AAA แชร์ลูกโซ่สมบูรณ์แบบจึงเกิดขึ้น

ผู้ซื้อบ้าน -> บริษัทปล่อยกู้ -> วานิชธนกิจ ( cdo ) -> AIG (ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง) -> ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง, cdo -> บริษัทจัดเรตติ่ง -> นักลงทุน


   เมื่อคุณสามารถกู้เงินได้ถึง 99% เพื่อมาซื้อบ้านสักหลัง กลไกของ cdo ก็เริ่มทำงาน หลังจากได้สัญญา บริษัทปล่อยกู้ ธนาคารท้องถิ่นต่างๆ ก็จะนำมันไปขายต่อให้กับวานิณธนกิจ โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงและได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ ต่อจากนั้นวานิณธนกิจก็นำมันไปแปลงเป็น cdo เพื่อไปขายให้นักลงทุน โดยจ่ายเงินให้บริษัทจัดเรทติ่งเพื่อช่วยให้จัดเรทติ่งให้ได้เกรดสูงๆ บริษัทประกันก็เข้ามารับประกัน cdo ที่ปล่อยออกมา และแปลงสัญญาประกันเป็นตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงเพื่อขายให้กับนักลงทุนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นเมื่อผู้ปล่อยกู้ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการปล่อยกู้และบริษัทวานิชธนิจก็ได้รับค่านายหน้ากับค่าธรรมเนียมมหาศาลจากการขาย cdo ก็ทำให้การเร่งการปล่อยกู้มีมากขึ้น บ้านหลังเดียวไม่เคยพอสำหรับระบบทุนนิยม คนกู้เงินมาซื้อบ้านเรื่อยๆ บริษัทปล่อยกู้ให้เป็นจำนวนมากแม้กระทั้งกับคนที่ไม่น่าเชื่อถือเพื่อนำสัญญาไปขายให้บริษัทวานิชธนกิจ วานิชธนกิจก็นำมันไปขายให้กับนักลงทุนและจ่ายให้บริษัทจัดเรทเพื่อทำให้หลักทรัพย์น่าเชื่อถือ นักลงทุนก็เข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินในทรัพย์สินชนิดใหม่ที่ราคาพุ่งแบบไร้ขีดจำกัด บริษัทประกันก็เข้ามารับประกัน cdo และนำมันไปขายเป็นตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงให้กับนักลงทุน
  จากทั้งหมดนี้ทำให้ราคาบ้านพุ่งขึ้นเกือบ 4 เท่าจากปี 2001 และมูลค่าวานิชธนกิจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า บริษัทเรทติ่งมีกำไรเพิ่มสูงขึ้นทุกปี บริษัทประกันมีรายได้เข้ามาอย่างไม่หยุด เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแต่ละบริษัทมีรายได้หลายล้านดอลล่าในแต่ละปี พวกมาร์ได้เงินค่าธรรมเนียมมหาศาลจากการขาย cdo ทุกคนดูเหมือนจะมีความสุข สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีคลินตัน คลินตันผ่อนปรนกฎด้านการเงินโดยมีการออกกฎที่อนุญาตให้ควบรวมธนาคารกับบริษัทวานิชธนกิจที่ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถนำเงินฝากของคุณไปลงทุนเสี่ยงๆได้ ต่อมาคือบุชที่อนุญาตให้มีการขยายวงเงินกู้ยืมกับวานิชธนกิจ ในตอนนี้มูลค่าของบริษัทจาก 3 ใน 4 ส่วนมาจากเงินกู้ การเมือง กลต ธนาคารกลาง ทุกอย่างถูกนำมารวมกันโดยมีตัวเชื่อมคือ wall street
  การเพิ่มกำไรของวานิชธนกิจคงยังไม่พอ จึงได้เริ่มซื้อตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง โดยวานิชธนกิจขาย cdo ตัวหนึ่งให้คุณแล้วบอกว่ารคามันจะขึ้นอย่างแน่นอน แต่หลังจากนั้นก็ไปซื้อตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงจากบริษัทประกันความเสี่ยงเพราะคิดว่า cdo ที่พึ่งขายไปมันแย่ราคาต้องลงแล้ววินืชธนกิจจะได้กำไรจากค่าประกันถ้า cdo แย่ และ AIG ไม่ต้องมีเงินสำรองสำหรับ ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง เพราะมันไม่ถูกควบคุม ดังนั้นกำไรจึงถูกใช้กับเงินโบนัสผู้บริหารและพนักงาน พูดง่ายๆ ก็คือ AIG ไม่มีเงินสำรองด้วยซ้ำถ้าหากเกิดต้องจ่ายค่าประกันทั้งหมด
   สิ่งที่ตามมาคือฟองสบู่แตก AIG ล้มละลาย เลแมนและเมอริลล้มเช่นกัน บริษัทสาขาต่างๆที่อยู่ในยุโรปต้องปิดตัวทันที กิจการต่างๆหยุดชะงัก บริษัทถูกควบรวมกัน รัฐบาลต้องใช้เงินอุ้ม AIG และบริษัทใหญ่ๆไว้ มีการควบรวมเกิดขึ้น แต่บริษัทพวกนี้ก็อยู่รอดได้ด้วยเงินภาษีจากประชาชนที่จ่ายไปโดยทำให้ประเทศมีหนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่า การยึดบ้านระบาดไปทั่ว นักลงทุนหลายคนหมดตัว กองทุนหลายที่สูญเสียเงินลงทุน การจ้างงานหยุดชะงัก สินค้าแพงขึ้น ลามไปยังยุโรป สิงค์โปร์และจีนที่เป็นฐานการผลิต เมื่อทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพวกนายธนาคารและผู้บริหารเดินออกมาด้วยเงินหลายล้านดอลล่าจากโบนัสและเงินเดือนโดยไม่ต้องรับผิดชอบ บางคนอยู่ในธนาคารกลาง บางคนอยู่ในรัฐบาล บริษัทจัดเรทติ้งบอกว่าที่พวกเขาจัดเรท cdo ให้สูงมันเป็นแค่ "ความคิดเห็นของเรา คุณต้องเข้าใจ" สิ่งที่น่ายินดีคือคนที่เป็นต้นเหตุต่างๆในครั้งนี้ยังอยู่ และทำงานในระดับสูงต่อไป
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบถ้าชอบบทความนี้ ขอให้ช่วยกดไลค์ กดแชร์เพจเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียนได้มีผลงานต่อไป
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่