เมื่อ Big Tech เริ่มกู้เงินครั้งใหญ่

กระทู้สนทนา
เมื่อ Big Tech เริ่มกู้เงินครั้งใหญ่

สัญญาณนี้ไม่ได้บอกว่า “ฟองสบู่” แต่มันกำลังเล่าโครงสร้างใหม่ของโลกการเงิน

ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้อ่านรายงานหลายฉบับทั้งจาก UBS, Bloomberg และฝั่ง Credit Research ของธนาคารใหญ่ในยุโรป
ทุกฉบับพูดตรงกัน
Big Tech กำลังกู้เงินในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

Amazon, Alphabet, Meta, และ Oracle
ออกตราสารหนี้รวมกันเกือบหนึ่งแสนล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงสามเดือน

Amazon: 15 พันล้าน
Alphabet (Google): 25 พันล้าน
Meta: 30 พันล้าน
Oracle: 18 พันล้าน

เป็นตัวเลขที่ถ้าคุณไม่อยู่ในวงการ จะรู้สึกว่าไม่ปกติเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าคุณอยู่ในห้องประชุมด้านทุนและโครงสร้างหนี้ของธนาคาร
คุณจะเห็นความจริงอีกชั้นหนึ่งที่น่าสนใจกว่ามาก

วันนี้ฉันอยากเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังแบบที่คนในวงการคุยกันจริง ๆ
เรียบง่าย
ตรงไปตรงมา

1. ทำไมบริษัทใหญ่ที่สุดของโลกจึงกู้เงินในจังหวะที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดในรอบหลายปี?

ในสายตาคนทั่วไป
ดอกเบี้ยสูง = ไม่ควรกู้

แต่ในสายตาของบริษัทที่แข็งแรงที่สุดในโลก
ดอกเบี้ยสูงไม่ใช่ปัญหา
เพราะพวกเขาไม่ได้กู้จากความจำเป็น
แต่กู้เพราะ “ต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของอนาคต”

การสร้าง Data Center สำหรับ AI ไม่ใช่การขยายโรงงานแบบยุคอุตสาหกรรมเดิม
มันคือการสร้าง “ศูนย์ประสาทของเศรษฐกิจใหม่”

และถ้ามองจากฝั่ง Capital Expenditure
การกู้เงินตอนนี้คือการ “ล็อกต้นทุนเงิน” ระยะยาวในราคาที่บริษัทประเมินว่า ต่ำกว่าความเสี่ยงในอนาคต

บริษัทใหญ่ไม่ได้คิดแบบผู้บริโภค
พวกเขาคิดเป็น 10–40 ปี
เพื่อให้แน่ใจว่าการแข่งขันระยะยาวของตัวเองจะไม่สะดุดจาก cost of capital

2. ความกลัวที่เกิดขึ้น: แล้วนี่คือสัญญาณฟองสบู่หรือเปล่า?

หลายคนโยงทันทีว่า
“นี่คือ dotcom 2.0 หรือเปล่า?”

ในฐานะคนทำงานใน Global Financial Market
ฉันอยากให้มองความต่างอย่างใจเย็น
แบบที่เราดูกันใน Investment Committee

ในปี 2000 ใช่ค่ะ … บริษัทโตด้วยเครดิต

รายได้ยังไม่เกิด
โมเดลธุรกิจยังไม่ชัด
การเติบโตจำนวนมากเกิดจาก vendor financing
คือบริษัท “ให้สินเชื่อ” เพื่อสร้างยอดขายของตัวเอง

ผลลัพธ์คือ…
รายได้ปลอม
หนี้บวม
และสุดท้ายระบบพัง

ในปี 2025 … บริษัทโตด้วยกระแสเงินสด ค่ะคุณ

นี่คือความต่างที่สำคัญที่สุด
บริษัทเทคชั้นนำมี Operating Cash Flow ที่สูงกว่ารัฐบาลบางประเทศ

พวกเขาใช้เงินสดของตัวเองในการลงทุนเกือบ 80–90%
การกู้เป็นเพียง ส่วนเสริมของโครงสร้างทุน
ไม่ใช่กลไกหลักในการขยายกิจการ

ความต่างเล็ก ๆ นี้
คือความต่างระหว่าง
“การขยายตัวแบบลม” กับ “การขยายตัวแบบมีฐานราก”

3. ปัญหา dotcom เกิดจาก vendor financing ปริมาณมหาศาล แต่วันนี้แทบไม่มีแล้ว

ในยุค 1990s
บริษัทโทรคมนาคมปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าซื้ออุปกรณ์ของตัวเอง
vendor financing บางบริษัทสูงถึง 120% ของกำไรก่อนภาษี

แต่ในตลาด AI วันนี้
ขนาดความร่วมมือระหว่าง NVIDIA–Oracle–OpenAI
คิดเป็นเพียง 5% ของกำไรที่ NVIDIA คาดการณ์ในปี 2026

นี่ไม่ใช่รูปแบบการเติบโตที่บิดเบี้ยว
แต่เป็น ecosystem ที่เติบโตจาก “ความต้องการจริง”

ไม่ใช่ยอดขายปลอม ไม่ใช่เครดิตลม ไม่ใช่สัญญาในอากาศ

4. จุดสำคัญที่สุด: Big Tech มีกระแสเงินสดแข็งแรงกว่าหนี้

ใน Capital Structure
บริษัทใหญ่วันนี้ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะ Net Cash

หมายความว่า
แม้พวกเขาจะออกหนี้ก้อนใหญ่
แต่ยังถือเงินสดมากกว่าหนี้อยู่ดี

นี่คือความแตกต่างที่ทำให้
นักวิเคราะห์เครดิต
นักลงทุนสถาบัน
และธนาคาร
ยังคงให้เรตติ้งระดับสูง
และมองว่าความเสี่ยง “รับได้สบาย”

เพราะหนี้ที่ออกวันนี้
สามารถชำระคืนครบได้ทันที หากบริษัทต้องการ

แต่ทางการเงิน
ไม่มีใครปิดหนี้ต้นทุนต่ำ
เพื่อไปใช้เงินสดต้นทุนสูงกว่าของตัวเอง

นี่คือเหตุผลที่บริษัทใหญ่จะกู้แม้มีเงินสดจำนวนมาก

5. ตลาดรองรับได้มากกว่าที่หลายคนคิด

นี่คือข้อมูลภายในที่หลายคนไม่รู้:
ตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade ของบริษัทเทค
เป็นสินค้าที่ “ขาดตลาด”

เพราะสถาบันใหญ่อย่าง
• กองทุนบำนาญ
• บริษัทประกัน
• Sovereign Wealth Fund

ล้วนต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ระยะยาว และมีคุณภาพสูง

เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกว่า
Meta เพิ่งออกหุ้นกู้ 30 พันล้าน
แต่มี demand สูงถึง 125 พันล้าน

Amazon ออก 15 พันล้าน
มี demand 80 พันล้าน

ตัวเลขเหล่านี้
คือการยืนยันว่า
โลกสถาบันเต็มใจ “ให้บริษัทนี้ยืมเงิน” มากกว่าที่บริษัทอยากกู้ซะอีก

นี่ไม่ใช่บรรยากาศฟองสบู่
นี่คือบรรยากาศของ ความเชื่อในโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่

6. แล้วนักลงทุนรายย่อยควรคิดอย่างไร?

คำถามนี้ฉันได้จากหลายคนมากหลังอ่านข่าว
และคำตอบของฉันคือ

อย่ามองว่าการกู้เงินคือความเสี่ยง
แต่ให้มองว่า “ใครคือคนที่กู้ และเขากู้ไปเพื่ออะไร”

บริษัทที่มีเงินสดมากกว่าหนี้
กู้ในเวลาที่ cost of capital ยังไม่สูงที่สุด
และกู้เพื่อสร้าง infrastructure ของเศรษฐกิจใหม่
ไม่ใช่บริษัทที่น่ากังวล

สำหรับฉัน
นี่คือหนึ่งในสัญญาณที่ค่อนข้างชัดว่า
AI ไม่ใช่ trend
แต่เป็น ระลอกคลื่นใหญ่ที่กำลังสร้างเศรษฐกิจโลกในทศวรรษใหม่

7. แล้วต่อไปเราควรทำอะไร?

คำตอบนี้ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน
แต่ต้องตรงไปตรงมา

“ถ้าพอร์ตของคุณยังไม่มีสัดส่วนที่เชื่อมกับการเติบโตของ AI คุณไม่ได้เพียงแค่ ‘พลาดการลงทุน’ คุณกำลังพลาดโครงสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งระบบ”

ฉันไม่ได้บอกให้คุณซื้อหุ้นรายตัว
หรือซื้อบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
แต่การมี Exposure
ในระดับที่เหมาะสม
คือสิ่งที่นักลงทุนมืออาชีพทั่วโลกกำลังทำ

ไม่ใช่เพื่อหากำไรเร็ว
แต่เพื่อ รักษาความมั่งคั่งในระยะยาว
ในโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

Annabel’s Note

ในทุกวันที่ฉันเข้าห้องประชุม Investment Committee
ฉันเห็นชัดว่า
โลกการเงินกำลังขยับไปข้างหน้าเร็วกว่าที่คนทั่วไปจินตนาการ

บริษัทใหญ่ที่แข็งแรงที่สุดกำลังกู้เงิน
ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มี
แต่เพราะพวกเขามองเห็น “อนาคต” ก่อนใคร

งานของเราคืออ่านให้ขาดว่า
เงินกำลังไหลไปที่ไหน
และใครคือผู้เล่นที่ยังเหลืออยู่ในเกมเมื่อเวลาผ่านไป

AI ไม่ใช่คำโฆษณา
มันเป็น โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกการเงิน

และการเข้าใจเกมนี้
คือหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการรักษาความมั่งคั่งในระยะยาวค่ะคุณ😎

แอนนาเบล


CR https://www.facebook.com/share/1JqYTGSY5i/?mibextid=wwXIfr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่