ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่า จุดเริ่มต้นของทริปนี้ผมแค่อยากหนีร้อนไปสัมผัสลมหนาวแค่นั้น เลยเลือกภูกระดึงเป็นจุดหมายปลายทางของทริปนี้ และมันก็เป็นทริปที่ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปมากเพราะอย่างที่บอกครับ อยากสัมผัสแค่ลมหนาว
..เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางไกลคนเดียว
..เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นภูกระดึง
..และครั้งนี้นี่แหละทำให้ผมตั้งคำถามตลกๆว่า จริงๆแล้วภูกระดึงหาผู้พิชิตหรือsurvivor?? (ขอยืมคำพูดเมนเทอร์คริสมาดัดแปลงหน่อยละกัน55)
ผมเชื่อว่าภูกระดึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครหลายๆคนต้องอยากไปสัมผัสเองซักครั้งในชีวิต อยากรู้ว่ามันจะหนาวขนาดไหน? มันจะสูงมากมั้ย? มันจะโหดซักแค่ไหนกัน? แล้วมันสวยเหมือนที่เราเคยอ่านกันจากหลายๆรีวิวรึป่าว?
ผมมีแผนคร่าวๆคือต้องขึ้นภูเช้าวันอังคารที่ 1 ธ.ค. แล้วกลับมาถึงกทม.เช้าวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค.58ครับ มีแผนแค่นี้ เลยตัดสินใจจองตั๋วรถคืนวันเสาร์ แล้วเดินทางคืนวันจันทร์ถัดมา แน่นอนครับมันเป็นการเดินทางไกลคนเดียวครั้งแรก มันต้องมีกลัวกันบ้าง จะมีเพื่อนมั้ย? จะอยู่ยังไง? จะนั่งเป็นหมาหงอยน้ำลายบูดอยู่คนเดียวรึป่าว? แต่ทำไงได้ จองตั๋วมาแล้วมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องไป ไปแบบงงๆ แล้วเช้าวันอังคารก็ถึงภูกระดึงสมใจ...... แล้วไงต่อ?? ยืนเคว้งอยู่หน้าที่ทำการแปปนึง สูดหายใจเข้าลึกๆ1ครั้งแล้วบอกกับตัวเองว่า เอาว่ะ!! มันอยู่ตรงหน้าจะหันหลังกลับก็ขี้ขลาดแล้ว เลยเดินเข้าไปเสียค่าเข้าอุทยาน ค่าจองเต็นท์2คืน แล้วก็เดินขึ้นเลย ครั้งแรกด้วยเปรี้ยวมาก ไม่จ้างลูกหาบใดๆทั้งสิ้น
เดินขึ้นไปเรื่อยๆแวะถ่ายรูปเล่นบ้าง แวะกินขนมกินน้ำตามจุดพัก จนมาถึงซำกอซาง ผมก็ได้มานั่งคุยกับพี่เจ้าของร้านอาหารข้างบนภู ชื่อร้านสุขสันต์ครับ ก็เลยเดินขึ้นพร้อมพี่เค้าเลย คุยกันไปเรื่อยๆจนถึงหลังแป ใช้เวลาประมาณ3ชม.ครึ่ง แล้วก็เดินจากหลังแปไปจุดกางเต็นท์อีกประมาณครึ่งชม. เก็บของเรียบร้อยแล้วพี่เจ้าของร้านที่เดินมาด้วยกันเค้าก็ใจดีนะครับ ให้ผมยืมที่รองนอนมา3ผืนกับหมอน1ใบฟรี!! ตอนนั้นคืองง ก่อนมาที่นี่เพื่อนผมคนนึงบอกมาว่า “พอไปถึงเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลยนะ คือจะเจอแต่คนดีๆ แล้วคือเค้าก็จะใจดีจริงๆ” ตอนแรกผมไม่เชื่อหรอก เอาจริงๆตอนคุยกับพี่เค้าครั้งแรกที่ซำกอซางนั่นก็ไม่ค่อยไว้ใจพี่เค้าเท่าไหร่นะ ทริปนี้ผมเลยไปกินข้าวร้านพี่เค้าบ่อยเลย555 วันแรกที่ขึ้นไปถึงก็ไม่ได้เดินเที่ยว เพราะที่นี่หลังจากบ่าย3อุทยานจะกันพื้นที่หากินของช้างป่าไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเพราะกลัวเป็นอันตราย
วันแรกก็ผ่านไปด้วยดีครับไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่วันนี้นี่แหละ ของจริง!! เช้ามืดผมแหกขี้ตาตื่นไปดูพระอาทิตย์ ยอมตื่นเช้ามืดทั้งที่ปกติเป็นคนตื่นสายสุดๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังนะ
แล้วถ้าเราได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มีเหตุผลอะไรละครับที่เราไม่ควรได้เห็นพระอาทิตย์ตก จริงมั้ย? วันนั้นดูแผนที่เสร็จก็ตัดสินใจว่าวันนี้ต้องไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักให้ได้ รู้ว่าไกล แต่ไม่เป็นไร เป็นคนเดินเร็ว ออกมาเที่ยงกว่าแล้วมัวแต่ไปนั่งกินกาแฟอยู่ อาจเพราะยังไม่รู้ตัวครับว่าผมจ้องไปเจออะไรบ้าง แล้วเวลาเดินทางผมจะนิสัยเสียอย่างนึงคือชอบลืมของ เตรียมมาไม่ครบ และครั้งนี้ผมลืมเอากระเป๋าใบเล็กมาครับ ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นไร ไม่จำเป็น แต่ด้วยระยะทางที่มันไกลมากกกก มันเลยจำเป็นขึ้นมา ผมต้องเอาไปใส่อาหารไว้กินระหว่างทาง แผนที่ ไฟฉาย น้ำอีกซักขวด และก็เสื้อกันหนาวเผื่อไว้ตอนเดินกลับจากผาหล่มสัก พี่ที่ร้านกาแฟก็ให้ผมยืมกระเป๋ามาครับ ได้ของฟรีอีกแล้ว เฮ้ย!!คนที่นี่เค้าใจดีจริงๆ ผมเลยได้กระเป๋าใบนั้นมาเป็นเพื่อนคู่กาย1วัน
เส้นทางที่ผมเลือกเดินขอเรียกว่าเส้นน้ำตกละกันครับ เริ่มตั้งแต่น้ำตกวังกวาง ไปสุดที่น้ำตกถ้ำใหญ่ เดินไปคนเดียว ตอนแรกเห็นมีคนตามมาด้วย2คน แล้วก็หายไปเลย สงสัยคงเดินเร็วเกิน เดินไปเรื่อยๆ ป่าก็เริ่มทึบขึ้น ทางเดินเริ่มแคบลง เริ่มแฉะ เลยตัดสินรีบเดินให้ถึงทางออกเร็วที่สุด เผื่อจะเจอสิ่งชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์บ้าง อีกอย่างช่วงนั้นก็บ่ายแล้วครับ กลัวไปไม่ทัน แล้วในที่สุดผมก็ได้เพื่อนร่วมทางเพิ่ม3คน เป็นครูที่พาน้องๆม.ปลายจากจ.ร้อยเอ็ดมาทัศนศึกษาที่นี่ ทั้ง4คนมีจุดหมายเดียวกันครับคือผาหล่มสัก เลยเดินไปพร้อมกัน
แต่ครับ แต่... ดีใจอยู่ได้ไม่นาน ฝนตก!! ตอนแรกก็ตกนิดหน่อย ซักพักเริ่มแรงจนยืนต้านไม่ไหวต้องไปหลบในร้านค้าใกล้ๆ เรานั่งรอจนฝนเริ่มหยุดแล้วก็เริ่มเดินกลับที่พักครับ ทำให้ผมได้เพื่อนร่วมทางมาเพิ่มอีก2คน เป็น2สาวที่ลาออกจากงานเพื่อมาเที่ยว(เหมือนกันเลย) แล้วกำลังจะกลับไปที่พักเหมือนกัน ตอนนี้ทีมเรามี6คน
นั่งรอกันจนฝนหยุด ตอนเวลาเวลาประมาณ6โมงนิดๆก็เริ่มออกเดิน ตอนแรกมีคนอยู่ตรงนั้นอีกหลายคนเลยครับ แต่พอเริ่มออกเดินนั่นแหละก็รู้ว่า ทีมอื่นเช่าจักรยานกันมาหมดเลย พวกเราหรอ?? หึหึ เดินกลับ!! และเป็นทีมสุดท้ายจากผาหล่มสักด้วย เดินไปได้ไม่นาน ฝนก็ทำท่าจะตกอีกรอบ แล้วมันก็ตกจริงๆครับ พวกเราเลยหยุดพักที่ผาแดงซึ่งอยู่ถัดจากผาหล่มสัก แต่พอเราเริ่มก้าวขาออกเดินฝนก็ตกอีก ทุกคนไม่มีเสื้อกันฝน มีแค่ถุงพลาสติกที่ครอบหัวไว้ ตอนนั้นเสื้อกันหนาวก็ต้องกันทั้งฝนทั้งหนาวแหละ สภาพอากาศคือฝนสลับลมตลอดทาง แผนการเดินของเราตอนนั้นคือแวะร้านค้าแต่ละผา แล้วค่อยเดินต่อเมื่อสภาพอากาศดีขึ้น แต่...ความเป็นจริงคือหลังจากออกจากผาแดโงผาต่อไปคือผาเหยียบเมฆ เมื่อเรามาถึงร้านค้าก็ปิดแล้ว
คราวนี้มันไม่ใช่ฝนสลับลมหนาวนะครับ แต่มันคือทั้งลมทั้งฝนมาพร้อมกัน และมีทางเลือกเดียวคือ “ฝ่าฝนนั่นไป” แล้วทางเดินตรงนั้นบอกได้คำเดียวว่ามืดมาก จะเห็นเฉพาะบริเวณที่แสงจากไฟฉายส่องถึงเท่านั้น ไฟฉายก็สลับกันเปิดเพราะกลัวถ่านหมด แล้วครูเขาก็ชอบแกล้งพูดว่า ”ไหนลองส่องไปต้นไม้ดูซิ มีใครนั่งอยู่มั้ย?” เดี๋ยวๆ ใครจะไปนั่งบนต้นไม้??
ฝนตกหนักขึ้นตลอดทางครับ แต่ก็ต้องรีบเดิน จนมาถึงผาหมากดูก ซึ่งเป็นทางแยกกลับที่พัก ต้องเดินต่ออีก2กิโลกว่าแต่ฝนที่ตกหนักจนต้านไม่ไหว เลยต้องแวะพักที่ร้านค้าผาหมากดูกครับ โชคดีที่แม่ค้ายังไม่นอน แต่ละคนสภาพเปื่อยมาก พลังงานติดลบ ทั้งหนาว ทั้งเปียก ถอดเสื้อกันหนาวออกมาบิดมีแต่น้ำ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า ไม่ต้องพูดถึงครับ บอกได้คำเดียวว่า พัง!!!
นั่งพักอยู่ที่นี่น่าจะประมาณครึ่งชม.ครับ ฝนหยุด ฝนหยุดแล้ว!! เฮ้ยย หยุดจริงๆด้วย รออะไรล่ะครับ? เดินต่ออย่างไว ช่วงสุดท้ายแล้ว สภาพทางตอนนั้นก็ค่อนข้างเละ แต่ใครสนใจล่ะ รีบเดินต่อไปเพื่อความอยู่รอดถึงแม้สภาพร่างกายจะไม่พร้อมก็ตาม ช่วงสุดท้ายนี่เราเดินกันเงียบมาก แทบไม่ได้คุยกัน มันหมดแรง จริงๆผมไม่ต้องดิ้นรนไปผาหล่มสักครั้งนี้ก็ได้ มาครั้งหน้าก็ได้จะดิ้นรนทำไม? ทำไมไม่เช็คพยากรณ์อากาศก่อน? แต่ก็ได้แค่ “บ่นในใจ” เพราะมันทั้งหนาว สั่น ชาทั้งตัว
แต่ความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นก็หายไปก็ตอนเงยหน้าขึ้นไปแล้วเห็นเสาสัญญาณโทรศัพท์ “นั่น! นั่นมันอารยธรรมมนุษย์ ใช่ นั่นแหละจุดหมาย ต้องใช่แน่ๆ” เมื่อเห็นความหวังอยู่ตรงหน้าก็อย่าดีใจนานครับ รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายออกมาใช้ แล้วจ้ำเท้าอย่างไว สรุปแล้ว พวกเรามาถึงจุดกางเต็นท์ เป็นกลุ่มสุดท้ายครับ ตอนนั้นเวลา21.45น. ใช้เวลาเดินเกือบ4ชม. กับระยะทาง9กิโลกว่า รีบโยนของเข้าเต็นท์แล้วไปอาบน้ำกินข้าวก่อนไฟปิดครับ ไฟปิด4ทุ่ม มีเวลา15นาที มันคือ15นาทีทองคำจริงๆ น้ำบนภูกระดึงที่ว่าหนาวก็เถอะ มีเท่าไหร่จัดมา หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว เพิ่งผ่านมาเมื่อกี้เลย
ผมโดนทากกัดที่เอว3แผล แขนซ้ายอีก2 ซึ่งน่าจะเป็นตอนเดินกลับมา นี่ขนาดใส่เสื้อหนาวคลุมอีกตัวนึง มันเข้ามาได้ไง ทากที่นี่ฉลาดมาก
[SR] ภูกระดึงต้องการหาอะไร? หาผู้พิชิตหรือsurvivor?
..เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางไกลคนเดียว
..เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นภูกระดึง
..และครั้งนี้นี่แหละทำให้ผมตั้งคำถามตลกๆว่า จริงๆแล้วภูกระดึงหาผู้พิชิตหรือsurvivor?? (ขอยืมคำพูดเมนเทอร์คริสมาดัดแปลงหน่อยละกัน55)
ผมเชื่อว่าภูกระดึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครหลายๆคนต้องอยากไปสัมผัสเองซักครั้งในชีวิต อยากรู้ว่ามันจะหนาวขนาดไหน? มันจะสูงมากมั้ย? มันจะโหดซักแค่ไหนกัน? แล้วมันสวยเหมือนที่เราเคยอ่านกันจากหลายๆรีวิวรึป่าว?
ผมมีแผนคร่าวๆคือต้องขึ้นภูเช้าวันอังคารที่ 1 ธ.ค. แล้วกลับมาถึงกทม.เช้าวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค.58ครับ มีแผนแค่นี้ เลยตัดสินใจจองตั๋วรถคืนวันเสาร์ แล้วเดินทางคืนวันจันทร์ถัดมา แน่นอนครับมันเป็นการเดินทางไกลคนเดียวครั้งแรก มันต้องมีกลัวกันบ้าง จะมีเพื่อนมั้ย? จะอยู่ยังไง? จะนั่งเป็นหมาหงอยน้ำลายบูดอยู่คนเดียวรึป่าว? แต่ทำไงได้ จองตั๋วมาแล้วมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องไป ไปแบบงงๆ แล้วเช้าวันอังคารก็ถึงภูกระดึงสมใจ...... แล้วไงต่อ?? ยืนเคว้งอยู่หน้าที่ทำการแปปนึง สูดหายใจเข้าลึกๆ1ครั้งแล้วบอกกับตัวเองว่า เอาว่ะ!! มันอยู่ตรงหน้าจะหันหลังกลับก็ขี้ขลาดแล้ว เลยเดินเข้าไปเสียค่าเข้าอุทยาน ค่าจองเต็นท์2คืน แล้วก็เดินขึ้นเลย ครั้งแรกด้วยเปรี้ยวมาก ไม่จ้างลูกหาบใดๆทั้งสิ้น
เดินขึ้นไปเรื่อยๆแวะถ่ายรูปเล่นบ้าง แวะกินขนมกินน้ำตามจุดพัก จนมาถึงซำกอซาง ผมก็ได้มานั่งคุยกับพี่เจ้าของร้านอาหารข้างบนภู ชื่อร้านสุขสันต์ครับ ก็เลยเดินขึ้นพร้อมพี่เค้าเลย คุยกันไปเรื่อยๆจนถึงหลังแป ใช้เวลาประมาณ3ชม.ครึ่ง แล้วก็เดินจากหลังแปไปจุดกางเต็นท์อีกประมาณครึ่งชม. เก็บของเรียบร้อยแล้วพี่เจ้าของร้านที่เดินมาด้วยกันเค้าก็ใจดีนะครับ ให้ผมยืมที่รองนอนมา3ผืนกับหมอน1ใบฟรี!! ตอนนั้นคืองง ก่อนมาที่นี่เพื่อนผมคนนึงบอกมาว่า “พอไปถึงเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลยนะ คือจะเจอแต่คนดีๆ แล้วคือเค้าก็จะใจดีจริงๆ” ตอนแรกผมไม่เชื่อหรอก เอาจริงๆตอนคุยกับพี่เค้าครั้งแรกที่ซำกอซางนั่นก็ไม่ค่อยไว้ใจพี่เค้าเท่าไหร่นะ ทริปนี้ผมเลยไปกินข้าวร้านพี่เค้าบ่อยเลย555 วันแรกที่ขึ้นไปถึงก็ไม่ได้เดินเที่ยว เพราะที่นี่หลังจากบ่าย3อุทยานจะกันพื้นที่หากินของช้างป่าไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเพราะกลัวเป็นอันตราย
วันแรกก็ผ่านไปด้วยดีครับไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่วันนี้นี่แหละ ของจริง!! เช้ามืดผมแหกขี้ตาตื่นไปดูพระอาทิตย์ ยอมตื่นเช้ามืดทั้งที่ปกติเป็นคนตื่นสายสุดๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังนะ
แล้วถ้าเราได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มีเหตุผลอะไรละครับที่เราไม่ควรได้เห็นพระอาทิตย์ตก จริงมั้ย? วันนั้นดูแผนที่เสร็จก็ตัดสินใจว่าวันนี้ต้องไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักให้ได้ รู้ว่าไกล แต่ไม่เป็นไร เป็นคนเดินเร็ว ออกมาเที่ยงกว่าแล้วมัวแต่ไปนั่งกินกาแฟอยู่ อาจเพราะยังไม่รู้ตัวครับว่าผมจ้องไปเจออะไรบ้าง แล้วเวลาเดินทางผมจะนิสัยเสียอย่างนึงคือชอบลืมของ เตรียมมาไม่ครบ และครั้งนี้ผมลืมเอากระเป๋าใบเล็กมาครับ ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นไร ไม่จำเป็น แต่ด้วยระยะทางที่มันไกลมากกกก มันเลยจำเป็นขึ้นมา ผมต้องเอาไปใส่อาหารไว้กินระหว่างทาง แผนที่ ไฟฉาย น้ำอีกซักขวด และก็เสื้อกันหนาวเผื่อไว้ตอนเดินกลับจากผาหล่มสัก พี่ที่ร้านกาแฟก็ให้ผมยืมกระเป๋ามาครับ ได้ของฟรีอีกแล้ว เฮ้ย!!คนที่นี่เค้าใจดีจริงๆ ผมเลยได้กระเป๋าใบนั้นมาเป็นเพื่อนคู่กาย1วัน
เส้นทางที่ผมเลือกเดินขอเรียกว่าเส้นน้ำตกละกันครับ เริ่มตั้งแต่น้ำตกวังกวาง ไปสุดที่น้ำตกถ้ำใหญ่ เดินไปคนเดียว ตอนแรกเห็นมีคนตามมาด้วย2คน แล้วก็หายไปเลย สงสัยคงเดินเร็วเกิน เดินไปเรื่อยๆ ป่าก็เริ่มทึบขึ้น ทางเดินเริ่มแคบลง เริ่มแฉะ เลยตัดสินรีบเดินให้ถึงทางออกเร็วที่สุด เผื่อจะเจอสิ่งชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์บ้าง อีกอย่างช่วงนั้นก็บ่ายแล้วครับ กลัวไปไม่ทัน แล้วในที่สุดผมก็ได้เพื่อนร่วมทางเพิ่ม3คน เป็นครูที่พาน้องๆม.ปลายจากจ.ร้อยเอ็ดมาทัศนศึกษาที่นี่ ทั้ง4คนมีจุดหมายเดียวกันครับคือผาหล่มสัก เลยเดินไปพร้อมกัน
แต่ครับ แต่... ดีใจอยู่ได้ไม่นาน ฝนตก!! ตอนแรกก็ตกนิดหน่อย ซักพักเริ่มแรงจนยืนต้านไม่ไหวต้องไปหลบในร้านค้าใกล้ๆ เรานั่งรอจนฝนเริ่มหยุดแล้วก็เริ่มเดินกลับที่พักครับ ทำให้ผมได้เพื่อนร่วมทางมาเพิ่มอีก2คน เป็น2สาวที่ลาออกจากงานเพื่อมาเที่ยว(เหมือนกันเลย) แล้วกำลังจะกลับไปที่พักเหมือนกัน ตอนนี้ทีมเรามี6คน
นั่งรอกันจนฝนหยุด ตอนเวลาเวลาประมาณ6โมงนิดๆก็เริ่มออกเดิน ตอนแรกมีคนอยู่ตรงนั้นอีกหลายคนเลยครับ แต่พอเริ่มออกเดินนั่นแหละก็รู้ว่า ทีมอื่นเช่าจักรยานกันมาหมดเลย พวกเราหรอ?? หึหึ เดินกลับ!! และเป็นทีมสุดท้ายจากผาหล่มสักด้วย เดินไปได้ไม่นาน ฝนก็ทำท่าจะตกอีกรอบ แล้วมันก็ตกจริงๆครับ พวกเราเลยหยุดพักที่ผาแดงซึ่งอยู่ถัดจากผาหล่มสัก แต่พอเราเริ่มก้าวขาออกเดินฝนก็ตกอีก ทุกคนไม่มีเสื้อกันฝน มีแค่ถุงพลาสติกที่ครอบหัวไว้ ตอนนั้นเสื้อกันหนาวก็ต้องกันทั้งฝนทั้งหนาวแหละ สภาพอากาศคือฝนสลับลมตลอดทาง แผนการเดินของเราตอนนั้นคือแวะร้านค้าแต่ละผา แล้วค่อยเดินต่อเมื่อสภาพอากาศดีขึ้น แต่...ความเป็นจริงคือหลังจากออกจากผาแดโงผาต่อไปคือผาเหยียบเมฆ เมื่อเรามาถึงร้านค้าก็ปิดแล้ว
คราวนี้มันไม่ใช่ฝนสลับลมหนาวนะครับ แต่มันคือทั้งลมทั้งฝนมาพร้อมกัน และมีทางเลือกเดียวคือ “ฝ่าฝนนั่นไป” แล้วทางเดินตรงนั้นบอกได้คำเดียวว่ามืดมาก จะเห็นเฉพาะบริเวณที่แสงจากไฟฉายส่องถึงเท่านั้น ไฟฉายก็สลับกันเปิดเพราะกลัวถ่านหมด แล้วครูเขาก็ชอบแกล้งพูดว่า ”ไหนลองส่องไปต้นไม้ดูซิ มีใครนั่งอยู่มั้ย?” เดี๋ยวๆ ใครจะไปนั่งบนต้นไม้??
ฝนตกหนักขึ้นตลอดทางครับ แต่ก็ต้องรีบเดิน จนมาถึงผาหมากดูก ซึ่งเป็นทางแยกกลับที่พัก ต้องเดินต่ออีก2กิโลกว่าแต่ฝนที่ตกหนักจนต้านไม่ไหว เลยต้องแวะพักที่ร้านค้าผาหมากดูกครับ โชคดีที่แม่ค้ายังไม่นอน แต่ละคนสภาพเปื่อยมาก พลังงานติดลบ ทั้งหนาว ทั้งเปียก ถอดเสื้อกันหนาวออกมาบิดมีแต่น้ำ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า ไม่ต้องพูดถึงครับ บอกได้คำเดียวว่า พัง!!!
นั่งพักอยู่ที่นี่น่าจะประมาณครึ่งชม.ครับ ฝนหยุด ฝนหยุดแล้ว!! เฮ้ยย หยุดจริงๆด้วย รออะไรล่ะครับ? เดินต่ออย่างไว ช่วงสุดท้ายแล้ว สภาพทางตอนนั้นก็ค่อนข้างเละ แต่ใครสนใจล่ะ รีบเดินต่อไปเพื่อความอยู่รอดถึงแม้สภาพร่างกายจะไม่พร้อมก็ตาม ช่วงสุดท้ายนี่เราเดินกันเงียบมาก แทบไม่ได้คุยกัน มันหมดแรง จริงๆผมไม่ต้องดิ้นรนไปผาหล่มสักครั้งนี้ก็ได้ มาครั้งหน้าก็ได้จะดิ้นรนทำไม? ทำไมไม่เช็คพยากรณ์อากาศก่อน? แต่ก็ได้แค่ “บ่นในใจ” เพราะมันทั้งหนาว สั่น ชาทั้งตัว
แต่ความรู้สึกแย่ๆพวกนั้นก็หายไปก็ตอนเงยหน้าขึ้นไปแล้วเห็นเสาสัญญาณโทรศัพท์ “นั่น! นั่นมันอารยธรรมมนุษย์ ใช่ นั่นแหละจุดหมาย ต้องใช่แน่ๆ” เมื่อเห็นความหวังอยู่ตรงหน้าก็อย่าดีใจนานครับ รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายออกมาใช้ แล้วจ้ำเท้าอย่างไว สรุปแล้ว พวกเรามาถึงจุดกางเต็นท์ เป็นกลุ่มสุดท้ายครับ ตอนนั้นเวลา21.45น. ใช้เวลาเดินเกือบ4ชม. กับระยะทาง9กิโลกว่า รีบโยนของเข้าเต็นท์แล้วไปอาบน้ำกินข้าวก่อนไฟปิดครับ ไฟปิด4ทุ่ม มีเวลา15นาที มันคือ15นาทีทองคำจริงๆ น้ำบนภูกระดึงที่ว่าหนาวก็เถอะ มีเท่าไหร่จัดมา หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว เพิ่งผ่านมาเมื่อกี้เลย
ผมโดนทากกัดที่เอว3แผล แขนซ้ายอีก2 ซึ่งน่าจะเป็นตอนเดินกลับมา นี่ขนาดใส่เสื้อหนาวคลุมอีกตัวนึง มันเข้ามาได้ไง ทากที่นี่ฉลาดมาก