ตอนที่ 2 กติกาของตัวแทน การแข่งขันที่ต้องการผู้ชนะที่พร้อมจะเป็นพวกเดียวกัน
สิ่งที่เป็นธรรมเนียมของการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยทุกครั้ง คือ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งตัวแทนของประชาชน หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า
กติกาการแข่งขัน ที่มักซ่อนความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำที่ไม่เท่าเทียนกัน อยู่ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับแรก จนถึงฉบับที่ถูกฉีกทิ้งไปล่าสุด ล้วนแต่มีบทบัญญัติทีเกี่ยวข้องกับกติกาการแข่งขันทั้งนั้น
รัฐธรรมนูญฉบับแรก ฉบับชั่วคราว 2475 ก็บัญญัติไว้ว่า
หมวด ๓
สภาผู้แทนราษฎร
ส่วนที่ ๑ อำนาจและหน้าที่
มาตรา ๘ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจออกพระราชบัญญัติทั้งหลาย พระราชบัญญัตินั้นเมื่อกษัตริย์ได้ประกาศให้ใช้แล้ว ให้เป็นอันใช้บังคับได้
ถ้ากษัตริย์มิได้ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัตินั้นภายในกำหนด ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชบัญญัตินั้นจากสภาโดยแสดงเหตุผลที่ไม่ยอมทรงลงพระนาม ก็มีอำนาจส่งพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังสภา เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งถ้าสภาลงมติยืนตามมติเดิม กษัตริย์ไม่เห็นพ้องด้วย สภามีอำนาจออกประกาศพระราชบัญญัตินั้นใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
มาตรา ๙ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้
ส่วนที่ ๒ ผู้แทนราษฎร
มาตรา ๑๐ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นไปตามกาลสมัยดั่งนี้
สมัยที่ ๑ นับแต่วันใช้ธรรมนูญนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ ๒ จะเข้ารับตำแหน่งให้คณะราษฎรซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทนจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นเป็นจำนวน ๗๐ นายเป็นสมาชิกในสภา
สมัยที่ ๒ ภายในเวลา ๖ เดือนหรือจนกว่าการจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย สมาชิกในสภาจะต้องมีบุคคล ๒ ประเภททำกิจการร่วมกัน คือ
ประเภทที่ ๑ ผู้แทนซึ่งราษฎรจะได้เลือกขึ้นจังหวัดละ ๑ นาย ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกเกินกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน ให้จังหวัดนั้นเลือกผู้แทนเพิ่มขึ้นอีก ๑ นายทุกๆ ๑๐๐,๐๐๐ นั้น เศษของ ๑๐๐,๐๐๐ ถ้าเกินกว่าครึ่งให้นับเพิ่มขึ้นอีก ๑
ประเภทที่ ๒ ผู้เป็นสมาชิกอยู่แล้วในสมัยที่ ๑ มีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่ ๑ ถ้าจำนวนเกินให้เลือกกันเองว่าผู้ใดจะคงเป็นสมาชิกต่อไป ถ้าจำนวนขาดให้ผู้ที่มีตัวอยู่เลือกบุคคลใดๆ เข้าแทนจนครบ
…ไล่เรียงกำหนดกติกาข้อบังคับต่างๆไปอีก จนถึง มาตรา ๓๘
ซึ่งบทบัญญัติลักษณะนี้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า
หากมิได้เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนเป็นผู้จัดทำแล้วล่ะก็ กติกาการเลือกตัวแทนเหล่านี้ จะถูกบทบัญญัติบางข้อ กำหนดให้ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทน ต้องเป็นพวกเดียวกัน กับผู้มีอำนาจในขณะนั้นเสมอ
ในตัวอย่างรัฐธรรมนูญ 2475 ที่ยกมาแสดง ก็ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา ๑๐ สมาชิกสภาประเภทที่ ๒
และกติกาประเภทนี้ล้วนแต่สร้างความไม่เป็นธรรมของความเท่าเทียมกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะแบ่งแยกให้ตัวแทนประชาชนบางส่วนถูกคัดเลือกหรือแต่งตั้งด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว กติกาตัวแทนลักษณะของการแต่งตั้งนี้มีบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่มาจากประชาชนโดยแท้จริง นั้นคือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2540
ถ้าว่ากันถึงความเหมาะสมแล้วอ้างเรื่องของยุคสมัย อย่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ผู้ร่างอย่างคณะราษฏรอ้างว่าประชาชนยัง
”ไม่พร้อม” กับระบอบการปกครองใหม่ คณะราษฎรจึงได้เสียสละทำหน้าที่แทนให้ก่อน ด้วยการยอมใช้สิทธิของตัวเองแต่งตั้งตัวแทนส่วนหนึ่งให้กับประชาชน
คำถามก็คือ..
ประเทศเรานี้ประเทศเรานี้ประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเลยหรืออย่างไร..? ถึงได้มีคนบางกลุ่มต้อง”เสียสละ”ทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมดทุกครั้งในทุกรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมิได้เป็นผู้ร่าง
เรื่องของยุคสมัยจึงไม่น่าใช่ประเด็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญลักษณะนี้ เพราะรัฐธรรมนูญล่าสุดที่ประเทศเราใช้ก็มีบทบัญญัติในลักษณะของการแต่งตั้งปรากฏอยู่
หรือนั้นหมายความว่า ประชาชนไทยในสายตาของใครบางพวก คือคนที่ไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตยหรือ..?
และความไม่พร้อมนี้จะคงอยู่กับประชาชนคนไทยไปตลอดกาลนาน เสมอไปในสายตาคนบางพวกใช่หรือไม่..?
คำตอบคืออะไรไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือ รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดที่เราเคยใช้
คือ รัฐธรรมนูญ 2550ที่ประชาชนถูกบังคับให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญด้วยคำว่าว่า”รับๆไปก่อนค่อยแก้ทีหลัง”นั้นก็มีกติกาตัวแทน ในลักษณะแต่งตั้งปรากฏชัดอยู่ในมาตรา๑๑๑ ที่ว่า”วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวมหนึ่งร้อยห้าสิบคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคน และ
มาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง”
นั้นแปลว่าเรื่องยุคสมัยเป็นเพียงข้ออ้างที่จะเอาเปรียบและก่อให้เกิดสิทธิพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันในการแสดงออกซึ่งการเลือกตัวแทนมาทำหน้าที่แทนประชาชนเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติลักษณะนี้คือ กติกาของตัวแทน การแข่งขันที่ต้องการผู้ชนะที่พร้อมจะเป็นพวกเดียวกัน
เพราะการแข่งขันที่เป็นธรรมเพื่อหาตัวแทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่สำคัญเหล่านี้ควบคุมและหวังให้เกิดผลอย่างที่คณะผู้ครองอำนาจในแต่ล่ะสมัยคาดหวังนั้นเป็นเรื่องยาก
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญทุกชุดที่มีต้นกำเนิดจากผู้ครองอำนาจ มิใช่ประชาชนทั้งประเทศจึงได้พยายามบัญญัติกติกาที่เอาเปรียบประชาชนอยู่ร่ำไปไว้ในรัฐธรรมนูญที่ตัวเองจัดทำขึ้น
การแข่งขัน คือสิ่งที่คนเหล่านั้นหวาดกลัว และไม่กล้าจะเสนอหน้าลงแข่งอย่างเป็นธรรม จึงใช้การ
”แต่งตั้ง”เป็นทางลัดในการเป็นผู้ชนะและได้ครอบครองอำนาจของประชาชน
และคงไม่แปลกอะไรหากบทบัญญัติในส่วนของการเป็นตัวแทนประชาชน
จะมีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนมาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมดอีกครั้ง ในรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมิได้มีส่วนร่วมในการจัดทำ เพราะมันเป็นเช่นนี้มาตลอดเวลาในสังคมการเมืองของประเทศเรา
*ป.ล. ต่อเนื่องกันด้วยการชี้ประเด็นเข้าสู่การคาดการณ์หน้าตาของรัฐธรรมนูญที่จะออกมา และตั้งข้อสังเกตถึง จุดประสงค์ ของผู้ที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเครื่องมือของตนเอง มิใช่กฎหมายสูงสุดของคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่รู้ ล็อคอิน จะอยู่ได้จนเขียนจบทุกบทความตามที่ตั้งใจหรือเปล่านะครับ คงต้องติดตามกัน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ..นายพระรอง) ตอนที่ 2 เจาะลึกรัฐธรรมนูญ สิ่งที่คนบางกลุ่มโหยหาและอยากนำมาบังคับใช้กับสังคม
สิ่งที่เป็นธรรมเนียมของการจัดทำรัฐธรรมนูญของประเทศไทยทุกครั้ง คือ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งตัวแทนของประชาชน หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า กติกาการแข่งขัน ที่มักซ่อนความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำที่ไม่เท่าเทียนกัน อยู่ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับแรก จนถึงฉบับที่ถูกฉีกทิ้งไปล่าสุด ล้วนแต่มีบทบัญญัติทีเกี่ยวข้องกับกติกาการแข่งขันทั้งนั้น
รัฐธรรมนูญฉบับแรก ฉบับชั่วคราว 2475 ก็บัญญัติไว้ว่า
หมวด ๓
สภาผู้แทนราษฎร
ส่วนที่ ๑ อำนาจและหน้าที่
มาตรา ๘ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจออกพระราชบัญญัติทั้งหลาย พระราชบัญญัตินั้นเมื่อกษัตริย์ได้ประกาศให้ใช้แล้ว ให้เป็นอันใช้บังคับได้
ถ้ากษัตริย์มิได้ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัตินั้นภายในกำหนด ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับพระราชบัญญัตินั้นจากสภาโดยแสดงเหตุผลที่ไม่ยอมทรงลงพระนาม ก็มีอำนาจส่งพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังสภา เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งถ้าสภาลงมติยืนตามมติเดิม กษัตริย์ไม่เห็นพ้องด้วย สภามีอำนาจออกประกาศพระราชบัญญัตินั้นใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
มาตรา ๙ สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้
ส่วนที่ ๒ ผู้แทนราษฎร
มาตรา ๑๐ สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นไปตามกาลสมัยดั่งนี้
สมัยที่ ๑ นับแต่วันใช้ธรรมนูญนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงเวลาที่สมาชิกในสมัยที่ ๒ จะเข้ารับตำแหน่งให้คณะราษฎรซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจแทนจัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นเป็นจำนวน ๗๐ นายเป็นสมาชิกในสภา
สมัยที่ ๒ ภายในเวลา ๖ เดือนหรือจนกว่าการจัดประเทศเป็นปกติเรียบร้อย สมาชิกในสภาจะต้องมีบุคคล ๒ ประเภททำกิจการร่วมกัน คือ
ประเภทที่ ๑ ผู้แทนซึ่งราษฎรจะได้เลือกขึ้นจังหวัดละ ๑ นาย ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกเกินกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน ให้จังหวัดนั้นเลือกผู้แทนเพิ่มขึ้นอีก ๑ นายทุกๆ ๑๐๐,๐๐๐ นั้น เศษของ ๑๐๐,๐๐๐ ถ้าเกินกว่าครึ่งให้นับเพิ่มขึ้นอีก ๑
ประเภทที่ ๒ ผู้เป็นสมาชิกอยู่แล้วในสมัยที่ ๑ มีจำนวนเท่ากับสมาชิกประเภทที่ ๑ ถ้าจำนวนเกินให้เลือกกันเองว่าผู้ใดจะคงเป็นสมาชิกต่อไป ถ้าจำนวนขาดให้ผู้ที่มีตัวอยู่เลือกบุคคลใดๆ เข้าแทนจนครบ
…ไล่เรียงกำหนดกติกาข้อบังคับต่างๆไปอีก จนถึง มาตรา ๓๘
ซึ่งบทบัญญัติลักษณะนี้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า หากมิได้เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนเป็นผู้จัดทำแล้วล่ะก็ กติกาการเลือกตัวแทนเหล่านี้ จะถูกบทบัญญัติบางข้อ กำหนดให้ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทน ต้องเป็นพวกเดียวกัน กับผู้มีอำนาจในขณะนั้นเสมอ
ในตัวอย่างรัฐธรรมนูญ 2475 ที่ยกมาแสดง ก็ระบุไว้ชัดเจนในมาตรา ๑๐ สมาชิกสภาประเภทที่ ๒
และกติกาประเภทนี้ล้วนแต่สร้างความไม่เป็นธรรมของความเท่าเทียมกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะแบ่งแยกให้ตัวแทนประชาชนบางส่วนถูกคัดเลือกหรือแต่งตั้งด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว กติกาตัวแทนลักษณะของการแต่งตั้งนี้มีบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่มาจากประชาชนโดยแท้จริง นั้นคือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2540
ถ้าว่ากันถึงความเหมาะสมแล้วอ้างเรื่องของยุคสมัย อย่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ผู้ร่างอย่างคณะราษฏรอ้างว่าประชาชนยัง”ไม่พร้อม” กับระบอบการปกครองใหม่ คณะราษฎรจึงได้เสียสละทำหน้าที่แทนให้ก่อน ด้วยการยอมใช้สิทธิของตัวเองแต่งตั้งตัวแทนส่วนหนึ่งให้กับประชาชน
คำถามก็คือ..
ประเทศเรานี้ประเทศเรานี้ประชาชนไม่มีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเลยหรืออย่างไร..? ถึงได้มีคนบางกลุ่มต้อง”เสียสละ”ทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมดทุกครั้งในทุกรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมิได้เป็นผู้ร่าง
เรื่องของยุคสมัยจึงไม่น่าใช่ประเด็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญลักษณะนี้ เพราะรัฐธรรมนูญล่าสุดที่ประเทศเราใช้ก็มีบทบัญญัติในลักษณะของการแต่งตั้งปรากฏอยู่
หรือนั้นหมายความว่า ประชาชนไทยในสายตาของใครบางพวก คือคนที่ไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตยหรือ..?
และความไม่พร้อมนี้จะคงอยู่กับประชาชนคนไทยไปตลอดกาลนาน เสมอไปในสายตาคนบางพวกใช่หรือไม่..?
คำตอบคืออะไรไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือ รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดที่เราเคยใช้
คือ รัฐธรรมนูญ 2550ที่ประชาชนถูกบังคับให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญด้วยคำว่าว่า”รับๆไปก่อนค่อยแก้ทีหลัง”นั้นก็มีกติกาตัวแทน ในลักษณะแต่งตั้งปรากฏชัดอยู่ในมาตรา๑๑๑ ที่ว่า”วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวมหนึ่งร้อยห้าสิบคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคน และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง”
นั้นแปลว่าเรื่องยุคสมัยเป็นเพียงข้ออ้างที่จะเอาเปรียบและก่อให้เกิดสิทธิพิเศษที่ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันในการแสดงออกซึ่งการเลือกตัวแทนมาทำหน้าที่แทนประชาชนเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของบทบัญญัติลักษณะนี้คือ กติกาของตัวแทน การแข่งขันที่ต้องการผู้ชนะที่พร้อมจะเป็นพวกเดียวกัน
เพราะการแข่งขันที่เป็นธรรมเพื่อหาตัวแทนของประชาชนเข้ามาทำหน้าที่สำคัญเหล่านี้ควบคุมและหวังให้เกิดผลอย่างที่คณะผู้ครองอำนาจในแต่ล่ะสมัยคาดหวังนั้นเป็นเรื่องยาก ผู้ร่างรัฐธรรมนูญทุกชุดที่มีต้นกำเนิดจากผู้ครองอำนาจ มิใช่ประชาชนทั้งประเทศจึงได้พยายามบัญญัติกติกาที่เอาเปรียบประชาชนอยู่ร่ำไปไว้ในรัฐธรรมนูญที่ตัวเองจัดทำขึ้น
การแข่งขัน คือสิ่งที่คนเหล่านั้นหวาดกลัว และไม่กล้าจะเสนอหน้าลงแข่งอย่างเป็นธรรม จึงใช้การ”แต่งตั้ง”เป็นทางลัดในการเป็นผู้ชนะและได้ครอบครองอำนาจของประชาชน
และคงไม่แปลกอะไรหากบทบัญญัติในส่วนของการเป็นตัวแทนประชาชน จะมีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนมาทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งหมดอีกครั้ง ในรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมิได้มีส่วนร่วมในการจัดทำ เพราะมันเป็นเช่นนี้มาตลอดเวลาในสังคมการเมืองของประเทศเรา
*ป.ล. ต่อเนื่องกันด้วยการชี้ประเด็นเข้าสู่การคาดการณ์หน้าตาของรัฐธรรมนูญที่จะออกมา และตั้งข้อสังเกตถึง จุดประสงค์ ของผู้ที่ต้องการให้รัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเครื่องมือของตนเอง มิใช่กฎหมายสูงสุดของคนทั้งประเทศ ซึ่งไม่รู้ ล็อคอิน จะอยู่ได้จนเขียนจบทุกบทความตามที่ตั้งใจหรือเปล่านะครับ คงต้องติดตามกัน
ขอบคุณครับ
นายพระรอง