เมื่อผมชอบอยู่บ้าน แต่บ้านกลับเป็นที่ๆอึดอัดที่สุดในโลก

สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆทุกคนครับ  ตอนแรกผมช่างใจอยู่นานว่าควรนำลงมาเขียนในพันทิปดีมั้ย แต่แทบไม่มีใครให้คำปรึกษาที่ช่วยผมได้จริงๆ ก็เลยลองเขียนดูแล้วกัน

ผมเป็นพี่ชายคนโตของบ้านครับ อายุ 22ปี  มีน้องชายสองคน มองจากข้างนอกแล้วบ้านผมดูเหมือนปกติดี อบอุ่น มีเงินใช้จ่ายสบายไม่ลำบาก พ่อแม่ให้เงินใช้จ่ายสะดวกสบาย แต่ผมกลับอึดอัดมาก นี่ผมก็เพิ่งหายจากอาการโรคซึมเศร้ามาสักพัก

ขอเท้าความกลับไปสมัยประถมห้า วันนั้นเป็นวันที่ผมร้องไห้อย่างไม่อายสายตาคนอื่นครั้งแรกในชีวิต ผมร้องไห้แล้วเข้าไปคุยกับคุณครูท่านหนึ่ง เรื่องปัญหาภายในบ้านระหว่างพ่อกับแม่ของผม ตอนนั้นยังเด็ก แค่เห็นเขาทะเลาะกันผมก็ร้องไห้แล้วครับ แล้วปัญหานั้นมันก็สะสมเรื่อยมา ดูเหมือนว่ายิ่งผมโตขึ้น ผมก็กลายเป็นคนกลางมากขึ้นทุกที ปัญหาภายใน ภายนอก ผมรับทราบทั้งหมด ระบบวิธีการคิดเริ่มห่างจากความเป็นเด็กหรือวัยรุ่นทั่วไปจนหาเพื่อนคบยาก และต้องทนอึดอัดกับความลับและปัญหามากมาย

มีอยู่วันหนึ่ง ผมปวดหัวมากตลอดเวลา คอตึง ก้มไม่ได้ เงยไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่หลายวัน จนกระทั่งไปหาหมอระบบประสาทและสมอง หมอบอกว่าผมเครียดเกินไป ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 14 ปี เรียนแค่ชั้น ม.2 แม้จะเป็นห้องแข่งกันเรียนก็เถอะ ช่วงนั้นกินยาคบายกล้ามเนื้อเป็นว่าเล่นจนแทบติด แล้วปัญหาทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม และดูเหมือนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น

ที่บ้านผมทำกิจการขายของและบริการ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้ใช้เมื่อถึงเวลาครับ เปิดโทรศัพท์รับงานตลอด 24ชม. และไม่เคยปิดร้านหรือหยุดแม้แต่วันเดียวมาเป็นสิบๆปีแล้ว สมัยเด็กๆพ่อแม่ก็ให้ช่วยทำอะไรตามปกติ เรียน ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ลงไปช่วยคนงานยกของ ช่วยทำของ เป็นเรื่องปกติ ผมไม่ชอบหรอกครับ แต่ต้องทำ ไม่งั้นโดนด่า

กลับเข้าเรื่อง ตัดมาตอนนี้เลย ทุกวันนี้ผมก็ช่วยบ้างถ้ามีเวลาว่าง หรือจำเป็นต้องช่วย เนื่องจากผมเรียนค่อนข้างหนัก (เรียนเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง) แต่กระนั้นผมก็ยังต้องช่วยยกของ ทำของ ทำงานบ้าน ทำบัญชีภาษีร้าน ทำทุกอย่างตามแต่พ่อแม่จะสั่ง

ประเด็นคือ พอยิ่งผมโต ผ่านสังคมมาหลายรูปแบบ ผมว่าระบบการคิด วิธีการมองโลกของผมต่างกับพ่อแม่ ต่างกันมากๆจนผมกลายเป็นตัวประหลาดนอกคอกในบ้าน ทุกครั้งที่มีปัญหากัน เถียงกัน ผมจะพยายามอธิบายด้วยเหตุผล และความคิด แต่กลายเป็นว่าพ่อแม่ชอบด่าและเถียงคืนแบบกำปั้นทุบดิน แทบไม่มีเหตุผล ผมกลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่พูด ไม่เถียง ถ้าไม่สุดจริงๆ โลกส่วนตัวสูงมาก ปัญหาที่ทะเลาะกันเช่น ล่าสุด ผมสอลไฟนอล ผมเลิกเรียน 16.00น. กลับมาถึงบ้าน 18.00-19.00 น. กลับมาผมจัดเวลาตัวเองด้วยการกินข้าวแล้วนอนก่อนเลย 1-2 ชั่วโมง แล้วอ่านหนังสือยาวๆ ตั้งแต่ 20.00 น. จนถึง 6-7โมงเช้าของอีกวัน พักสายตา 1-2 ชม. แล้วอาบน้ำไปมหาวิทยาลัยก่อนเวลาสอบ 2-3ชม. เพื่อทวนอีกรอบ บ่ายแก่ๆกลับมาบ้าน แล้วก็วนลูปแบบนี้อยู่เกือบ 2สัปดาห์ พึ่งกาแฟกระป๋องและเอ็มร้อยไปเป็นโหล ผมเครียดมาก และร่างกายก็พักผ่อนไม่พอ แต่สิ่งที่ผมถูกบ่นและด่าคือ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวของบ้าน ไม่ช่วยทำงาน เวลาขอตังแม่ก็ให้(ผมได้เงินไปมหาวิทยาลัยเยอะครับ ตกวันละ 500-1,000) ผมกลายเป็นพี่ชายที่นิสัยเลว โบ้ยน้องทำงาน ผมถูกด่าด้วยคำกระแนะกระแหน จี้จุด ด่าหยาบคาย ทั้งๆที่ผมเหนื่อยและเครียดจนน้ำหนักผมลดไปเกือบ 3กิโลกรัมในเวลา 11 วันระหว่างการสอบ หลายครั้งทีผมกำลังจริงจังกับการอ่านหนังสือ ผมจะถูกรบกวนด้วยการถูกใช้ให้ไปทำนั่นนี่ ทั้งๆที่แม่ก็เห็นว่าผมอ่านหนังสืออยู่ ปากเค้าชอบบอกว่า ช่วยกูบ้าง ถ้ามีคนงานพอกูไม่ใช้หรอก บางทีผมเคยแอบคิดว่าเค้าทนไม่ได้ที่เห็นผมดูเสมือนว่าสบายกว่า(นั่งนิ่งๆจับปากกา อ่านหนังสือ)ในขณะที่เค้าต้องลงไปทำงาน สั่งงานลูกน้อง ช่วยลูกน้องทำงานหรือเปล่า  ในฐานะที่ผมทั้งเรียนหนักและผ่านการทำงานหนักมาเยอะ ผมบอกเลยแม้การทำงานจะใช้แรงกายหนักกว่าเรียนหน่อย แต่มันเหนื่อยน้อยกว่าการเรียนมากสำหรับผม อย่างน้อยการทำงาน เรามีความสุขกับมัน ทำแล้วได้เงิน ได้ชื่นใจบ้าง  แต่เรียนหนักแล้วยังต้องเครียดเวลาสอบ ไม่มีสภาวะที่ได้ชื่นใจ เกรดออกทีก็มีมานั่งเครียดลุ้นเกรด ผ่านไม่ผ่าน เกรดรวมจะเป็นเท่าไหร่.. ผมท้อมาก ที่ต้องจริงจังกับการต้องทำสองอย่างนี้พร้อมๆกัน ลำพังแค่เรียนก็เครียดมากแล้ว ยิ่งตอนนี้อยู่ปี 4 แถมช่วยงานที่บ้านบ้างอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่เคยข่วยเลย

ถ้าให้ผมวิเคราะห์พื้นฐานวิธีคิด คือ แม่ผมเรียนรามฯครับ คณะมนุษยฯ ทำงานช่วยยายไปด้วยตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลยจนซื้อตึกได้หลายตึก ซื้อบ้าน ขยายกิจการ (ตอนนี้มีลูกค้าเป็นโรงพยาบาลรัฐหลักๆที่มีชื่อเสียงหลายโรงพยาบาลทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนฯ) แม่เรียนจบ 5ปี เรียนแบบชิลๆ เอางานเป็นหลัก ไม่เคยเข้าสังคม ไม่เปิดรับแนวคิด ความคิดใหม่ๆ ผมว่าผมหัวโบราณแล้วแต่น้อยกว่าแม่ผมมาก แถมบางเรื่องเค้าคิด ยึดถือเหมือนหัวโบราณ แต่อันที่จริงเค้าก็ทำไม่ได้ หรือบางอย่างก็เคยทำผิดพลาดมาช่วงวัยรุ่น ซึ่งจริงๆมันคือความลับที่ถูกปิดตาย แต่ผมไปรู้เข้า ส่วนตัวผม เรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยปิด ผ่านการเข้าสังคมมาเยอะ ทั้งสังคมเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง สังคมนักการเมือง นักธุรกิจ และบรรดาคณาจารย์ระดับผศ. รศ. ศ. ส่วนใหญ่ผมจะสนิทกับบรรดาท่านๆที่อายุมากกว่าพวกเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน นี่คือความต่างของที่มาของระบบการคิดและวิเคราะห์ปัญหาเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างอีกอัน เรื่องการเมือง สมัยก่อนเราอยู่ข้างเดียวกันครับ เนื่องจากผมมีจุดร่วมตรงกับแม่พอดี แต่พอเปลี่ยนผ่านอำนาจหรือรัฐบาล ข้างที่เค้าชอบได้เป็น เค้าอวย เห็นด้วยไปหมด จนลืมมองสภาพแวดล้อมอื่นๆประกอบ แต่ผมยังกลับด่าชุดนั้นในบางจุด เหมือนกับที่ด่าชุดก่อน ตามแต่ละเรื่องที่เราเห็นว่าไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง ประมาณว่าถูกก็ชม ผิดหรือไม่สมควรก็ด่านั่นแหละครับ ไม่เข้าข้างไหนเป็นพิเศษ บ้านเมืองจะได้เจริญด้วยระบบและบริบทไม่ใช่ตัวนักการเมือง ซึ่งผมต่างกับแม่ผมที่เค้าชอบเค้าชม หรือแม้เรื่องไหนน่าจะถูก แต่ขัดใจเค้า เค้าด่า แล้วผมเป็นลูก แม่เป็นแม่ จะทำอะไรได้ใช่มั้ยครับ เถียงยังไงก็แพ้อยู่ดี

อีกเรื่องคือการเอาเรื่องเงินมาขู่ “ทำแบบนี้ เถียงมากนัก ก็ไม่ต้องเอาเงินกู ไปทำมาหา-เอาเอง” ทั้งๆที่น้องชายนั่งเล่นเกมอยู่นะ แต่ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือเพื่อพักสายตาและสมอง ผมกลับโดนหาเรื่องชวนทะเลาะก่อน แต่น้องเล่นเกมตั้งแต่สามทุ่มถึง 6โมงเช้ากลับไม่โดนแบบผม แล้วผมดันเป็นคนตรงๆคิดยังไงพูดอย่างนั้น ไม่ไหล ไม่เอนเอียง แต่มีกาลเทศะนะครับ

บางทีผมคิดนะว่ายังดีไม่พออีกหรือ? ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นพนัน ไม่เล่นเกม ช่วยทำงานในเวลาว่าง เรียนเต็มที่ตามลิมิตร่างกายและจิตใจ ช่วยทำบัญชี ทำภาษี ทำงานของที่ร้าน แบกรับทุกอารมณ์ควมมรู้สึก เงินใช้จนหมดจริงๆจึงจะขอใหม่ ขออะไรที่อยากได้ต้องรออย่างน้อยๆ 1-2ปี จึงจะได้ ต้องตื่นแต่เช้าทุกวันแม้เสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่ตื่นจะโดนด่ากรอกหูด้วยคำหยาบคายต่างๆนาๆ บางทีนอนๆอยู่ ดื้อไม่ลุก ก็ถูกเอาน้ำสาดใส่ทั้งถัง(ถังใหญ่มาก) น้ำท่วมห้อง ท่วมที่นอน บางวันงานด่วน หน้าไม่ได้ล้าง น้ำไม่ได้อาบ ฟันไม่ได้แปรง ลืมตาสะลึมสะลือปุ๊บต้องรีบวิ่งลงไปช่วยคนงานยกของทำของ บางทีนอนๆอยู่ ตี2-3 ลูกค้าโทรมาสั่งของก็ต้องตื่นลงไปช่วยทำ เพราะพ่อแม่เกรงใจลูกน้อง ขนาดนี้แล้วผมต้องทำอะไรอีกเค้าถึงจะพอใจ พอผมท้อมากๆ เวลาผมอยากจะเท ผมเถียงเค้าว่า เอางี้มั้ย ลาออกเลย ไม่ต้องเรียนแล้ว ออกมาช่วยงาน เค้าตอบว่า ตามสบาย ไปเลยสิ ประชดโดยไม่มีเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ ไม่สนใจบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป ไม่เคยปรับตัว ไม่เคยเปิดรับทัศนคติใครๆทั้งนั้นถ้าไม่ตรงความคิดตัวเอง ไม่เคยเก็บความคิดที่ไม่เหมือนของตัวเองมานั่งวิเคราะห์หรือคิดตามว่าทำไมคนๆนั้นจึงคิดแบบนั้น ซึ่งต่างกับผมที่มองโลกในแง่บวกเสมอ และเก็บทุกความคิดที่แย้งความคิดตัวเองมานั่งคิดว่าอะไรเป็นเหตุให้เขาคิดต่างจากเรา เราสามารถทำอะไร ปรับตัวอย่างไรได้บ้าง จริงๆเรื่องมันหนักกว่านี้มากนะครับ แต่ผมเขียนให้มันดูซอฟท์ลง และข้ามรายละเอียดและปัญหาใหญ่ๆไปอีกเยอะมาก  แต่อยากให้มองที่ประเด็นมากกว่าในเรื่องวิธีการมองโลกและทัศนคติ รวมถึงประสบการณ์ที่ต่างกันแบบสุดขั้วแบบนี้ จะควรทำยังไง ผมเพียงแค่พื้นที่ระบายให้ใครได้รับรู้ อยากได้คำแนะนำและกำลังใจเท่านั้นเองครับ ว่าผมควรอะไรยังไงต่อไปดี ขอบคุณครับที่รับฟัง ผมเหนื่อยและเบื่อเหลือเกิน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่