กาลเวลาไม่มีอยู่จริง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมไม่มีกาลเวลา
สิ่งที่ปรากฏมี สิ่งที่ไม่ปรากฏมี ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งที่ปรากฏมี สิ่งที่ไม่ปรากฏมี ไม่มีอยู่จริง
ขนาด สูง ต่ำ ยาว สั้น เล็ก ใหญ่ ขนาดทั้งปวงไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ขนาดไม่มีอยู่จริง
แสงสว่าง ความมืด ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แสงสว่าง ความมืด ก็ไม่มีอยู่จริง
จักวาลภายนอก จักวาลภายใน ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง จักวาลภายนอก จักวาลภายใน ไม่มีอยู่จริง
นรก โลก สวรรค์ พรหม ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง 31ภพภูมิ ก็ไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงมายา ที่ไม่จีรังยั่งยืน มีการเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ภายในใจของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชา จึงเวียนว่ายตายเกิดภายในใจตน เกิดก็มาคนเดียว ตายก็ไปคนเดียว ไม่มีไครมาเกิดด้วย ไม่มีไครมาตายด้วย มีแต่ผู้หลงที่เรียกว่าสัตว์ ที่หลงในภพ ที่หลงในชาติ ที่ใจเป็นผู้ปรุงแต่งสร้างขึ้น กงขนาดใหญ่ที่ขังสัตว์ใว้ ก็คือธรรมชาติภายในใจนั้นเอง ธรรมชาติภายในใจของสัตว์ทั้งปวง ล้วนแต่เป็นพื้นที่เดียวกัน ไม่มีประมาณ ไร้ขอบเขต สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ก็เวียนว่ายตายเกิดภายในใจทั้งสิ้น เมื่อหมดอวิชชา หมดความหลง สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นก็นิพพาน
ิจำใว้นะ!!! เวลามาเกิดก็มาคนเดียว เวลาตายก็ไปคนเดียว ท่องเที่ยวอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเรา ไม่มีเขา อยู่จริง เมื่อนิพพาน ก็นิพพานเฉพาะตน ไม่มีไครมานิพพานด้วยหรอกนะ มีแต่สิ่งหนึ่งที่ยังหลง ก็เวียนเกิดเวียนตายอยู่เฉพาะตนนั้นแล เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ก็หมดความหลง นิพพานเฉพาะตนเลยทีเดียว นิพพานไม่ได้อยู่นอกโลก นิพพานไม่ได้อยู่ในโลก สิ่งที่อยู่นอกโลก สิ่งที่อยู่ในโลก ล้วนแต่เป็นธรรมชาติของใจ ล้วนแต่เป็นมายาสมมุติทั้งสิ้น ที่ชวนให้สัตว์เป็นผู้หลงอย่างยาวนาน ธรรมวันนี้อาจจะเข้าใจยาก เพราะเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ยากต่อการเข้าใจ แต่เมื่อหมดอวิชชาเมื่อไหร่ ก็จะเห็นจริงตามนี้
สิ่งทั้งปวงมีการเคลื่อนตลอดเวลา(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้วสิ่งใดที่เที่ยงแท้ทาวรไม่มีการเคลื่อน?
สิ่งที่ปรากฏมี สิ่งที่ไม่ปรากฏมี ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งที่ปรากฏมี สิ่งที่ไม่ปรากฏมี ไม่มีอยู่จริง
ขนาด สูง ต่ำ ยาว สั้น เล็ก ใหญ่ ขนาดทั้งปวงไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ขนาดไม่มีอยู่จริง
แสงสว่าง ความมืด ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แสงสว่าง ความมืด ก็ไม่มีอยู่จริง
จักวาลภายนอก จักวาลภายใน ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะมีเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง จักวาลภายนอก จักวาลภายใน ไม่มีอยู่จริง
นรก โลก สวรรค์ พรหม ไม่มีอยู่จริง มีได้เพราะเหตุและปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง 31ภพภูมิ ก็ไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงมายา ที่ไม่จีรังยั่งยืน มีการเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ภายในใจของสัตว์ สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชา จึงเวียนว่ายตายเกิดภายในใจตน เกิดก็มาคนเดียว ตายก็ไปคนเดียว ไม่มีไครมาเกิดด้วย ไม่มีไครมาตายด้วย มีแต่ผู้หลงที่เรียกว่าสัตว์ ที่หลงในภพ ที่หลงในชาติ ที่ใจเป็นผู้ปรุงแต่งสร้างขึ้น กงขนาดใหญ่ที่ขังสัตว์ใว้ ก็คือธรรมชาติภายในใจนั้นเอง ธรรมชาติภายในใจของสัตว์ทั้งปวง ล้วนแต่เป็นพื้นที่เดียวกัน ไม่มีประมาณ ไร้ขอบเขต สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ก็เวียนว่ายตายเกิดภายในใจทั้งสิ้น เมื่อหมดอวิชชา หมดความหลง สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นก็นิพพาน
ิจำใว้นะ!!! เวลามาเกิดก็มาคนเดียว เวลาตายก็ไปคนเดียว ท่องเที่ยวอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเรา ไม่มีเขา อยู่จริง เมื่อนิพพาน ก็นิพพานเฉพาะตน ไม่มีไครมานิพพานด้วยหรอกนะ มีแต่สิ่งหนึ่งที่ยังหลง ก็เวียนเกิดเวียนตายอยู่เฉพาะตนนั้นแล เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ก็หมดความหลง นิพพานเฉพาะตนเลยทีเดียว นิพพานไม่ได้อยู่นอกโลก นิพพานไม่ได้อยู่ในโลก สิ่งที่อยู่นอกโลก สิ่งที่อยู่ในโลก ล้วนแต่เป็นธรรมชาติของใจ ล้วนแต่เป็นมายาสมมุติทั้งสิ้น ที่ชวนให้สัตว์เป็นผู้หลงอย่างยาวนาน ธรรมวันนี้อาจจะเข้าใจยาก เพราะเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ยากต่อการเข้าใจ แต่เมื่อหมดอวิชชาเมื่อไหร่ ก็จะเห็นจริงตามนี้