M I N I N O V E L
-1-
คานทองวิลลา
6
“เข้าใจแล้ว...”
นาปรัง นึกถึงสีหน้าเพื่อนในตอนนั้นแล้วก็ให้ถอนใจเฮือก แกว่งขาเตะน้ำในสระจนชุดเปียกหมดไปเกือบทั้งตัว อัมราเดินมาเห็นพอดีก็ให้หยุดชะงัก ยืนเท้าสะเอวส่ายหัวก่อนจะเดินเข้ามาหาเพื่อนที่ไม่รู้เป็นบ้าอะไรมานั่งตากแดดแช่น้ำอะไรตอนนี้
“ปรัง นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย ลุกไป เข้าบ้าน ไปอาบน้ำ ชุดเปียกหมดแล้วเนี่ยเห็นมั้ย เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“หึ ไม่เอาอ่ะ ถ้าฉันไม่สบายไงแกก็คุยเรื่องบ้านแทนฉันด้วยละกัน”
“เหย ได้ยังไงกัน แกเป็นเจ้าของนะเว้ย เรื่องใหญ่แบบนี้ตัดสินใจเองสิ ไปเลยเร็ว ลุก” อัมราไม่พูดเปล่าโน้มตัวดึงแขนเพื่อนให้ลุก แต่เจ้าตัวก็จงใจทำตัวหนักไม่ไปไหน อัมราสู้อยู่นานแต่ก็สู้ไม่ได้ ต้องปล่อยแขนทิ้งแล้วก็สบถอย่างรำคาญ
“เออ จะนั่งให้ไข้จับก็ตามใจเลย ส่วนบ้านเนี่ยฉันจะปล่อยให้พวกมีรักมีชู้ซื้อเก็บไว้ทำอาบอบนวดเลยคอยดู เอาให้บันเทิงเลยแม่ม!”
“เฮ้ยไม่ได้นะ!” นาปรัง โวยลั่นลุกขึ้นพรวด อัมราลอบยิ้มก่อนจะแสร้งกลับมาทำหน้าบึ้งอีก
“ถ้างั้นก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมยาไว้ให้” คนโหดพูดจบก็เดินเข้าข้างในไป ปล่อยให้นาปรัง ที่ยืนตัวเปียกต้องถอนใจเฮือก เดินแขนแกว่งอย่างไม่พอใจราวกับเด็กเดินตามเข้าไป
ครั้นพออาบน้ำเสร็จก็ลงมาข้างล่างทั้งที่ผ้าขนหนูยังคาหัว อัมราเห็นก็เรียกให้มากินยาดักไข้ เธอยอมกินอย่างว่าง่ายแล้วก็เดินไปเปิดพัดลมนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงตากผมให้แห้ง อัมราที่เห็นว่าเพื่อนคงใจเย็นลงแล้วจึงได้ถือโอกาสมานั่งใกล้ๆ คุยเรื่องนาปี
“ปรัง ”
“หืม?” คนถูกเรียกขานรับขณะที่หัวยังจ่อหน้าพัดลมพลางมือก็ใช้ผ้าขยี้เช็ดผมไปด้วย
“ไม่สงสารไอ้ปีมันมั่งเหรอวะ?”
กึก...
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยแต่ก็กลับมาทำเป็นไม่สนได้อย่างรวดเร็ว
“สงสารทำไม กะอิแค่ไม่ได้เรือนไทยหลังนั้นทำไมจะต้องสงสาร ที่อื่นมีให้มันเลือกตั้งเยอะแยะ แถมคนอย่างมันถ้าคิดอยากจะได้เรือนไทยสักหลังจริงๆ สั่งทำเอาก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องพยายามเอาเรือนหลังนั้นให้ได้เลย”
“ก็มันบอกแล้วไงว่าหลังนี้ถูกสเป็คมันที่สุดแล้ว ต่อให้มีปัญญาสร้างเองมันก็คงไม่เอาหรอกในเมื่อมันเจอของมันแล้ว ส่วนแกนี่ก็ทำลายกำแพงตัวเองซะทีเถอะ ปีมันไม่ได้ทำผิดอะไรทำไมต้องไปทำร้ายมันด้วยวะ”
“แหมนี่ น้อยๆ หน่อยเถอะ แกพูดอย่างกับฉันว่าไปฆ่าไปแกงมันงั้นแหละ นี่เปลี่ยนใจเห็นมันดีกว่าฉันแล้วใช่มะ” คนพาลหันหัวไปมองเพื่อนตาขวาง อัมราถอนใจระอา
“นี่ไอ้ปรัง ฉันเนี่ย ไม่คิดเข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ เพราะแกก็เพื่อน มันก็เพื่อน แต่ที่ฉันพูดอยู่นี่เพราะอยากให้แกเปิดใจรับมันเป็นเพื่อนไว้อีกสักคน ฉันไม่เข้าใจว่าแกจะเอาคำว่าคู่จิ้นมาเป็นกำแพงทำไม มีความสุขนักเหรอที่เป็นแบบเนี้ย ถามใจแกดูเองนะ ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไป ฉันเองก็คงพูดได้แค่นี้ เพราะรู้ว่าคนอย่างแกมันดื้อ พูดให้ตายยังไงก็คิดไม่ได้หรอก นอกจากจะเสียสิ่งนั้นไปแล้วแกถึงจะคิดได้” อัมราใส่มาเป็นชุดแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก ส่วนนาปรัง ที่อึ้งไปชั่วขณะตกใจถามเพื่อน
“แล้วนั่นแกจะไปไหนแอปเปิล?”
คนถูกถามหันมามองตาขวาง
“ไปหาอะไรกินแก้เครียด!” แล้วก็ผลักประตูออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของเธอเลยสักนิด มาตอนนี้นาปรัง ได้อยู่คนเดียวเสียที ความเงียบ...ทำให้เธอกลับมาก้มหน้าคิดถึงคำพูดเพื่อนเมื่อกี้ หญิงสาวถอนใจ
“ถ้าเกลียดมันก็ไม่ต้องไปสนใจมันสิวะไอ้ปรัง นี่แกจะไปบ้าจี้สงสารมันทำไม พอได้แล้ว! ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
สองสัปดาห์ผ่านไป...
ทั้งนาปีและนาปรัง ต่างก็มีงานยุ่งพันตัวกันทั้งคู่ ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องของกันและกัน โดยเฉพาะนาปรัง ที่ช่วงนี้ต้องรับศึกกับลูกค้าที่อยากได้เรือนไทยหลังนั้นมาก แต่เธอต้องปฏิเสธไปทุกราย บอกว่าหลังนั้นไม่ได้จริงๆ ต้องขออภัยด้วย ทั้งที่คนที่มาซื้อก็โสดของแท้ แต่เธอ...ขายให้ไม่ได้จริงๆ
อัมรามองลูกค้าสาวคนนั้นที่เดินทำหน้าผิดหวังไปก็ให้ขมวดคิ้ว เพราะนี่มันคนที่เจ็ดแล้วที่มาติดต่อซื้อเรือนหลังนั้นแต่เพื่อนสาวกลับไม่ขายให้ อะไรกันเนี่ย จะกั๊กไว้ทำไม
เมื่อปลอดคนจริงๆ เหลือกันสองคนเพื่อนสนิท อัมราจึงเดินมาหานาปรัง ที่นั่งเงียบๆ ดูซึมผิดปกติ
“เฮ้ยปรัง ฉันถามจริงเหอะเรื่องเรือนไทยหลังนั้นอ่ะ ทำไมแกไม่ขายให้ใครไปสักทีวะ จะกั๊กไว้ทำไม? นี่เหลือหลังสุดท้ายแล้วนะเว้ยที่ยังขายไม่ได้อ่ะ สี่สิบห้าล้านเลยนะ จะทิ้งไว้ให้ร้างรึไง”
นาปรัง เม้มปาก พูดเสียงเบา
“ขายไม่ได้ มีคนจองแล้ว”
“ใคร?” หล่อนถามเสียงแข็ง อยากรู้ว่าคนที่ว่านี่ใคร แล้วนี่จองแล้วทำไมไม่มาอยู่สักที จ่ายก็ยังไม่จ่าย มันจองกันยังไงวะเนี่ย
นาปรัง ไม่พูดอะไรต่อ เธอขอตัวออกไปข้างนอก แล้วก็เดินออกไปเสียดื้อๆ อย่างนั้น อัมราอ้าปากค้าง ยกมือเกาหัวแกรกๆ
“โอ้ย ไอ้ปรัง เอ้ย ยิ่งนับวันฉันยิ่งไม่เข้าใจในตัวแกเลยว่ะ ผีเข้าผีออกบ่อยจังวะเนี่ย”
ว่าแต่...ไอ้คนจองที่ว่านี่...ใครกันนะ? ถ้าไม่สำคัญจริงเพื่อนขี้งกของหล่อนคงไม่กล้าไล่ลูกค้าทุกคนที่มาติดต่อซื้อเพียงเพราะเขาคนนั้นจองหรอก แถมยังเสี่ยงเกินไปด้วยที่จะถูกเบี้ยวเพราะเงินอะไรก็ยังไม่ได้จ่าย อืม...ใคร? ใครกัน???
ฟากนาปีเองก็หัวปั่นเรื่องงาน แต่ไม่ได้ยุ่งเพราะงานที่เข้ามา หากเขาวิ่งเข้าหางานเองมากกว่า เขาทำตัวยุ่งเสียจนลูกน้องต้องเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอะไรมั้ย? เขาขมวดคิ้วตอบเสียงห้วนว่าเป็นอะไร จะให้เป็นอะไร แปลกใจอะไรกันนักหนา ไม่เคยเห็นคนบ้างานรึไง ลูกน้องกลืนน้ำลาย มองสิ่งที่เขาทำแล้วก็ให้พูดอีกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า
“แต่งานที่พี่ทำอยู่นี่มันของพวกหนูทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ก็แล้วจะทำไม นี่มันบริษัทพี่ พี่จะทำ ใครมีปัญหาก็ลาออกไปซะ” พ่นไฟเสร็จก็ก้มหน้าทำงานต่อคนเดียว โดยที่ปล่อยให้ลูกน้องแต่ละคนยืนมองหน้ากันห่อปากที่ถูกเขาวีนใส่อย่างที่ไม่เคยโดนมาก่อน เอาง่ายๆ...ตั้งแต่ที่พวกหล่อนเข้ามาทำงานที่นี่ยังไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่จะถูกเขาวีนอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ นี่เขาเป็นบ้าอะไร?
ทุกคนถอนใจ สลายตัวออกไปจากห้อง ส่วนพระเอกที่ยืนวาดแบบอะไรต่อมิอะไรก็หน้าเครียดเพราะคิดอะไรไม่ออก ก่อนความเครียดจะทำให้เขาพาลกับสิ่งของในมือ ปาดินสอทิ้งแล้วสบถลั่นห้อง ร่างสูงยืนนิ่ง หอบหายใจ พอนึกถึงใบหน้าใครอีกคนที่คอยตามหลอกหลอน คำพูดบาดลึกทิ่มแทงหัวใจในวันนั้นมันก็ทำให้เขาพูดกับตัวเองเสียงอ่อน
“แกตัดฉันออกไปจากชีวิตได้ แต่ฉันทำไม่ได้ ทำไมวะปรัง ทำไมฉันถึงทำแบบแกไม่ได้...”
มื้อเย็นวันนั้น...อัมราที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับนาปรัง เคี้ยวอาหารในปากอย่างเอื้องเชื่องขณะที่ตาก็เหลือบมองเพื่อนที่เอาแต่นั่งเหม่อลอย เขี่ยอาหารในจานไปมาไม่กินสักที เจ้าตัวเป็นอย่างนี้อยู่นานจนหล่อนทานใกล้หมด แต่ของเพื่อนกลับไม่พร่องลงไปเลยสักนิด นี่เป็นอะไรอีกเนี่ย?
“นี่ไอ้ปรัง จะเขี่ยข้าวเล่นอีกนานมะ ข้าวนะเว้ยไม่ใช่เลโก้ เขาเกี่ยวมาให้กินไม่ใช่ให้เล่น”
นาปรัง ถอนใจ สารภาพเสียงเบาว่ากินไม่ลง อัมราเบะปากระอา
“ถึงกินไม่ลงก็ต้องกิน นี่แกยังไม่ได้กินอะไรเลยนะตั้งแต่เช้า”
อีกฝ่ายถอนใจอีก
“แอปเปิล”
“เออ ว่าไง?”
“โทรหาไอ้ปีให้ฉันที”
“หืม??? เดี๋ยวก่อน จะโทรไปด่าอะไรมันอีก นี่มันก็ไม่มายุ่งกับแกแล้วไงตั้งหลายวัน ปล่อยๆ มันไปเหอะวะ”
“ฉันไม่ได้จะโทรไปด่ามัน แต่...จะคุยเรื่องบ้าน”
อัมราหูผึ่ง
“เรื่องบ้าน? ทำไม แกจะยอมให้มันซื้อแล้วเหรอ???” หล่อนถามอย่างตื่นเต้น นาปรัง เม้มปาก พเยิดหน้าอืม เท่านั่นเจ้าหล่อนคนถามก็ยิ้มกว้างแทบจะฉีกทะลุขาแว่น รีบหันไปคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาเพื่อนหนุ่มทันที แต่...
“แหมไอ้ปี ทีวันดีวันพระนี่รับยากจังวะ โอ้ย! รับซะทีสิ”
นาปรัง ที่นั่งรอสายเงียบๆ อดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้นาปีจะยังอยากได้เรือนไทยหลังนั้นอยู่รึเปล่า แต่...ระหว่างที่รอสายอยู่เธอขอคิดหาประโยคแก้ตัวดีๆ กันไว้ก่อนดีกว่า เผื่อเขาจะยิงคำถามมาว่าทำไมจู่ๆ ถึงยอมขายให้
“เฮ้ย! รับแล้ว! ฮัลโหลไอ้ปี”
นาปรัง สะดุ้งตาเหลือก เพราะยังไม่ทันได้คิดคำแก้ตัวอะไร คนที่เธอยังไม่พร้อมจะคุยก็ดันรับสายเสียนี่ เธอลอบกลืนน้ำลาย
“เฮ้ย ใจเย็น อย่าเพิ่งวาง ปรังมันแค่...อยากจะคุยเรื่องบ้านกับแกหน่อย...ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เอางี้ เดี๋ยวแกคุยกับมันเลยละกัน” พูดจบพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เลิกคิ้วไม่กล้ารับ “อ่ะ รีบๆ คุยเข้า มันถือสายรออยู่”
นาปรังหลุบมองชื่อนาปีที่เด่นอยู่บนหน้าจอก็ให้ใจเต้นแรง มือชื้นเหงื่อรับมาก่อนจะค่อยๆ เอาแนบหู กรอกเสียงเบาลงไป
“ฮัลโหล ไอ้ปี นี่...ฉันเองนะ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วที่ทำไมวันนี้ปลายสายพูดเสียงนุ่มอย่างที่ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน รึว่าเธอรู้สึกผิดในวันนั้นที่พูดไม่ดีใส่เขา? เหอะ เป็นไปไม่ได้ คนอย่างเธอนี่ไม่มีวันรู้สึกผิดกับเขาหรอก เขาแค่นหัวเราะความคิดตัวเองก่อนจะกรอกเสียงห้วนลงไป
[อืม ว่าไง มีอะไรก็รีบพูดมาฉันงานยุ่ง]
หญิงสาวรู้สึกชาแปลกๆ ที่ถูกเขาพูดด้วยประโยคเย็นชาใส่แบบนี้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะ...ง้อเขา
“คือแก...เรื่องบ้านอ่ะ ฉัน...คิดๆ ดูแล้วนะ...ฉันว่า...มันคงชอบแกว่ะ”
นาปีเลิกคิ้วก่อนจะหุบมาขมวดกันเพราะไม่เข้าใจ นี่เธอต้องการจะสื่ออะไร?
[ยังไง หมายความว่าไง?]
“คือ...แบบ ฉันว่าเรือนหลังนั้นมันรอแกอยู่นะ ส่วนแกเองก็...ชอบมันด้วยไม่ใช่เหรอ”
[ก็ชอบ แต่แล้วไง นี่แกต้องการจะสื่ออะไรกันแน่วะปรัง ตรงๆ ซะทีเหอะ ถ้ามัวแต่อ้อมค้อมฉันว่าจะวางละ]
“เดี๋ยว!”
อัมราที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่อย่างลุ้นๆ ก็ตกใจที่เพื่อนสาวอุทานหน้าตาตื่น ทำไม เกิดอะไรขึ้น นี่ไอ้ปีของหล่อนมันฉวยโอกาสเล่นตัวรึไงเนี่ย
“ปี คือ...ฉัน...เอาเป็นว่าฉันขอโทษละกันเรื่องที่วันนั้นฉันพูดไม่ดีกับแกไป ส่วนเรื่องบ้าน...”
[บ้านทำไม? พูดซะที มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นี่ฉันเสียเวลานะเว้ย ก็บอกแล้วไงว่างานมัน...]
“เออ! รู้ว่ายุ่ง! แต่ที่ฉันโทรมาก็แค่อยากจะขอร้องให้แกมาซื้อบ้านไปสักที! ฉันเก็บมันไว้ให้แก ฉันยอมไล่ลูกค้าทุกคนไปก็เพื่อแก เพราะแกจองไว้แล้วไอ้ปี ถ้าจองไว้ก็รีบมาเอาไปซะก่อนที่ฉันจะเอาน้ำมันไปราดแล้วก็เผาแม่มให้ไม่เหลือซากเลย! รู้ดีใช่มั้ยว่าฉันไม่ใช่คนชอบเห่า ฉันกัด!!!”
พูดจบก็กดวางสายทันที อัมราที่ฟังอยู่อ้าปากค้าง เห็นเพื่อนทำท่าจะโยนโทรศัพท์ใส่ก็ให้เบิกตากว้างรีบคว้ารับแทบไม่ทัน หล่อนมองเพื่อนสาวที่นั่งนิ่งจ้องโต๊ะอย่างกับจะกินมัน แก้มที่เขยื้อนไปมาเดาว่าคงโกรธจัดจนต้องกัดฟันกรอดๆ ในปาก แต่ไอ้อาการนั้นมันก็ไม่น่ากลัวเท่ากับน้ำตาที่หยดแหมะลงมาโดนโต๊ะ
หะ! เธอร้องไห้?!
นาปรังลุกขึ้นพรวด หมุนตัวเดินขึ้นข้างบนไป ทิ้งให้อัมราที่รีบหันมองตามไปจนสุดสายตาได้แต่ตกใจเงียบๆ คนเดียว เพราะนอกจากไอ้แฟนเวรตะไลของเพื่อนสาวแล้ว หล่อนก็ไม่เห็นจะมีใครทำเพื่อนสาวร้องไห้ได้มาก่อน จะคนที่สองแบบไม่น่าเป็นไปได้ก็ไอ้ปีของหล่อนนี่ล่ะ ตายๆๆ ตายแล้ว สัญญาณไม่ดีแล้วมั้ยล่ะ
อัมราหันกลับมานั่งปกติ ก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่ไม่นานก็มีสายเข้าจากไอ้ตัวต้นเหตุ หล่อนมองชื่อนาปีแล้วก็ให้ถอนใจ
“ทีอย่างนี้ล่ะมาโทรกลับ ตอนคุยกันดันไม่คุยกันดีๆ ไอ้ปีเอ้ยไอ้ปี ทำตัวอย่างกับว่าไอ้ปรังมันง้อแกบ่อยเมื่อไร”
MINI NOVEL #1 คานทองวิลลา [ตอนที่ 6]
-1-
คานทองวิลลา
6
“เข้าใจแล้ว...”
นาปรัง นึกถึงสีหน้าเพื่อนในตอนนั้นแล้วก็ให้ถอนใจเฮือก แกว่งขาเตะน้ำในสระจนชุดเปียกหมดไปเกือบทั้งตัว อัมราเดินมาเห็นพอดีก็ให้หยุดชะงัก ยืนเท้าสะเอวส่ายหัวก่อนจะเดินเข้ามาหาเพื่อนที่ไม่รู้เป็นบ้าอะไรมานั่งตากแดดแช่น้ำอะไรตอนนี้
“ปรัง นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย ลุกไป เข้าบ้าน ไปอาบน้ำ ชุดเปียกหมดแล้วเนี่ยเห็นมั้ย เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“หึ ไม่เอาอ่ะ ถ้าฉันไม่สบายไงแกก็คุยเรื่องบ้านแทนฉันด้วยละกัน”
“เหย ได้ยังไงกัน แกเป็นเจ้าของนะเว้ย เรื่องใหญ่แบบนี้ตัดสินใจเองสิ ไปเลยเร็ว ลุก” อัมราไม่พูดเปล่าโน้มตัวดึงแขนเพื่อนให้ลุก แต่เจ้าตัวก็จงใจทำตัวหนักไม่ไปไหน อัมราสู้อยู่นานแต่ก็สู้ไม่ได้ ต้องปล่อยแขนทิ้งแล้วก็สบถอย่างรำคาญ
“เออ จะนั่งให้ไข้จับก็ตามใจเลย ส่วนบ้านเนี่ยฉันจะปล่อยให้พวกมีรักมีชู้ซื้อเก็บไว้ทำอาบอบนวดเลยคอยดู เอาให้บันเทิงเลยแม่ม!”
“เฮ้ยไม่ได้นะ!” นาปรัง โวยลั่นลุกขึ้นพรวด อัมราลอบยิ้มก่อนจะแสร้งกลับมาทำหน้าบึ้งอีก
“ถ้างั้นก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมยาไว้ให้” คนโหดพูดจบก็เดินเข้าข้างในไป ปล่อยให้นาปรัง ที่ยืนตัวเปียกต้องถอนใจเฮือก เดินแขนแกว่งอย่างไม่พอใจราวกับเด็กเดินตามเข้าไป
ครั้นพออาบน้ำเสร็จก็ลงมาข้างล่างทั้งที่ผ้าขนหนูยังคาหัว อัมราเห็นก็เรียกให้มากินยาดักไข้ เธอยอมกินอย่างว่าง่ายแล้วก็เดินไปเปิดพัดลมนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงตากผมให้แห้ง อัมราที่เห็นว่าเพื่อนคงใจเย็นลงแล้วจึงได้ถือโอกาสมานั่งใกล้ๆ คุยเรื่องนาปี
“ปรัง ”
“หืม?” คนถูกเรียกขานรับขณะที่หัวยังจ่อหน้าพัดลมพลางมือก็ใช้ผ้าขยี้เช็ดผมไปด้วย
“ไม่สงสารไอ้ปีมันมั่งเหรอวะ?”
กึก...
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยแต่ก็กลับมาทำเป็นไม่สนได้อย่างรวดเร็ว
“สงสารทำไม กะอิแค่ไม่ได้เรือนไทยหลังนั้นทำไมจะต้องสงสาร ที่อื่นมีให้มันเลือกตั้งเยอะแยะ แถมคนอย่างมันถ้าคิดอยากจะได้เรือนไทยสักหลังจริงๆ สั่งทำเอาก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องพยายามเอาเรือนหลังนั้นให้ได้เลย”
“ก็มันบอกแล้วไงว่าหลังนี้ถูกสเป็คมันที่สุดแล้ว ต่อให้มีปัญญาสร้างเองมันก็คงไม่เอาหรอกในเมื่อมันเจอของมันแล้ว ส่วนแกนี่ก็ทำลายกำแพงตัวเองซะทีเถอะ ปีมันไม่ได้ทำผิดอะไรทำไมต้องไปทำร้ายมันด้วยวะ”
“แหมนี่ น้อยๆ หน่อยเถอะ แกพูดอย่างกับฉันว่าไปฆ่าไปแกงมันงั้นแหละ นี่เปลี่ยนใจเห็นมันดีกว่าฉันแล้วใช่มะ” คนพาลหันหัวไปมองเพื่อนตาขวาง อัมราถอนใจระอา
“นี่ไอ้ปรัง ฉันเนี่ย ไม่คิดเข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ เพราะแกก็เพื่อน มันก็เพื่อน แต่ที่ฉันพูดอยู่นี่เพราะอยากให้แกเปิดใจรับมันเป็นเพื่อนไว้อีกสักคน ฉันไม่เข้าใจว่าแกจะเอาคำว่าคู่จิ้นมาเป็นกำแพงทำไม มีความสุขนักเหรอที่เป็นแบบเนี้ย ถามใจแกดูเองนะ ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไป ฉันเองก็คงพูดได้แค่นี้ เพราะรู้ว่าคนอย่างแกมันดื้อ พูดให้ตายยังไงก็คิดไม่ได้หรอก นอกจากจะเสียสิ่งนั้นไปแล้วแกถึงจะคิดได้” อัมราใส่มาเป็นชุดแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก ส่วนนาปรัง ที่อึ้งไปชั่วขณะตกใจถามเพื่อน
“แล้วนั่นแกจะไปไหนแอปเปิล?”
คนถูกถามหันมามองตาขวาง
“ไปหาอะไรกินแก้เครียด!” แล้วก็ผลักประตูออกไปไม่ฟังเสียงเรียกของเธอเลยสักนิด มาตอนนี้นาปรัง ได้อยู่คนเดียวเสียที ความเงียบ...ทำให้เธอกลับมาก้มหน้าคิดถึงคำพูดเพื่อนเมื่อกี้ หญิงสาวถอนใจ
“ถ้าเกลียดมันก็ไม่ต้องไปสนใจมันสิวะไอ้ปรัง นี่แกจะไปบ้าจี้สงสารมันทำไม พอได้แล้ว! ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
สองสัปดาห์ผ่านไป...
ทั้งนาปีและนาปรัง ต่างก็มีงานยุ่งพันตัวกันทั้งคู่ ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องของกันและกัน โดยเฉพาะนาปรัง ที่ช่วงนี้ต้องรับศึกกับลูกค้าที่อยากได้เรือนไทยหลังนั้นมาก แต่เธอต้องปฏิเสธไปทุกราย บอกว่าหลังนั้นไม่ได้จริงๆ ต้องขออภัยด้วย ทั้งที่คนที่มาซื้อก็โสดของแท้ แต่เธอ...ขายให้ไม่ได้จริงๆ
อัมรามองลูกค้าสาวคนนั้นที่เดินทำหน้าผิดหวังไปก็ให้ขมวดคิ้ว เพราะนี่มันคนที่เจ็ดแล้วที่มาติดต่อซื้อเรือนหลังนั้นแต่เพื่อนสาวกลับไม่ขายให้ อะไรกันเนี่ย จะกั๊กไว้ทำไม
เมื่อปลอดคนจริงๆ เหลือกันสองคนเพื่อนสนิท อัมราจึงเดินมาหานาปรัง ที่นั่งเงียบๆ ดูซึมผิดปกติ
“เฮ้ยปรัง ฉันถามจริงเหอะเรื่องเรือนไทยหลังนั้นอ่ะ ทำไมแกไม่ขายให้ใครไปสักทีวะ จะกั๊กไว้ทำไม? นี่เหลือหลังสุดท้ายแล้วนะเว้ยที่ยังขายไม่ได้อ่ะ สี่สิบห้าล้านเลยนะ จะทิ้งไว้ให้ร้างรึไง”
นาปรัง เม้มปาก พูดเสียงเบา
“ขายไม่ได้ มีคนจองแล้ว”
“ใคร?” หล่อนถามเสียงแข็ง อยากรู้ว่าคนที่ว่านี่ใคร แล้วนี่จองแล้วทำไมไม่มาอยู่สักที จ่ายก็ยังไม่จ่าย มันจองกันยังไงวะเนี่ย
นาปรัง ไม่พูดอะไรต่อ เธอขอตัวออกไปข้างนอก แล้วก็เดินออกไปเสียดื้อๆ อย่างนั้น อัมราอ้าปากค้าง ยกมือเกาหัวแกรกๆ
“โอ้ย ไอ้ปรัง เอ้ย ยิ่งนับวันฉันยิ่งไม่เข้าใจในตัวแกเลยว่ะ ผีเข้าผีออกบ่อยจังวะเนี่ย”
ว่าแต่...ไอ้คนจองที่ว่านี่...ใครกันนะ? ถ้าไม่สำคัญจริงเพื่อนขี้งกของหล่อนคงไม่กล้าไล่ลูกค้าทุกคนที่มาติดต่อซื้อเพียงเพราะเขาคนนั้นจองหรอก แถมยังเสี่ยงเกินไปด้วยที่จะถูกเบี้ยวเพราะเงินอะไรก็ยังไม่ได้จ่าย อืม...ใคร? ใครกัน???
ฟากนาปีเองก็หัวปั่นเรื่องงาน แต่ไม่ได้ยุ่งเพราะงานที่เข้ามา หากเขาวิ่งเข้าหางานเองมากกว่า เขาทำตัวยุ่งเสียจนลูกน้องต้องเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอะไรมั้ย? เขาขมวดคิ้วตอบเสียงห้วนว่าเป็นอะไร จะให้เป็นอะไร แปลกใจอะไรกันนักหนา ไม่เคยเห็นคนบ้างานรึไง ลูกน้องกลืนน้ำลาย มองสิ่งที่เขาทำแล้วก็ให้พูดอีกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า
“แต่งานที่พี่ทำอยู่นี่มันของพวกหนูทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ก็แล้วจะทำไม นี่มันบริษัทพี่ พี่จะทำ ใครมีปัญหาก็ลาออกไปซะ” พ่นไฟเสร็จก็ก้มหน้าทำงานต่อคนเดียว โดยที่ปล่อยให้ลูกน้องแต่ละคนยืนมองหน้ากันห่อปากที่ถูกเขาวีนใส่อย่างที่ไม่เคยโดนมาก่อน เอาง่ายๆ...ตั้งแต่ที่พวกหล่อนเข้ามาทำงานที่นี่ยังไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่จะถูกเขาวีนอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ นี่เขาเป็นบ้าอะไร?
ทุกคนถอนใจ สลายตัวออกไปจากห้อง ส่วนพระเอกที่ยืนวาดแบบอะไรต่อมิอะไรก็หน้าเครียดเพราะคิดอะไรไม่ออก ก่อนความเครียดจะทำให้เขาพาลกับสิ่งของในมือ ปาดินสอทิ้งแล้วสบถลั่นห้อง ร่างสูงยืนนิ่ง หอบหายใจ พอนึกถึงใบหน้าใครอีกคนที่คอยตามหลอกหลอน คำพูดบาดลึกทิ่มแทงหัวใจในวันนั้นมันก็ทำให้เขาพูดกับตัวเองเสียงอ่อน
“แกตัดฉันออกไปจากชีวิตได้ แต่ฉันทำไม่ได้ ทำไมวะปรัง ทำไมฉันถึงทำแบบแกไม่ได้...”
มื้อเย็นวันนั้น...อัมราที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับนาปรัง เคี้ยวอาหารในปากอย่างเอื้องเชื่องขณะที่ตาก็เหลือบมองเพื่อนที่เอาแต่นั่งเหม่อลอย เขี่ยอาหารในจานไปมาไม่กินสักที เจ้าตัวเป็นอย่างนี้อยู่นานจนหล่อนทานใกล้หมด แต่ของเพื่อนกลับไม่พร่องลงไปเลยสักนิด นี่เป็นอะไรอีกเนี่ย?
“นี่ไอ้ปรัง จะเขี่ยข้าวเล่นอีกนานมะ ข้าวนะเว้ยไม่ใช่เลโก้ เขาเกี่ยวมาให้กินไม่ใช่ให้เล่น”
นาปรัง ถอนใจ สารภาพเสียงเบาว่ากินไม่ลง อัมราเบะปากระอา
“ถึงกินไม่ลงก็ต้องกิน นี่แกยังไม่ได้กินอะไรเลยนะตั้งแต่เช้า”
อีกฝ่ายถอนใจอีก
“แอปเปิล”
“เออ ว่าไง?”
“โทรหาไอ้ปีให้ฉันที”
“หืม??? เดี๋ยวก่อน จะโทรไปด่าอะไรมันอีก นี่มันก็ไม่มายุ่งกับแกแล้วไงตั้งหลายวัน ปล่อยๆ มันไปเหอะวะ”
“ฉันไม่ได้จะโทรไปด่ามัน แต่...จะคุยเรื่องบ้าน”
อัมราหูผึ่ง
“เรื่องบ้าน? ทำไม แกจะยอมให้มันซื้อแล้วเหรอ???” หล่อนถามอย่างตื่นเต้น นาปรัง เม้มปาก พเยิดหน้าอืม เท่านั่นเจ้าหล่อนคนถามก็ยิ้มกว้างแทบจะฉีกทะลุขาแว่น รีบหันไปคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาเพื่อนหนุ่มทันที แต่...
“แหมไอ้ปี ทีวันดีวันพระนี่รับยากจังวะ โอ้ย! รับซะทีสิ”
นาปรัง ที่นั่งรอสายเงียบๆ อดตื่นเต้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้นาปีจะยังอยากได้เรือนไทยหลังนั้นอยู่รึเปล่า แต่...ระหว่างที่รอสายอยู่เธอขอคิดหาประโยคแก้ตัวดีๆ กันไว้ก่อนดีกว่า เผื่อเขาจะยิงคำถามมาว่าทำไมจู่ๆ ถึงยอมขายให้
“เฮ้ย! รับแล้ว! ฮัลโหลไอ้ปี”
นาปรัง สะดุ้งตาเหลือก เพราะยังไม่ทันได้คิดคำแก้ตัวอะไร คนที่เธอยังไม่พร้อมจะคุยก็ดันรับสายเสียนี่ เธอลอบกลืนน้ำลาย
“เฮ้ย ใจเย็น อย่าเพิ่งวาง ปรังมันแค่...อยากจะคุยเรื่องบ้านกับแกหน่อย...ไม่ๆๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เอางี้ เดี๋ยวแกคุยกับมันเลยละกัน” พูดจบพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้คนที่เลิกคิ้วไม่กล้ารับ “อ่ะ รีบๆ คุยเข้า มันถือสายรออยู่”
นาปรังหลุบมองชื่อนาปีที่เด่นอยู่บนหน้าจอก็ให้ใจเต้นแรง มือชื้นเหงื่อรับมาก่อนจะค่อยๆ เอาแนบหู กรอกเสียงเบาลงไป
“ฮัลโหล ไอ้ปี นี่...ฉันเองนะ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วที่ทำไมวันนี้ปลายสายพูดเสียงนุ่มอย่างที่ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน รึว่าเธอรู้สึกผิดในวันนั้นที่พูดไม่ดีใส่เขา? เหอะ เป็นไปไม่ได้ คนอย่างเธอนี่ไม่มีวันรู้สึกผิดกับเขาหรอก เขาแค่นหัวเราะความคิดตัวเองก่อนจะกรอกเสียงห้วนลงไป
[อืม ว่าไง มีอะไรก็รีบพูดมาฉันงานยุ่ง]
หญิงสาวรู้สึกชาแปลกๆ ที่ถูกเขาพูดด้วยประโยคเย็นชาใส่แบบนี้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะ...ง้อเขา
“คือแก...เรื่องบ้านอ่ะ ฉัน...คิดๆ ดูแล้วนะ...ฉันว่า...มันคงชอบแกว่ะ”
นาปีเลิกคิ้วก่อนจะหุบมาขมวดกันเพราะไม่เข้าใจ นี่เธอต้องการจะสื่ออะไร?
[ยังไง หมายความว่าไง?]
“คือ...แบบ ฉันว่าเรือนหลังนั้นมันรอแกอยู่นะ ส่วนแกเองก็...ชอบมันด้วยไม่ใช่เหรอ”
[ก็ชอบ แต่แล้วไง นี่แกต้องการจะสื่ออะไรกันแน่วะปรัง ตรงๆ ซะทีเหอะ ถ้ามัวแต่อ้อมค้อมฉันว่าจะวางละ]
“เดี๋ยว!”
อัมราที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่อย่างลุ้นๆ ก็ตกใจที่เพื่อนสาวอุทานหน้าตาตื่น ทำไม เกิดอะไรขึ้น นี่ไอ้ปีของหล่อนมันฉวยโอกาสเล่นตัวรึไงเนี่ย
“ปี คือ...ฉัน...เอาเป็นว่าฉันขอโทษละกันเรื่องที่วันนั้นฉันพูดไม่ดีกับแกไป ส่วนเรื่องบ้าน...”
[บ้านทำไม? พูดซะที มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่นี่ฉันเสียเวลานะเว้ย ก็บอกแล้วไงว่างานมัน...]
“เออ! รู้ว่ายุ่ง! แต่ที่ฉันโทรมาก็แค่อยากจะขอร้องให้แกมาซื้อบ้านไปสักที! ฉันเก็บมันไว้ให้แก ฉันยอมไล่ลูกค้าทุกคนไปก็เพื่อแก เพราะแกจองไว้แล้วไอ้ปี ถ้าจองไว้ก็รีบมาเอาไปซะก่อนที่ฉันจะเอาน้ำมันไปราดแล้วก็เผาแม่มให้ไม่เหลือซากเลย! รู้ดีใช่มั้ยว่าฉันไม่ใช่คนชอบเห่า ฉันกัด!!!”
พูดจบก็กดวางสายทันที อัมราที่ฟังอยู่อ้าปากค้าง เห็นเพื่อนทำท่าจะโยนโทรศัพท์ใส่ก็ให้เบิกตากว้างรีบคว้ารับแทบไม่ทัน หล่อนมองเพื่อนสาวที่นั่งนิ่งจ้องโต๊ะอย่างกับจะกินมัน แก้มที่เขยื้อนไปมาเดาว่าคงโกรธจัดจนต้องกัดฟันกรอดๆ ในปาก แต่ไอ้อาการนั้นมันก็ไม่น่ากลัวเท่ากับน้ำตาที่หยดแหมะลงมาโดนโต๊ะ
หะ! เธอร้องไห้?!
นาปรังลุกขึ้นพรวด หมุนตัวเดินขึ้นข้างบนไป ทิ้งให้อัมราที่รีบหันมองตามไปจนสุดสายตาได้แต่ตกใจเงียบๆ คนเดียว เพราะนอกจากไอ้แฟนเวรตะไลของเพื่อนสาวแล้ว หล่อนก็ไม่เห็นจะมีใครทำเพื่อนสาวร้องไห้ได้มาก่อน จะคนที่สองแบบไม่น่าเป็นไปได้ก็ไอ้ปีของหล่อนนี่ล่ะ ตายๆๆ ตายแล้ว สัญญาณไม่ดีแล้วมั้ยล่ะ
อัมราหันกลับมานั่งปกติ ก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่ไม่นานก็มีสายเข้าจากไอ้ตัวต้นเหตุ หล่อนมองชื่อนาปีแล้วก็ให้ถอนใจ
“ทีอย่างนี้ล่ะมาโทรกลับ ตอนคุยกันดันไม่คุยกันดีๆ ไอ้ปีเอ้ยไอ้ปี ทำตัวอย่างกับว่าไอ้ปรังมันง้อแกบ่อยเมื่อไร”