M I N I N O V E L
-1-
คานทองวิลลา
7
นาปีที่ถือสายรออีกฝ่ายอยู่เริ่มนั่งไม่ติดที่ เหตุเพราะเมื่อกี้ที่เพื่อนสาวพูดมามันทำให้เขาคิดไปไกล คิดมโน คิดไปต่างๆ นานาว่าเธออยากให้เขาซื้อบ้านหลังนั้น หรือไม่อีกนัย...เธออยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เธอ...
คือใช่ ยังไงมันก็ดูเป็นไปไม่ได้หรอกไอ้ความคิดหลังน่ะ แต่แค่เธอใช้คำว่าขอร้องให้ซื้อบ้านนี่เขาก็ใจอ่อนแล้ว อ่อนมากด้วย อ่อนจนแทบจะตอบตกลงไปเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดที่ว่าอีกฝ่ายดันตัดสายทิ้งไปทันทีที่พูดจบ
[ว่าไงไอ้ตัวดี เห่าหื้อใส่อะไรมันไปล่ะ มันถึงได้ร้องไห้ขึ้นข้างบนไปน่ะ]
ปลายสายใส่มาทันทีโดยไม่ต้องมีฮัลโหลให้เสียเวลา ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถามเสียงหลง
“หะ ร้องไห้?”
[ก็เออน่ะสิ คงโกรธมากด้วยน่ะ หน้ามันงี้นะ นิ่ง...กัดฟันกรอดๆๆ เลยล่ะ แต่ไอ้พวกเนี้ยฉันเห็นมาบ่อยและ ที่ไม่ค่อยได้เห็นคือน้ำตามันนี่ล่ะ โอย หัวใจอิแม่แทบหล่นไปกระตุ่ม]
“แอปเปิล แกตาฝาดรึเปล่า คนอย่างฉันนี่ไม่มีทางทำมันร้องไห้ได้หรอก ฉันไม่สำคัญขนาดนั้น” ประโยคหลังเขาแอบประชด เพราะในความรู้สึกเขา เขารู้ว่าตัวเองไม่เคยอยู่ในสายตาเพื่อนสาวอยู่แล้ว ถึงอยู่...ก็อยู่ในฐานะคู่ปรับ
อัมราถอนใจ
[โอ้ยไอ้ปี จะมาน้อยจ้งน้อยใจอะไรตอนนี้วะ และนี่ฉันไม่รู้หรอกนะไอ้เรื่องสำคัญไม่สำคัญเนี่ย ฉันรู้แค่ว่า แกน่ะ...ทำมันร้องไห้ และแกก็กำลังจะบรรลั- ในอีกไม่ช้านี้ด้วย]
“ทะ...ทำไมวะ?” ในน้ำเสียงเขาแอบหวั่น ก็รู้ว่าการที่ทำนาปรังร้องไห้ได้มันไม่ใช่เรื่องดี
[นุ้งปีคะ นุ้งปียังจะต้องให้คุณพี่อธิบายอีกเหรอคะ หะ! ควรจะรู้ตัวได้แล้วนะว่าผลที่ตัวเองทำไปมันจะเป็นยังไง ปรังมันไม่ใช่คนง้อใครง่ายๆ แกก็รู้ และนี่ยิ่งมาโดนแกเล่นตัวใส่ก็พังล่ะ คือแบบ...ไอ้ปี ฉันโคตร...โอ้ย! นี่ถ้าแกอยู่ใกล้ๆ นะแกโดนฉันถี-ไปและ นี่คือไม่เจียมตัวเลยไงว่าถูกเจ๊เขาง้อเขาคุยดีด้วยก็ควรจะยกโทษให้ดีๆ ไม่ใช่...ไม่ใช่มาทำพังแบบนี้! โอ่ย เซ็ง! เบื่อ! นี่มันช่วงราหูอมราศีฉันรึไงวะเนี่ย ทำไมถึงมีแต่เรื่องงงง งื้อๆๆๆ!]
นาปีไม่รู้ว่าตอนนี้อัมรากำลังทำอะไรอยู่ แต่รู้แค่ว่าหล่อนคงระบายกับอะไรสักอย่างอย่างบ้าคลั่ง เพราะคงเบื่อที่เพื่อนสองคนไม่ได้ดั่งใจ และที่ไม่ได้ดั่งใจที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นเขา นาปีเงียบ...รู้สึกอยากเตะอัดตัวเองที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ความกล้าดีจากไหนมันสั่งให้เขาเล่นตัวกับอดีตคู่จิ้นไปแบบนั้น ทั้งที่ใจลึกๆ เขาดีใจมากที่เธอให้อัมราโทรมาแล้วเธอก็พูดดีกับเขาตั้งแต่เริ่มต้น หากเป็นเขาเองที่กวนประสาท พูดจาห้วนๆ สุดท้ายก็เอาเรื่องงานมาอ้างจนเธอทนไม่ไหวต้องจบเรื่องทั้งหมดก่อนจะตัดสายไป
นาปีถอนใจ เริ่มไหลตัวไปกับโต๊ะทำงานฟุบหลับทั้งที่มือยังถือสายอยู่
[พรุ่งนี้มานะ ฉันขอ ถึงจะเกิดศึกช้างตกมันยังไงก็ขอให้มา ขอให้มันจบวันนั้น]
“จบแบบไหนล่ะ” เขาพูดเสียงอู้อี้เพราะหน้ามันแทบจะแนบบี้ไปกับโต๊ะอยู่แล้ว
[นั่นมันก็ขึ้นอยู่ที่แก ว่าจะทำให้มันหายโกรธได้ยังไง แต่ขอเตือนไว้ก่อน อย่าคิดทำอะไรโหล่ๆ และก็ไม่ต้องซื้ออะไรมาง้อด้วยถ้าไม่อยากเห็นมันขว้างทิ้งไปต่อหน้าต่อตา] ที่พูดอย่างนี้เพราะหล่อนเห็นมาแล้วตอนที่แฟนเก่านาปรังซื้อของมาง้อ แล้วเธอก็ตอบแทนสิ่งนั้นด้วยการขว้างทิ้งอย่างไม่สนใจว่ามันจะราคาแพงแค่ไหน นึกแล้วก็ให้เสียวหลังวูบๆ
“ฉันรู้ รู้ว่ามันเป็นคนยังไง แต่...”
[แต่อะไร?]
“อ่า...ไม่รู้ว่ะ ฉันกลัวว่ะแอปเปิล”
[เออ ฉันก็กลัวเหมือนกัน แต่ถึงยังไงแกก็ต้องสู้นะเว้ย เพื่อบ้าน เพื่อมิตรภาพ]
“ยากนะ”
[ยากแล้วสู้ป่ะล่ะ? รึจะยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ จะยอมก็ได้นะ แกจะได้เป็นไอ้นาปีขี้ขลาดให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เอาไปล้อจนแกแก่ตาย]
ชายหนุ่มหัวเราะที่อีกฝ่ายขู่มาอย่างนั้น
“บ้าน่ะ ถึงยาก...” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนออกมาแรงๆ “ยังไงฉันก็ต้องสู้อยู่แล้ว สู้เพื่ออนาคต...ของเรา”
[ฟังดูเหมือนพวกแกจะแต่งงานกันเลยเนอะ ฮ่าๆๆ]
นาปีที่ไม่ได้คุยต่อหน้าอัมรา แอบอมยิ้มอยู่หลังสายที่อีกฝ่ายกำลังหัวเราะร่วนบ่งบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว เขาเองก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
แม้วันพรุ่งนี้จะน่ากลัว แต่ ณ เวลานี้เขากำลังมีความสุข และไอ้ความสุขอันนี้ล่ะ ที่เขาจะใช้ไว้ปลุกใจให้สู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้ เขาจะต้องทำให้เธอหายโกรธให้ได้ แม้ไม่ได้สิ่งที่หวังกลับมาซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่แค่ขอให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับเขาก็พอ กลับมาเป็นคู่ปรับที่กัดกันเลือดสาด...แต่ก็เท่านั้น ไม่ถึงกับเจียนตายเหมือนตอนนี้
[เออเฮ้ย นี่ก็มัวแต่คุยกับแกอยู่ ฉันว่าฉันต้องวางแล้วว่ะ เดี๋ยวจะขอขึ้นไปดูไอ้ปรังมันหน่อย ไม่รู้ป่านนี้หลับไปยัง น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ]
“เออ งั้นฝากด่ามันด้วยนะว่าไอ้เน่า”
[เหอะ! เหอะๆ แหม อิเก่ง อิกล้าหาญ ชะตาจะขาดอยู่แล้วยังจะมาเล่นอีก ไปๆ ไปนอน พรุ่งนี้ไงก็อย่าลืมกินข้าวเช้ามาเยอะๆ ล่ะ ได้มีแรงสวนงากับมัน]
นาปีหัวเราะ เพราะหล่อนพูดอย่างกับเพื่อนสาวอีกคนเป็นช้างตกมันจริงๆ อย่างที่ชอบพูดอย่างไรอย่างนั้น
“เออๆ เคๆ ไงก็ขอบใจมากนะ สำหรับ...ทุกๆ อย่าง”
[โอ้ย ซึ้ง น้ำตาจะไหล] อัมราแกล้งทำท่าประกอบ ครั้นพอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะมาก็หัวเราะบ้าง
“แกก็ใช่จะน้อยๆ นะ เล่นอยู่ได้ รีบขึ้นไปดูไอ้ปรังเหอะ ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงมั่ง”
[เออว่ะ เออ งั้นฉันวางละนะ บายเว้ย]
“เออๆๆ บาย”
[เออ]
ตู้ดๆๆ
นาปีดึงโทรศัพท์ออกมาดู เห็นว่าปลายสายวางไปแล้วก็ให้ถอนใจ บ่นกับตัวเอง
“แล้วนี่จะทำไงดีวะเนี่ย ง้อยังไงดีวะ”
คือ...เขาอยากจะบอกว่าตั้งแต่รู้จักกันมานี่ก็ไม่เคยถูกโกรธจริงๆ จังๆ และก็ต้องง้อจริงๆ จังๆ อย่างนี้ด้วยสิ ทำไงดีวะเนี่ย? รึจะง้อด้วยการ...ซื้อเรือนไทยหลังนั้น? โอย แต่ไม่ได้หรอก ถ้าพรุ่งนี้ไปถึงเพื่อแค่ซื้อบ้านมันต้องดูไม่จริงใจแน่เลย แถมยังเหมือนง้อด้วยเงินอีกต่างหาก เผลอๆ เธออาจจะเข้าใจผิดอีกคิดว่าเขาเอาเงินฟาดหัว ถึงยัยนั่นจะขี้งก แต่ถ้าง้อด้วยเงินนี่ท่าจะโดนงวงฟาดปลิวแน่ ไม่ได้ๆๆ
แต่...งั้น...งั้นเขาต้องง้อยังไงวะ
“โอ้ยยย!!! คิดไม่ออกโว้ยยย!!!” นาปีขยี้ผมแรงๆ อย่างบ้าคลั่งก่อนจะกลับมานั่งนิ่งมองขอบโต๊ะด้วยใบหน้าบูดบึ้งรำคาญตัวเองที่คิดอะไรไม่ออกเสียที เขานั่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน...นานจนพาลเบื่อไปเองแล้วก็ทิ้งตัวยืดยาวไปกับโต๊ะตัวเดิม กลิ้งหน้าไปมาพร่ำบ่นเสียงอู้อี้ว่าจะทำยังไงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
MINI NOvEL #1 คานทองวิลลา [ตอนที่ 7]
-1-
คานทองวิลลา
7
นาปีที่ถือสายรออีกฝ่ายอยู่เริ่มนั่งไม่ติดที่ เหตุเพราะเมื่อกี้ที่เพื่อนสาวพูดมามันทำให้เขาคิดไปไกล คิดมโน คิดไปต่างๆ นานาว่าเธออยากให้เขาซื้อบ้านหลังนั้น หรือไม่อีกนัย...เธออยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ เธอ...
คือใช่ ยังไงมันก็ดูเป็นไปไม่ได้หรอกไอ้ความคิดหลังน่ะ แต่แค่เธอใช้คำว่าขอร้องให้ซื้อบ้านนี่เขาก็ใจอ่อนแล้ว อ่อนมากด้วย อ่อนจนแทบจะตอบตกลงไปเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดที่ว่าอีกฝ่ายดันตัดสายทิ้งไปทันทีที่พูดจบ
[ว่าไงไอ้ตัวดี เห่าหื้อใส่อะไรมันไปล่ะ มันถึงได้ร้องไห้ขึ้นข้างบนไปน่ะ]
ปลายสายใส่มาทันทีโดยไม่ต้องมีฮัลโหลให้เสียเวลา ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ถามเสียงหลง
“หะ ร้องไห้?”
[ก็เออน่ะสิ คงโกรธมากด้วยน่ะ หน้ามันงี้นะ นิ่ง...กัดฟันกรอดๆๆ เลยล่ะ แต่ไอ้พวกเนี้ยฉันเห็นมาบ่อยและ ที่ไม่ค่อยได้เห็นคือน้ำตามันนี่ล่ะ โอย หัวใจอิแม่แทบหล่นไปกระตุ่ม]
“แอปเปิล แกตาฝาดรึเปล่า คนอย่างฉันนี่ไม่มีทางทำมันร้องไห้ได้หรอก ฉันไม่สำคัญขนาดนั้น” ประโยคหลังเขาแอบประชด เพราะในความรู้สึกเขา เขารู้ว่าตัวเองไม่เคยอยู่ในสายตาเพื่อนสาวอยู่แล้ว ถึงอยู่...ก็อยู่ในฐานะคู่ปรับ
อัมราถอนใจ
[โอ้ยไอ้ปี จะมาน้อยจ้งน้อยใจอะไรตอนนี้วะ และนี่ฉันไม่รู้หรอกนะไอ้เรื่องสำคัญไม่สำคัญเนี่ย ฉันรู้แค่ว่า แกน่ะ...ทำมันร้องไห้ และแกก็กำลังจะบรรลั- ในอีกไม่ช้านี้ด้วย]
“ทะ...ทำไมวะ?” ในน้ำเสียงเขาแอบหวั่น ก็รู้ว่าการที่ทำนาปรังร้องไห้ได้มันไม่ใช่เรื่องดี
[นุ้งปีคะ นุ้งปียังจะต้องให้คุณพี่อธิบายอีกเหรอคะ หะ! ควรจะรู้ตัวได้แล้วนะว่าผลที่ตัวเองทำไปมันจะเป็นยังไง ปรังมันไม่ใช่คนง้อใครง่ายๆ แกก็รู้ และนี่ยิ่งมาโดนแกเล่นตัวใส่ก็พังล่ะ คือแบบ...ไอ้ปี ฉันโคตร...โอ้ย! นี่ถ้าแกอยู่ใกล้ๆ นะแกโดนฉันถี-ไปและ นี่คือไม่เจียมตัวเลยไงว่าถูกเจ๊เขาง้อเขาคุยดีด้วยก็ควรจะยกโทษให้ดีๆ ไม่ใช่...ไม่ใช่มาทำพังแบบนี้! โอ่ย เซ็ง! เบื่อ! นี่มันช่วงราหูอมราศีฉันรึไงวะเนี่ย ทำไมถึงมีแต่เรื่องงงง งื้อๆๆๆ!]
นาปีไม่รู้ว่าตอนนี้อัมรากำลังทำอะไรอยู่ แต่รู้แค่ว่าหล่อนคงระบายกับอะไรสักอย่างอย่างบ้าคลั่ง เพราะคงเบื่อที่เพื่อนสองคนไม่ได้ดั่งใจ และที่ไม่ได้ดั่งใจที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นเขา นาปีเงียบ...รู้สึกอยากเตะอัดตัวเองที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ความกล้าดีจากไหนมันสั่งให้เขาเล่นตัวกับอดีตคู่จิ้นไปแบบนั้น ทั้งที่ใจลึกๆ เขาดีใจมากที่เธอให้อัมราโทรมาแล้วเธอก็พูดดีกับเขาตั้งแต่เริ่มต้น หากเป็นเขาเองที่กวนประสาท พูดจาห้วนๆ สุดท้ายก็เอาเรื่องงานมาอ้างจนเธอทนไม่ไหวต้องจบเรื่องทั้งหมดก่อนจะตัดสายไป
นาปีถอนใจ เริ่มไหลตัวไปกับโต๊ะทำงานฟุบหลับทั้งที่มือยังถือสายอยู่
[พรุ่งนี้มานะ ฉันขอ ถึงจะเกิดศึกช้างตกมันยังไงก็ขอให้มา ขอให้มันจบวันนั้น]
“จบแบบไหนล่ะ” เขาพูดเสียงอู้อี้เพราะหน้ามันแทบจะแนบบี้ไปกับโต๊ะอยู่แล้ว
[นั่นมันก็ขึ้นอยู่ที่แก ว่าจะทำให้มันหายโกรธได้ยังไง แต่ขอเตือนไว้ก่อน อย่าคิดทำอะไรโหล่ๆ และก็ไม่ต้องซื้ออะไรมาง้อด้วยถ้าไม่อยากเห็นมันขว้างทิ้งไปต่อหน้าต่อตา] ที่พูดอย่างนี้เพราะหล่อนเห็นมาแล้วตอนที่แฟนเก่านาปรังซื้อของมาง้อ แล้วเธอก็ตอบแทนสิ่งนั้นด้วยการขว้างทิ้งอย่างไม่สนใจว่ามันจะราคาแพงแค่ไหน นึกแล้วก็ให้เสียวหลังวูบๆ
“ฉันรู้ รู้ว่ามันเป็นคนยังไง แต่...”
[แต่อะไร?]
“อ่า...ไม่รู้ว่ะ ฉันกลัวว่ะแอปเปิล”
[เออ ฉันก็กลัวเหมือนกัน แต่ถึงยังไงแกก็ต้องสู้นะเว้ย เพื่อบ้าน เพื่อมิตรภาพ]
“ยากนะ”
[ยากแล้วสู้ป่ะล่ะ? รึจะยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ จะยอมก็ได้นะ แกจะได้เป็นไอ้นาปีขี้ขลาดให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เอาไปล้อจนแกแก่ตาย]
ชายหนุ่มหัวเราะที่อีกฝ่ายขู่มาอย่างนั้น
“บ้าน่ะ ถึงยาก...” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนออกมาแรงๆ “ยังไงฉันก็ต้องสู้อยู่แล้ว สู้เพื่ออนาคต...ของเรา”
[ฟังดูเหมือนพวกแกจะแต่งงานกันเลยเนอะ ฮ่าๆๆ]
นาปีที่ไม่ได้คุยต่อหน้าอัมรา แอบอมยิ้มอยู่หลังสายที่อีกฝ่ายกำลังหัวเราะร่วนบ่งบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว เขาเองก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
แม้วันพรุ่งนี้จะน่ากลัว แต่ ณ เวลานี้เขากำลังมีความสุข และไอ้ความสุขอันนี้ล่ะ ที่เขาจะใช้ไว้ปลุกใจให้สู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้ เขาจะต้องทำให้เธอหายโกรธให้ได้ แม้ไม่ได้สิ่งที่หวังกลับมาซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่แค่ขอให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับเขาก็พอ กลับมาเป็นคู่ปรับที่กัดกันเลือดสาด...แต่ก็เท่านั้น ไม่ถึงกับเจียนตายเหมือนตอนนี้
[เออเฮ้ย นี่ก็มัวแต่คุยกับแกอยู่ ฉันว่าฉันต้องวางแล้วว่ะ เดี๋ยวจะขอขึ้นไปดูไอ้ปรังมันหน่อย ไม่รู้ป่านนี้หลับไปยัง น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ]
“เออ งั้นฝากด่ามันด้วยนะว่าไอ้เน่า”
[เหอะ! เหอะๆ แหม อิเก่ง อิกล้าหาญ ชะตาจะขาดอยู่แล้วยังจะมาเล่นอีก ไปๆ ไปนอน พรุ่งนี้ไงก็อย่าลืมกินข้าวเช้ามาเยอะๆ ล่ะ ได้มีแรงสวนงากับมัน]
นาปีหัวเราะ เพราะหล่อนพูดอย่างกับเพื่อนสาวอีกคนเป็นช้างตกมันจริงๆ อย่างที่ชอบพูดอย่างไรอย่างนั้น
“เออๆ เคๆ ไงก็ขอบใจมากนะ สำหรับ...ทุกๆ อย่าง”
[โอ้ย ซึ้ง น้ำตาจะไหล] อัมราแกล้งทำท่าประกอบ ครั้นพอได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะมาก็หัวเราะบ้าง
“แกก็ใช่จะน้อยๆ นะ เล่นอยู่ได้ รีบขึ้นไปดูไอ้ปรังเหอะ ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงมั่ง”
[เออว่ะ เออ งั้นฉันวางละนะ บายเว้ย]
“เออๆๆ บาย”
[เออ]
ตู้ดๆๆ
นาปีดึงโทรศัพท์ออกมาดู เห็นว่าปลายสายวางไปแล้วก็ให้ถอนใจ บ่นกับตัวเอง
“แล้วนี่จะทำไงดีวะเนี่ย ง้อยังไงดีวะ”
คือ...เขาอยากจะบอกว่าตั้งแต่รู้จักกันมานี่ก็ไม่เคยถูกโกรธจริงๆ จังๆ และก็ต้องง้อจริงๆ จังๆ อย่างนี้ด้วยสิ ทำไงดีวะเนี่ย? รึจะง้อด้วยการ...ซื้อเรือนไทยหลังนั้น? โอย แต่ไม่ได้หรอก ถ้าพรุ่งนี้ไปถึงเพื่อแค่ซื้อบ้านมันต้องดูไม่จริงใจแน่เลย แถมยังเหมือนง้อด้วยเงินอีกต่างหาก เผลอๆ เธออาจจะเข้าใจผิดอีกคิดว่าเขาเอาเงินฟาดหัว ถึงยัยนั่นจะขี้งก แต่ถ้าง้อด้วยเงินนี่ท่าจะโดนงวงฟาดปลิวแน่ ไม่ได้ๆๆ
แต่...งั้น...งั้นเขาต้องง้อยังไงวะ
“โอ้ยยย!!! คิดไม่ออกโว้ยยย!!!” นาปีขยี้ผมแรงๆ อย่างบ้าคลั่งก่อนจะกลับมานั่งนิ่งมองขอบโต๊ะด้วยใบหน้าบูดบึ้งรำคาญตัวเองที่คิดอะไรไม่ออกเสียที เขานั่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน...นานจนพาลเบื่อไปเองแล้วก็ทิ้งตัวยืดยาวไปกับโต๊ะตัวเดิม กลิ้งหน้าไปมาพร่ำบ่นเสียงอู้อี้ว่าจะทำยังไงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า