31
ข้อความที่ไม่สื่อความหมาย ตอนที่ 1
โดย ฮาร์โมนิก้า
วาร์เดียเป็นชายหาดเล็กฝั่งตะวันออกทางตอนใต้ของเกาะโฟเลกานดรอสใกล้กับคาราวอสตาซี่
แม้จะเป็นหาดที่เข้าถึงง่ายต่างจากหาดอื่นบนเกาะซึ่งต้องเดินไปตามทางเดินของลาหรือปีนเขาลงไป แต่วาร์เดีย
ก็ยังเงียบสงบเนื่องจากเป็นหาดเล็กไร้ผู้คน ด้วยขนาดของเกาะที่เล็กเพียงสามสิบสองตารางกิโลเมตร มีประชากร
เพียงหกร้อยห้าสิบคน ทำให้หาดส่วนใหญ่ยังรกร้างและคงความเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์
ภาพหญิงสาวผมยาวสลวยสีทองที่นั่งสงบนิ่งอย่างเหม่อลอยบนก้อนหินในหาดเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกรวดและทราย
สีคล้ำลาดลงสู่ท้องทะเลสีฟ้าเข้มลึกเบื้องหน้าดูสวยงามราวกับนางไม้แต่ก็ไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากรูปปั้น
แสงแดดยามเช้าช่วงปลายฤดูร้อนทอประกายอบอุ่น สะท้อนสีฟ้าเข้มของน้ำทะเลที่ราวกับกระพริบประกายพราวพร่าง
แลดูระยับจับตา ความสันโดษของหาดให้ความเป็นส่วนตัวและน้ำสีฟ้าเข้มลึกนั้นก็ดูเชิญชวนให้แหวกว่าย
แต่หญิงสาวที่นั่งเงียบเพียงลำพังราวรูปปั้นหินแกะสลักนั้นกลับรู้สึกตรงข้าม ประสาทสัมผัสของเธอรับรู้ถึงธรรมชาติ
สวยงามและความเงียบสงบรอบตัว แต่ไม่อาจรู้สึกชื่นชมยินดีด้วยได้ ดวงตากลมใหญ่ล้อมด้วยแพขนตางอนยาวสะท้อนสี
ของท้องฟ้าใสยามเช้า หากความโศกเศร้าในแววตากลับบดบังประกายสดใสราวปกคลุมด้วยเมฆหมอก
อนาสเตเซียรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เธอไม่อยากขยับไม่อยากรับรู้และไม่ต้องการรู้สึกอะไรทั้งสิ้น แม้จะพยายามฝืนตัวเอง
ให้เป็นปกติ และไปทำงานอย่างตั้งใจทุกวัน แต่ทุกครั้งที่ว่างเธอจะกลับคืนสู่ภาวะซึมเศร้าหวั่นกลัวและท้อแท้ เธอเบื่อที่ต้อง
อำพรางตัวเองไม่ให้สะดุดตาใครและอาจนำเธอไปเทียบเคียงกับภาพของอนาสเตเซีย วาลลาซที่ถูกนำมาแพร่ภาพทาง
โทรทัศน์อยู่หลายครั้งตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายขาดอิสรภาพและหลบซ่อนตัว โชคดีที่ดูเหมือนตอนนี้กรีซ
จะมีข่าวอื่นที่น่าสนใจกว่าจนทำให้ข่าวของเธอแทบไม่ถูกพูดถึงอีกในช่วงสามสี่วันหลัง
หญิงสาวถอนหายใจสั้นๆ ดวงตายังคงเหม่อซึมมองความงามของทะเลสวยเบื้องหน้าอย่างว่างเปล่า วันนี้เป็นวันหยุดและเธอ
เลือกขี่สกู๊ตเตอร์ลงมาทางใต้ของเกาะ เพื่อมานั่งเล่นที่วาร์เดียไม่ไกลจากคาราวอสตาซี่ซึ่งเป็นท่าเรือเฟอร์รี่และหมู่บ้านริม
ท่าเรือมากนัก เธออยากออกมาให้พ้นสายตาเฝ้ามองอย่างกังวลของไอรีนและทันตแพทย์อคาซัส
เธอรู้ว่าสองสามีภรรยาเป็นห่วง แต่เธอก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกผิดหวังในตัวเองที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ เธอเป็นลูกที่ไม่ดี
เป็นแม่ที่ไร้ความสามารถ เธอปล่อยให้คนเลวเข้ามาคร่าชีวิตคนในครอบครัว แม้แต่ตัวเธอเองทุกวันนี้ก็ยังต้องหลบซ่อนเป็น
ผู้ต้องสงสัยของตำรวจ โดยที่เธอไม่มีปัญญาจะทำอะไร ไม่รู้จะต่อกรกับสามีโฉดของเธออย่างไร เธอไร้ความสามารถ ไร้ประโยชน์
และไร้ค่าเสียเหลือเกิน
น้ำตาไหลออกมาจนแห้งเหือด หญิงสาวนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาตกในตั้งแต่เช้า ไม่ใยดีต่อความหิวที่รุมเร้าอยู่จนคุ้นชินราวเพื่อนสนิท
สามวันหลังนี้เธอปล่อยให้ตัวเองหิว โดยแทบไม่กินอะไรแม้แต่น้ำก็จิบเพียงประทังชีวิต
น่าแปลกที่ความหิวและความทุกข์ทรมานทางกายกลับช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลึกทางจิตใจให้เบาบางลง อนาสเตเซียจึงได้แต่
นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ร่างกายอ่อนล้าลงจนกว่าจะหมดแรงและหมดลมหายใจไปเอง หวังว่าความเจ็บช้ำในหัวใจจะลดทอนและเลือน
หายไปได้ตลอดกาล
แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น ความโหดร้ายของชีวิตยังกระหน่ำซ้ำเติมจิตใจเธอ โดยมีจูเลี่ยนเป็นฟางเส้นสุดท้าย
อนาสเตเซียคร่ำครวญอยู่ในใจ รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้ แม้กระทั่งจะติดต่อหรือคุยกับจูเลี่ยน เธอก็ยังไม่อาจทำได้
ตอนนี้เธอถูกกันออกจากลูกชายตัวเองอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นฝันร้ายที่ทารุณจิตใจของผู้เป็นแม่มากที่สุด เธอไม่ได้คุยกับเด็กชายมา
สิบวันแล้ว และที่จริงเธอไม่ได้เห็นหน้าเขามาเกือบสองเดือนนับแต่ที่ถูกยิงตกหน้าผาวันนั้น
เมื่อแรกมาถึงเกาะโฟเลกานดรอสเพื่อขอพักกับไอรีนอดีตพี่เลี้ยงซึ่งเลี้ยงดูเธอมาแต่เกิด อนาสเตเซียมีโอกาสตรวจอีเมลล์เป็น
ครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ดูเลยนับแต่ครั้งสุดท้ายที่ส่งเมลออกไปหาเนสเตอร์และไอรีน คนละฉบับในวันที่ลาซารอสมาบ้านบน
เกาะปาโรส และกล่าวหาว่าเธอเป็นฆาตกรฆ่าบิดา
หญิงสาวจำได้ถึงความหวังที่ถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจเมื่อเห็นชื่อของเนสเตอร์ในกล่องข้อความ หากแต่เมลล์ที่อ่านกลับทำให้
ความหวังนั้นดับวูบลงกลายเป็นอารมณ์ว่างเปล่า เฉกเช่นเดียวกับข้อความในเมลล์นั้น
‘อนาสเตเซียหลานรัก
น้าเปิดอีเมลหลานอ่านหลังจากน้าได้คอยทุกวัน น้าเปิดเมลอ่านห้าวันแล้ว เข้าใจดีในทุกคำของหลาน
ขอหลานอย่ากังวลใจ ปล่อยใจกายให้เย็นไว้ หนทางส่วนตัวของครอบครัวน้า ก็พูดไม่ได้ว่าจะราบรื่น น้าเองก็อยากกลับไปเป็นเด็ก
ได้ทำอะไรที่เร็วๆ สนุกๆ มันไม่เหมือนเวลานี้ น้าได้แต่บ่นไปแล้วทำอะไรไม่ได้ เวลาผ่านไปแล้วใช่จะหวนคืนได้อย่างไร อยากคุย
อยากจะติดต่อกับใคร ก็อย่ามัวแต่คิดกลับใจ ปล่อยคืนวันทิ้งไปเปล่าๆ
รัก
น้าเนสเตอร์’
น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วไหลลงมาใหม่ช้าๆ น้าของเธอคงจากกรีซไปนานจนลืมสำนวนภาษาไปหมดสิ้น และเขียน
ข้อความหาเธอด้วยสำนวนแปลกๆ ที่ไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับเธอนอกจากถ้อยคำที่เหมือนจะปรับทุกข์ และให้กำลังใจ
ที่ดูว่างเปล่าไร้ความหมาย หรือเนสเตอร์จะตัดรอนเธอและทุกคนทางนี้จริงๆ เธอคงไม่อาจพึ่งพิงใครได้นอกจากตัวเอง
แล้วเธอในเวลานี้จะทำอะไรได้บ้างเล่า ในเมื่อเธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจไปแล้ว หญิงสาวทอดถอนใจไร้เรี่ยวแรง
ที่จะลุกขึ้นหรือคิดอ่านทำอะไรต่อไป เธอนึกอยากให้ร่างกายอ่อนแรงและหยุดหายใจไปเอง
เสียงเครื่องบินที่ดังกระหึ่มราวกับบินวนเวียนอยู่เหนือเกาะเล็กๆ เพื่อหาที่ลงจอดไม่อาจเรียกความสนใจของเธอได้ จนเมื่อ
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แทรกผ่านโสตประสาทที่ซึมเฉยของหญิงสาว ก่อนจะร่อนลงลงบนผืนน้ำสีฟ้าไกลออกไปร่วม
สามกิโลเมตรทิ้งพรายฟองของเกลียวคลื่นไว้เบื้องหลัง โสตประสาทของอนาสเตเซียจึงเริ่มรับรู้ภาพเครื่องบินน้ำสีขาวลำเล็ก
ซึ่งกำลังแล่นเรียบด้วยความเร็วที่ผ่อนลงเรื่อยๆ มุ่งมายังหาดที่เธอนั่งนิ่งอยู่ราวกับรูปปั้นหิน
แดดที่แรงกล้าขึ้นของดวงอาทิตย์ตอนสิบเอ็ดนาฬิกาทอประกายระยับสะท้อนกับผิวน้ำทะเลสีฟ้าเบื้องหน้าจนวูบไหวแพรวพราว
ดวงตาที่ซึมเฉยเริ่มพร่าพรายท่ามกลางอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อนาสเตเซียเริ่มรู้สึกถึงศีรษะที่เบาหวิวและท้องที่ว่างเปล่า ทรวงอก
เริ่มอึดอัดราวจะหายใจไม่ออก และก่อนที่แดดลมและความโหยหิวจะทำให้เธอหมดสติไป สายตาก็มองเห็นเครื่องบินลำนั้นชะลอ
ลงจนหยุดนิ่งแทบจะเกยหาดตรงหน้าห่างจากจุดที่เธอนั่งอยู่ไม่ถึงสิบเมตร
เมื่อประตูเครื่องบินเปิดออกชายชาวเอเชียร่างสูงคนหนึ่งกระโดดลงจากเครื่องจนผิวน้ำกระฉอก อนาสเตเซียนิ่งมองอย่างตั้งใจ
เป็นครั้งแรก เธอหายใจกระชั้นด้วยความตื่นเต้นที่ทวีขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มผู้นั้นคว้าของบางอย่างบนเครื่องและเดินก้าวยาวๆ
ตรงมาที่เธอ หญิงสาวปากสั่นอย่างระงับไม่อยู่ เธอยกมือขึ้นปิดปากที่สั่นระริกราวจะป้องกันไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมาด้วย
ความปราโมทย์และอัดอั้นจากความหวั่นกลัวและรอคอยอย่างไร้จุดหมาย
อนาสเตเซียปาดน้ำตาที่ยังคลออยู่เต็มสองตาเพื่อจะมองภาพตรงหน้าให้ชัด หัวใจที่เต้นอย่างแผ่วเบาคล้ายจะสิ้นสติตอนนี้
กลับรัวแรง เลือดฉีดพล่านไปทั่วร่างด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เป็นคำพูด เธอผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เกินไปจนรู้สึกหน้ามืด ซวนเซอยู่สองทีก็ต้องทรุดกลับลงไปกองอยู่กับพื้น ชายหนุ่มก้าวถึงตัวเธอพอดีและคว้าแขนเธอไว้
ทั้งสองข้างโดยที่โยนกระเป๋าในมือลงกับพื้นทรายข้างตัวอย่างไม่ใยดี อนาสเตเซียหอบหายใจแรง ใบหน้าที่ซีดเผือดบัดนี้
กลับแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างระคนกัน
“คริส” เธอหลุดเสียงเรียกชื่อเขาออกมาอย่างแผ่วเบาผ่านริมฝีปากที่ยังคงสั่น “คริส?”
เสียงเรียกครั้งที่สองดังกว่าครั้งแรก ราวจะย้ำให้มั่นใจว่าเธอไม่ได้จินตนาการภาพเขาขึ้นมาเอง
“คริส คุณจริงๆ ฉันไม่ได้นึกภาพคุณไปเองใช่มั้ยคะ” เธอถามด้วยเสียงที่ยังคงแผ่วเบา สองมือกุมแขนเขาแน่นพลางลูบไล้
ไปมาอย่างลืมตัว การมาถึงของกฤชทำให้เธอรู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของตัวเองอย่างน่าประหลาด เธอรู้สึกถึงความเป็น
อนาสเตเซีย คิริยาคอสอีกครั้ง ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกลืมและไร้ค่าอย่างที่เธอรู้สึกมาตลอดสิบวัน
“อนาสเตเซีย” ชายหนุ่มเรียกชื่อราวจะให้ความมั่นใจกับเธอ น้ำเสียงที่ห้าวทุ้ม แฝงความรู้สึกห่วงใยและอาทร หากแต่เขา
เรียกชื่อเธอได้เพียงเท่านั้น ร่างกายที่อ่อนล้า แดด และหัวใจที่เต้นแรงอย่างกระทันหันจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน
ส่งผลให้สติเลือนลาง อนาสเตเซียยังคงยิ้มบางๆ ในหน้าขณะที่เป็นลมไปในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
ปมรัก รอยอดีต Book II ปมรัก บทที่ 31 ข้อความที่ไม่สื่อความหมาย ตอนที่ 1
31
ข้อความที่ไม่สื่อความหมาย ตอนที่ 1
โดย ฮาร์โมนิก้า
วาร์เดียเป็นชายหาดเล็กฝั่งตะวันออกทางตอนใต้ของเกาะโฟเลกานดรอสใกล้กับคาราวอสตาซี่
แม้จะเป็นหาดที่เข้าถึงง่ายต่างจากหาดอื่นบนเกาะซึ่งต้องเดินไปตามทางเดินของลาหรือปีนเขาลงไป แต่วาร์เดีย
ก็ยังเงียบสงบเนื่องจากเป็นหาดเล็กไร้ผู้คน ด้วยขนาดของเกาะที่เล็กเพียงสามสิบสองตารางกิโลเมตร มีประชากร
เพียงหกร้อยห้าสิบคน ทำให้หาดส่วนใหญ่ยังรกร้างและคงความเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์
ภาพหญิงสาวผมยาวสลวยสีทองที่นั่งสงบนิ่งอย่างเหม่อลอยบนก้อนหินในหาดเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกรวดและทราย
สีคล้ำลาดลงสู่ท้องทะเลสีฟ้าเข้มลึกเบื้องหน้าดูสวยงามราวกับนางไม้แต่ก็ไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากรูปปั้น
แสงแดดยามเช้าช่วงปลายฤดูร้อนทอประกายอบอุ่น สะท้อนสีฟ้าเข้มของน้ำทะเลที่ราวกับกระพริบประกายพราวพร่าง
แลดูระยับจับตา ความสันโดษของหาดให้ความเป็นส่วนตัวและน้ำสีฟ้าเข้มลึกนั้นก็ดูเชิญชวนให้แหวกว่าย
แต่หญิงสาวที่นั่งเงียบเพียงลำพังราวรูปปั้นหินแกะสลักนั้นกลับรู้สึกตรงข้าม ประสาทสัมผัสของเธอรับรู้ถึงธรรมชาติ
สวยงามและความเงียบสงบรอบตัว แต่ไม่อาจรู้สึกชื่นชมยินดีด้วยได้ ดวงตากลมใหญ่ล้อมด้วยแพขนตางอนยาวสะท้อนสี
ของท้องฟ้าใสยามเช้า หากความโศกเศร้าในแววตากลับบดบังประกายสดใสราวปกคลุมด้วยเมฆหมอก
อนาสเตเซียรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เธอไม่อยากขยับไม่อยากรับรู้และไม่ต้องการรู้สึกอะไรทั้งสิ้น แม้จะพยายามฝืนตัวเอง
ให้เป็นปกติ และไปทำงานอย่างตั้งใจทุกวัน แต่ทุกครั้งที่ว่างเธอจะกลับคืนสู่ภาวะซึมเศร้าหวั่นกลัวและท้อแท้ เธอเบื่อที่ต้อง
อำพรางตัวเองไม่ให้สะดุดตาใครและอาจนำเธอไปเทียบเคียงกับภาพของอนาสเตเซีย วาลลาซที่ถูกนำมาแพร่ภาพทาง
โทรทัศน์อยู่หลายครั้งตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายขาดอิสรภาพและหลบซ่อนตัว โชคดีที่ดูเหมือนตอนนี้กรีซ
จะมีข่าวอื่นที่น่าสนใจกว่าจนทำให้ข่าวของเธอแทบไม่ถูกพูดถึงอีกในช่วงสามสี่วันหลัง
หญิงสาวถอนหายใจสั้นๆ ดวงตายังคงเหม่อซึมมองความงามของทะเลสวยเบื้องหน้าอย่างว่างเปล่า วันนี้เป็นวันหยุดและเธอ
เลือกขี่สกู๊ตเตอร์ลงมาทางใต้ของเกาะ เพื่อมานั่งเล่นที่วาร์เดียไม่ไกลจากคาราวอสตาซี่ซึ่งเป็นท่าเรือเฟอร์รี่และหมู่บ้านริม
ท่าเรือมากนัก เธออยากออกมาให้พ้นสายตาเฝ้ามองอย่างกังวลของไอรีนและทันตแพทย์อคาซัส
เธอรู้ว่าสองสามีภรรยาเป็นห่วง แต่เธอก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกผิดหวังในตัวเองที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ เธอเป็นลูกที่ไม่ดี
เป็นแม่ที่ไร้ความสามารถ เธอปล่อยให้คนเลวเข้ามาคร่าชีวิตคนในครอบครัว แม้แต่ตัวเธอเองทุกวันนี้ก็ยังต้องหลบซ่อนเป็น
ผู้ต้องสงสัยของตำรวจ โดยที่เธอไม่มีปัญญาจะทำอะไร ไม่รู้จะต่อกรกับสามีโฉดของเธออย่างไร เธอไร้ความสามารถ ไร้ประโยชน์
และไร้ค่าเสียเหลือเกิน
น้ำตาไหลออกมาจนแห้งเหือด หญิงสาวนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาตกในตั้งแต่เช้า ไม่ใยดีต่อความหิวที่รุมเร้าอยู่จนคุ้นชินราวเพื่อนสนิท
สามวันหลังนี้เธอปล่อยให้ตัวเองหิว โดยแทบไม่กินอะไรแม้แต่น้ำก็จิบเพียงประทังชีวิต
น่าแปลกที่ความหิวและความทุกข์ทรมานทางกายกลับช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลึกทางจิตใจให้เบาบางลง อนาสเตเซียจึงได้แต่
นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ร่างกายอ่อนล้าลงจนกว่าจะหมดแรงและหมดลมหายใจไปเอง หวังว่าความเจ็บช้ำในหัวใจจะลดทอนและเลือน
หายไปได้ตลอดกาล
แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น ความโหดร้ายของชีวิตยังกระหน่ำซ้ำเติมจิตใจเธอ โดยมีจูเลี่ยนเป็นฟางเส้นสุดท้าย
อนาสเตเซียคร่ำครวญอยู่ในใจ รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้ แม้กระทั่งจะติดต่อหรือคุยกับจูเลี่ยน เธอก็ยังไม่อาจทำได้
ตอนนี้เธอถูกกันออกจากลูกชายตัวเองอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นฝันร้ายที่ทารุณจิตใจของผู้เป็นแม่มากที่สุด เธอไม่ได้คุยกับเด็กชายมา
สิบวันแล้ว และที่จริงเธอไม่ได้เห็นหน้าเขามาเกือบสองเดือนนับแต่ที่ถูกยิงตกหน้าผาวันนั้น
เมื่อแรกมาถึงเกาะโฟเลกานดรอสเพื่อขอพักกับไอรีนอดีตพี่เลี้ยงซึ่งเลี้ยงดูเธอมาแต่เกิด อนาสเตเซียมีโอกาสตรวจอีเมลล์เป็น
ครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้ดูเลยนับแต่ครั้งสุดท้ายที่ส่งเมลออกไปหาเนสเตอร์และไอรีน คนละฉบับในวันที่ลาซารอสมาบ้านบน
เกาะปาโรส และกล่าวหาว่าเธอเป็นฆาตกรฆ่าบิดา
หญิงสาวจำได้ถึงความหวังที่ถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจเมื่อเห็นชื่อของเนสเตอร์ในกล่องข้อความ หากแต่เมลล์ที่อ่านกลับทำให้
ความหวังนั้นดับวูบลงกลายเป็นอารมณ์ว่างเปล่า เฉกเช่นเดียวกับข้อความในเมลล์นั้น
‘อนาสเตเซียหลานรัก
น้าเปิดอีเมลหลานอ่านหลังจากน้าได้คอยทุกวัน น้าเปิดเมลอ่านห้าวันแล้ว เข้าใจดีในทุกคำของหลาน
ขอหลานอย่ากังวลใจ ปล่อยใจกายให้เย็นไว้ หนทางส่วนตัวของครอบครัวน้า ก็พูดไม่ได้ว่าจะราบรื่น น้าเองก็อยากกลับไปเป็นเด็ก
ได้ทำอะไรที่เร็วๆ สนุกๆ มันไม่เหมือนเวลานี้ น้าได้แต่บ่นไปแล้วทำอะไรไม่ได้ เวลาผ่านไปแล้วใช่จะหวนคืนได้อย่างไร อยากคุย
อยากจะติดต่อกับใคร ก็อย่ามัวแต่คิดกลับใจ ปล่อยคืนวันทิ้งไปเปล่าๆ
รัก
น้าเนสเตอร์’
น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วไหลลงมาใหม่ช้าๆ น้าของเธอคงจากกรีซไปนานจนลืมสำนวนภาษาไปหมดสิ้น และเขียน
ข้อความหาเธอด้วยสำนวนแปลกๆ ที่ไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับเธอนอกจากถ้อยคำที่เหมือนจะปรับทุกข์ และให้กำลังใจ
ที่ดูว่างเปล่าไร้ความหมาย หรือเนสเตอร์จะตัดรอนเธอและทุกคนทางนี้จริงๆ เธอคงไม่อาจพึ่งพิงใครได้นอกจากตัวเอง
แล้วเธอในเวลานี้จะทำอะไรได้บ้างเล่า ในเมื่อเธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจไปแล้ว หญิงสาวทอดถอนใจไร้เรี่ยวแรง
ที่จะลุกขึ้นหรือคิดอ่านทำอะไรต่อไป เธอนึกอยากให้ร่างกายอ่อนแรงและหยุดหายใจไปเอง
เสียงเครื่องบินที่ดังกระหึ่มราวกับบินวนเวียนอยู่เหนือเกาะเล็กๆ เพื่อหาที่ลงจอดไม่อาจเรียกความสนใจของเธอได้ จนเมื่อ
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แทรกผ่านโสตประสาทที่ซึมเฉยของหญิงสาว ก่อนจะร่อนลงลงบนผืนน้ำสีฟ้าไกลออกไปร่วม
สามกิโลเมตรทิ้งพรายฟองของเกลียวคลื่นไว้เบื้องหลัง โสตประสาทของอนาสเตเซียจึงเริ่มรับรู้ภาพเครื่องบินน้ำสีขาวลำเล็ก
ซึ่งกำลังแล่นเรียบด้วยความเร็วที่ผ่อนลงเรื่อยๆ มุ่งมายังหาดที่เธอนั่งนิ่งอยู่ราวกับรูปปั้นหิน
แดดที่แรงกล้าขึ้นของดวงอาทิตย์ตอนสิบเอ็ดนาฬิกาทอประกายระยับสะท้อนกับผิวน้ำทะเลสีฟ้าเบื้องหน้าจนวูบไหวแพรวพราว
ดวงตาที่ซึมเฉยเริ่มพร่าพรายท่ามกลางอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อนาสเตเซียเริ่มรู้สึกถึงศีรษะที่เบาหวิวและท้องที่ว่างเปล่า ทรวงอก
เริ่มอึดอัดราวจะหายใจไม่ออก และก่อนที่แดดลมและความโหยหิวจะทำให้เธอหมดสติไป สายตาก็มองเห็นเครื่องบินลำนั้นชะลอ
ลงจนหยุดนิ่งแทบจะเกยหาดตรงหน้าห่างจากจุดที่เธอนั่งอยู่ไม่ถึงสิบเมตร
เมื่อประตูเครื่องบินเปิดออกชายชาวเอเชียร่างสูงคนหนึ่งกระโดดลงจากเครื่องจนผิวน้ำกระฉอก อนาสเตเซียนิ่งมองอย่างตั้งใจ
เป็นครั้งแรก เธอหายใจกระชั้นด้วยความตื่นเต้นที่ทวีขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มผู้นั้นคว้าของบางอย่างบนเครื่องและเดินก้าวยาวๆ
ตรงมาที่เธอ หญิงสาวปากสั่นอย่างระงับไม่อยู่ เธอยกมือขึ้นปิดปากที่สั่นระริกราวจะป้องกันไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมาด้วย
ความปราโมทย์และอัดอั้นจากความหวั่นกลัวและรอคอยอย่างไร้จุดหมาย
อนาสเตเซียปาดน้ำตาที่ยังคลออยู่เต็มสองตาเพื่อจะมองภาพตรงหน้าให้ชัด หัวใจที่เต้นอย่างแผ่วเบาคล้ายจะสิ้นสติตอนนี้
กลับรัวแรง เลือดฉีดพล่านไปทั่วร่างด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้เป็นคำพูด เธอผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
เกินไปจนรู้สึกหน้ามืด ซวนเซอยู่สองทีก็ต้องทรุดกลับลงไปกองอยู่กับพื้น ชายหนุ่มก้าวถึงตัวเธอพอดีและคว้าแขนเธอไว้
ทั้งสองข้างโดยที่โยนกระเป๋าในมือลงกับพื้นทรายข้างตัวอย่างไม่ใยดี อนาสเตเซียหอบหายใจแรง ใบหน้าที่ซีดเผือดบัดนี้
กลับแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างระคนกัน
“คริส” เธอหลุดเสียงเรียกชื่อเขาออกมาอย่างแผ่วเบาผ่านริมฝีปากที่ยังคงสั่น “คริส?”
เสียงเรียกครั้งที่สองดังกว่าครั้งแรก ราวจะย้ำให้มั่นใจว่าเธอไม่ได้จินตนาการภาพเขาขึ้นมาเอง
“คริส คุณจริงๆ ฉันไม่ได้นึกภาพคุณไปเองใช่มั้ยคะ” เธอถามด้วยเสียงที่ยังคงแผ่วเบา สองมือกุมแขนเขาแน่นพลางลูบไล้
ไปมาอย่างลืมตัว การมาถึงของกฤชทำให้เธอรู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของตัวเองอย่างน่าประหลาด เธอรู้สึกถึงความเป็น
อนาสเตเซีย คิริยาคอสอีกครั้ง ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกลืมและไร้ค่าอย่างที่เธอรู้สึกมาตลอดสิบวัน
“อนาสเตเซีย” ชายหนุ่มเรียกชื่อราวจะให้ความมั่นใจกับเธอ น้ำเสียงที่ห้าวทุ้ม แฝงความรู้สึกห่วงใยและอาทร หากแต่เขา
เรียกชื่อเธอได้เพียงเท่านั้น ร่างกายที่อ่อนล้า แดด และหัวใจที่เต้นแรงอย่างกระทันหันจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน
ส่งผลให้สติเลือนลาง อนาสเตเซียยังคงยิ้มบางๆ ในหน้าขณะที่เป็นลมไปในอ้อมแขนของชายหนุ่ม