เมื่อฉันเป็น'โรคกลัวอ้วน' เกือบตายเพราะอยากสวย

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะทุกๆคน ตอนนี้เราสบายดีนะคะ สุขภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ทุกอย่าง กินอาหารและออกกำลังกายตามปกติ แต่ก่อนหน้านี้เราไม่ได้แฮปปี้เหมือนตอนนี้หรอกค่ะชีวิตนี่แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว เราเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของเราเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกๆคนที่กลัวอ้วนหรืออยากผอมอย่าได้คิดทำตามค่ะเพราะมันอาจทำให้เราไม่ลืมตาขึ้นมามองโลกอีกเลยก็ได้นะคะ

เมื่อประมาณสองปีที่แล้วเราน้ำหนัก 60 กก. สูงแค่ 155 ซม. สาเหตุที่เราอยากผอมก็คือเราดูสื่อต่างๆเยอะเกินไปค่ะ ทั้ง Youtube, instagram บลาๆ เห็นใครหุ่นดีก็อิจฉา อยากผอมบ้าง ใส่ชุดอะไรก็สวยไปหมด พอดูเข้าดูเข้าก็เริ่มทนเห็นตัวเองนอนอืดในสภาพนี้ไม่ได้ เลยตั้งใจฟิตหุ่นขึ้นมาและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของประสบการ์ณที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเราค่ะ

เราเริ่มจากการกินอาหารคลีนค่ะเพราะเห็นหลายๆเพจใน IG เป็นเพจอาหารคลีนเราก็ลองทำตามอะไรที่เค้ากินแล้วบอกว่าคลีนนะ  ไม่อ้วนนะ เราก็ทำตามหมดค่ะ เราจำได้เลยค่ะว่าช่วงนั้นกินข้าวน้อยมากแต่ก็กินครบ 3 มื้อนะคะ (เราไม่เคยไม่กินข้าวไม่ครบ 3 มื้อต่อวัน)  แบบกินแค่ ผักต้ม 3 ชิ้น แครกเกอร์ 2 อัน ชีส 1 แผ่นเล็กๆ ต่อมื้อ ทำมาเรื่อยๆก็ลดนะคะไม่ได้ทรมานมากเท่าไหร่ จาก 60 ก็เลยเหลือ 56 ค่ะ
ช่วงนั้นเราค่อนข้างเสพสื่อตะวันตกค่ะ เค้าฮิตมี Six packs กัน ไอเราก็อยากมีบ้าง จัดมาเลยค่ะ 6 weeks 6 packs Cardio วิ่ง ปั่น เต้น สารพัด (รู้ท่าออกกำลังกายมากกว่าข้อสอบอีกค่ะทีนี้ )  ช่วงนี้และค่ะที่พีคสุดๆตอนนั้นปิดเทอมใหญ่เราเลยจัดหนักจัดเต็มเลย กินน้อยตามปกติ + ออกกำลังกายหักโหมมาก เริ่มจากเต้นตั้งแต่ 3-4 โมงต่อด้วย 6 weeks 6 packs (อันนี้บอกเลยค่ะว่าลดจริงดีมากๆ)  แล้วก็ต่อด้วย ท่าออกกำลังกายต่างๆมากมาย ทุกอย่างที่คิดจะทำทุกอย่างทีทำแล้วผอมเราทำหมด รวมๆแล้วก็ไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ชม. ค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเอาแรงฮึดมาจากไหนตอนนี้แค่ 30 นาทีเรายังไม่รอดเลย(ฮา) ออกมาเรื่อยๆจนเปิดเรียนพิเศษ(ซัมเมอร์) ตอนนั้นเราหนัก 47 กก. ยังออกกำลังกายและกินเหมือนปกตินะคะเราเริ่มกินคลีนและน้อยขึ้นๆ ขนมนี้ไม่แตะเลยค่ะ เวลาเผลอกินเยอะขึ้นมาก็จะมานั่งร้องไห้เสียใจทำไมตอนนั้นเรากินมันวะ ทำไมไม่ห้ามใจตัวเองบ้าง

จุดเริ่มต้นของโรคกลัวอ้วน...
โรคกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) เป็นภาวะที่บุคคลปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารเพื่อคงน้ำหนักไว้ในระดับปกติ โดยมีทัศนคติที่ผิดต่อรูปร่าง และน้ำหนักตัวผิดปกติ คนที่เป็นโรคนี้ จะเป็นคนที่กลัวอ้วน กลัวเอามาก ๆ เห็นน้ำหนักตัวเองเป็นศัตรู ปฏิเสธอาหารอย่างมากจนผ่ายผอม
ผู้ป่วยจะกลัวมาก ๆ เกี่ยวกับการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น และที่แปลกคือ เมื่อยิ่งผอม น้ำหนักลด กลับยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก ความกลัวน้ำหนักเพิ่มนั้น มากเสียยิ่งกว่ากลัวตายจากการปฏิเสธอาหาร แทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายหรือเบาใจ เมื่อน้ำหนักลดลงได้เขากลับกลัวมากขึ้นไปอีก ผู้ป่วยเป็นโรคอะนอเร็กเซียมักไม่สังเกตตัวเอง และไม่อยากรับการรักษา แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะมีอันตรายร้ายแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้เนื่องจากขาดสารอาหาร นอกจากนี้คนไข้ส่วนใหญ่ยังมักเสียชีวิต จากการฆ่าตัวตายเพราะปัญหาสุขภาพรุมเร้า

พอปิดซัมเมอร์เราก็มีเวลาออกกำลังกายมากขึ้นเราก็จัดหนักๆเลยค่ะ ออกมันทั้งวันทั้งคืนอ่ะ แต่six packs ก็ยังไม่ขึ้น (เพราะขาดโปรตีน) เรานี่ก็เศร้าทุกวันเครียดเรื่องหุ่นเครียดมากเก็บไปคิดตลอด ขนาดเท้าแพลงยังต้องออกต่อเพราะไม่งั้นจะไม่ต่อเนื่อง sixpacks ไม่ขึ้น
วันเปิดภาคเรียนเรามีการจัดห้องใหม่ เพื่อนที่เคยเรียนด้วยจำเราแทบไม่ได้มีแต่คนทักว่าไปทำอะไรมาผอมมาก หน้าตอบ ซูบ เหมือนผีเหมือนกระดูกเดินได้ ตอนนั้นหนัก 43 กก.ค่ะ  แต่เรากลับตอบไปว่าผอมที่ไหนอ้วนจะตาย (เอะอีนี่ 555) เวลาเปิดเทอมเราจะกลับบ้านค่ำค่ะเลยไม่มีเวลาออกกำลังเลยหันมาหาวิธีกินคลีนให้มากขึ้นและก็กินน้อยกว่านี่จากแทบจะไม่ได้กินอะไรแล้วยิ่งน้อยกว่าเดิมค่ะ เราจะโหลดแอปดูแคลอรี่มาไว้ วันหนึ่งต้องไม่เกิน 800 แคลนะจะกินอะไรต้องดูแคลก่อน อาหารทุกชนิดต้องผ่านสายตาเราหมด นมเราก็แทบไม่กินเพราะแคลเยอะ  ขนาดยาเรายังไม่กล้ากินเลยเพราะมีน้ำตาลกับแคลอรี่ เราต้องกินข้าวทุกวันค่ะ(ข้าวสวย) เพราะที่บ้านห้ามไม่ให้ไม่กินข้าวเราก็จะนับไว้ 5 ช้อนโต๊ะนะห้ามเกิน ส้มหนึ่งลูกก็กินวันละ 3 กลีบก็พอ วันๆก็กินไก่ต้ม ไข่ต้ม ผักลวก ครอบครัว,เพื่อนทักว่าพอได้แล้วก็ไม่เชื่อยังบอกว่าตัวเองอ้วนๆๆๆ หลังๆมาพ่อกับแม่เริ่มเครียดค่ะบังคับเราเท่าไหร่เราก็ไม่ยอม ถึงขั้นด่าพ่อกับแม่เรื่องน้ำหนัก ตอนนั้นเราเป็นคนละคนกับตอนนี้เลยค่ะ ตั้งใจเรียนมากๆถึงมากที่สุด ไม่พูดคำหยาบเป็นคนดีสวดมนต์ทุกคืน ตื่นเช้ามากวาดบ้าน ล้างจาน ทำอาหารให้พ่อแม่ทุกวัน ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องด่ายกเว้นเรื่องน้ำหนัก ชอบกินพวกขนมไทย ถั่ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้และปัจจุบันเราไม่เคยเป็นมาก่อนเลย(อยากถามเพื่อนๆว่าอันนี้เป็นอาการทางจิตหรือว่าอะไรหรือปล่าวคะ?) ตอนนี้เราหนักแค่ 41 แล้วค่ะ สูง 158 ซม. พอมันหนักขึ้นๆพ่อแม่ทนไม่ไหวพยายามหาทางช่วยเหลือเรา เราก็พยายามแล้วนะคะแต่มันทำไม่ได้จริงๆ ถึงขั้นจะให้เราไปพบจิตแพทย์เราก็ปฏิเสธสิคะ ต่อต้านทุกๆคำพูโของพ่อแม่ ทางญาติเลยต้องพึ่งไสยศาสตร์ทำพิธีนู่นนี่ เราก็ยังกลัวอ้วนเหมือนเดิม แถมยังจิตตกกว่าเดิมอีกด้วย ชีวิตเราจากที่เคยมีความสุข ร่าเริง ตอนนี้มันหายไปหมดแล้วมีแต่ความเศร้า ความืดมืนว่างเปล่า ชีวิตแทบจะไม่เอาอะไรอีกแล้ว ร่างกายก็พัง ข้าวปลาก็ไม่กินถามว่าหิวมั้ยก็ไม่หิวแล้ว แถมอาการยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ อาการของเราก็คือ
-เราเป็นคนร่างใหญ่กระดูกแหลมเวลานั่งมันเจ็บมากๆค่ะเหมือนเอาเหล็กมาทิ่มเลย โดยเฉพาะตรงก้นเจ็บมากๆ ตอนนี้ก็ยังไม่หาย(ก้นไม่มีไง55)
-ประจำเดือนไม่มาครึ่งปี
-ไม่ถ่ายเลยสักครั้ง นั่งนานแค่ไหนก็ไม่ถ่าย
-อยู่ที่ไหนก็หนาว เพื่อนร้อนแต่เราหนาวซะงั้น
-ผมร่วงเยอะมาก ร่วงเป็นทางเดินเลย
-ผิวแห้งเหี่ยวเหมือนคนแก่ ขนอ่อนขึ้นเต็มตัว
โรคแทรกซ้อนส่วนใหญ่ เกิดจากผลของการอดอาหาร เป็นความพยายามของร่างกายที่จะอนุรักษ์พลังงานไว้ใช้ในภาวะที่ขาดแคลน ผู้ป่วยที่ใช้วิธีอาเจียน ถ่ายท้อง หรือขับปัสสาวะจะสูญเสียธาตุโพแตสเซียม เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะและกล้ามเนื้อเกร็งได้
           โรคแทรกทางหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคนี้ อาจหัวใจเต้นช้าแค่ 40 ครั้งต่อนาที
           อาเจียน บ่อยๆ ทำให้เคลือบฟันสึกกร่อน และต่อมน้ำลายบวมคล้ายเป็นคางทูม กล้ามเนื้อกระเพาะและลำไส้จะลีบและอ่อนลงจากการที่ใช้งานน้อย ทำให้อาหารคงอยู่ในและท้องผูก
           ผิวหนังจะแห้ง ผมบนศีรษะบางลง มีขนอ่อนตามลำตัวและแขนขามากขึ้น
           อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง กระดูกบางลง กระดูกหักง่าย
           ไตทำงานปกติ อาจเกิดไตวายเรื้อรัง
           เม็ดโลหิตและเกร็ดเลือดลดน้อยลง

ตอนนั้นเราทนไม่ไหวแล้วค่ะเครียดเรื่องกลัวอ้วนก็เครียด เรื่องสุขภาพก็เครียด ไหนบอกว่าผอมแล้วจะสวยไงทำไมทุกคนทักเราว่าเหมือนผีล่ะ จิตตกมากตอนนั้น เหมือนชีวิตตายไปแล้วข้างหนึ่ง แต่เราก็ยังโชคดีที่ควบคุมความตะกละของตัวเองไม่ได้ 555 ต้องยอมแพ้ไปซะก่อน เราเห็นของโปรดเราค่ะทั้ง ชอกโกแลต ขนมหวาน เค้ก ตอนนั้นความหิวทำให้ตาลาย กินไปจนหมด คือคืนนั้นไม่ได้นอนเลยจุกเกิน ของกินนี่ไหลมาอยู่ตรงคอเลย แต่นั่นก็ทำให้เรามีชีวิตใหม่ หลังจากวันนั้นที่เราก็กินเยอะขึ้นเรื่อยๆเหมือนปอปอ่ะค่ะกินมันแม่*ทั้งวัน กินเยอะจนอ้วกเลย ขนาดตอนอ้วนตูยังไม่แดรกเยอะขนาดนี้เลย 55(เราว่ามันน่าจะเป็นผลข้างเคียงของการลดน้ำหนักนะคะ ) และล้วน้ำหนักเราก็ขึ้นมาอยู่ที่ 52 กก. ภายใน 2 เดือนค่ะ (ฮา) ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น พยายามต่อสู้กับมันอีกครึ่งปี จนกลายมาเป็นตัวเองคนเดิม อะไรที่เคยชอบทำตอนนั้นเราก็ไม่เคยทำมันอีกเลย...
  เนื่องจาก อะนอเร็กเซียหรือโรคกลัวอ้วนเป็นโรคที่อาจจะเกิดได้กับเด็กวัยรุ่นทุกๆคน ซึ่งมีความรักสวยรักงาม  เราไม่อยากให้โรคนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนใด  เหมือนกับเราที่ต้องทรมานกับโรคนี้มานานถึง 2 ปี และรับรู้ได้ว่ามันร้ายแรง เกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้หากไม่ได้ประสบกับมันด้วยตัวเอง เลยอยากจะบอกว่า เพื่อนๆคนไหนที่คิดจะลดน้ำหนัก ต้องแน่ใจว่าตัวเอง จิตใจเข้มแข็งพอรึป่าว พอที่จะหยุดตัวเองไม่ให้ถลำลึกลงไปมากกว่าที่คิด และตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายที่ชื่อ "อะนอเร็กเซีย"
         ลองคิดดูว่า แม้แต่แรงที่จะเดินก็ไม่มี หายใจก็ยังเหนื่อย แต่พอกินเข้าไปแล้วมันจะรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าการทนต่อ ความหิวเสียอีก มันเป็นยังไง แต่ดีใจที่ได้เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิต ตั้งแต่ที่หายขาดจากอะนอเร็กเซีย วันนี้ไม่เคยมองรูปร่างตัวเองเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือคิดว่า ตัวเองมีปมด้อย ถึงแม้จะมีคนว่าอ้วน หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ยังมีความสุข ยังยิ้มได้ สนุกกับชีวิตได้ อยากให้เพื่อนๆทุกคนพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี รูปร่างก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะเปลี่ยนไป ถึงเราจะเคยสวยแค่ไหน เมื่อแก่ไปมันก็ต้องเหี่ยวไปเป็นธรรมดา..
ขอบคุณข้อมูลจากผู้เขียน :blog.eduzones
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่