อันยองฮาเซโย ~ เราจะพาทุกๆคนไปเที่ยวเกาะเชจูกัน เย้!!
มั่วๆมึนๆไปหน่อยนะ เพราะเป็นกระทู้แรกของเราเลย 555 ตื่นเต้นๆ เอาหละๆเข้าเรื่อง!
ทริปนี้เดินทาง 29 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน 2558 จ้า เหมือนไป 4 วันนะ แต่เอาจริงๆไปแค่สามวันเท่านั้นเองง
ขาออก บินกลางคืนวันที่ 29 ตุลาคม ไฟล์ทบิน 02.00 น. ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ขาเข้า บินกลางคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ไฟล์ทบิน 21.30 แต่เครื่องดีเลย์เป็น 22.30 (ของเวลาที่เกาหลีนะจ๊ะ) ณ สนามบินนานาชาติเชจู ถึงไทย 02.00 น. (เวลาไทยจ้า)
โกทูเชจู!! ปะๆเที่ยวกันๆ *แอบกระซิบช่วงนี้เชจู Autumn นะขอบอก ใบไม้เปลี่ยนสีสวยทีเดียวเชียว*
ด้วยความตื่นเต้นของเราที่จะได้ไปเที่ยวเกาหลีในครั้งแรก ทัวร์นัด 5 ทุ่ม ข้าพเจ้ากับพี่ก็มาซะ 3 ทุ่มครึ่งไม่เวอร์เน๊อะๆ แล้วพ่อกับแม่ก็เดินทางตามมาอีกทีตอนสี่ทุ่ม
ถึงเวลาก็โหลดกระเป๋าเดินเล่น duty free อะไรก็ว่าไป พอเหนื่อยแล้วก็นอน? ใช่แล้วนอนนั้นแหละ
ก็เครื่องออกตี 2 แลนดิ้งถึงเชจูแล้วเที่ยวเลย เราก็ต้องเก็บพลังงานสิ Z z z
และเราก็ได้มีการเดินทางโดยสายการบิน Eastar Jet 이스타항공 ถ้านึกภาพตามก็ Airasia บ้านเรานั้นเอง Eastar Jet เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่มีการบุกรุก?ตลาดการท่องเที่ยวไทย เพราะเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงจากกรุงเทพไปเชจูเลย ไม่ต้องมีการไปเปลี่ยนเครื่องที่โซลนะจ๊ะๆ นอกเหนือจากนั้นสายการบินนี้เป็นสายการบินที่ช่วยปรับบุคลิกภาพเราให้ดูดี ดูสมาร์ทขึ้นอีก เนื่องจากตลอดการเดินทางเราจะนั่งหลังตรงไปตลอดทางเลย 555
30 ตุลาคม 2558 อุณหภูมิวันแรกประมาณ 13 °C ใครไม่หนาวแต่ข้าพเจ้าสั่นหงั่กๆ
ณ เวลา 10.00 น.(เวลาเกาหลีซึ่งเร็วกว่าไทย 2 ชม.) เราก็ได้มีการเดินทางมาถึงดินแดนแห่งโสมแล้วว เย้!!
เธอเห็นแผ่นดินนั้นไหม อยากจะโดดลงจากเครื่องตอนนั้นแล้วลงไปวิ่งเล่นเลย(คิดได้ไม่ดูอายุเล้ย)
หลังจากผ่านตม.เรียบร้อยแล้ว ก็รื้อกระเป๋าเดินทางทำการชำระล้างช่องปากกันสักหน่อย เพราะหลังจากนี้เราจะเที่ยวแบบยิงยาวทั้งวันเลย ~ ~
พอสายตายได้พบปะกับแสงแดด กระเพาะก็เริ่มทำงานเลยค่า หิวเลยค่า สายแหลกเลยค่า
เหมือนพี่ไกด์เขารับรู้ถึงความหิวโหยของเราที่จะแทะพื้นสนามบินกินแล้ว พี่เขาก็เลยพาเราไปให้อาการกันที่โรงแรม Sea & Hotel
โดยอาหารมื้อแรกของเราได้แก่ แท่มแทมมมมม ~ ~
“จิมดัก” ( Jim dak) ออกเสียงดีๆนะคะ จิมดัก! ดูปากเรานะคะ*เอานิ้วชี้* จิมดัก ออกเสียงผิดนี่เสียอรรถรสในการกินเลยทีเดียว 555 จิมดักคือก็ไก่อบซีอิ๊ววุ้นเส้นนั้นเอง จะทานเปล่าๆหรือทานคู่กับข้าวก็ได้นะ แต่ถ้าไม่อิ่มไม่พอก็ขอข้าวเพิ่มได้ ให้ยกมือขึ้นแล้วขอ “ผับ” (ข้าว) ถ้าอยากได้ข้าวมากๆก็ “ผับ ผับ ผับ” ถ้าอยากได้มากอีกก็ “ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ” แล้วตีบิกบินขึ้นไปเลย 555
น่ากินใช่มะ ซูมเข้าไปซูมเข้าไปอีกก เอาให้ได้กลิ่นเลย
หลังจากอิ่มท้องเติมพลังงานจนเต็มเราก็ไป “นั่งเรือชมทะเล!!” (Jeju Cruise)
ต้องบอกเลยว่าเป็นการนั่งเรือชมทะเลที่หนาวที่สุดที่เคยไปมา
ทะเลที่นี่ไม่เหมือนทะเลบ้านเราเลย ด้วยสภาพแวดล้อมที่แต่ต่างกันด้วยแหละ
ถ้าเป็นบ้านเราก็หาดทรายขาวสวยฟรุ้งฟริ้ง ฝรั่งนอนอาบแดดกันอากาศร้อนๆ
แต่ทะเลที่เชจูนี่ส่วนมากชายฝั่งเป็นโขดหินไม่มีทรายขาวๆ อากาศนี่ร้อนสุดก็ 25 °C
เย็นกว่าหน้าหนาวประเทศไทยหลายขุม
เรือที่เราจะล่องทะเลนั้นมี 3 ชั้น ชั้นที่1จะเป็นห้องรับรองภายในเรือไม่ต้องโต้ลมไม่หนาว
ส่วนชั้นที่ 2 จะมีด้านหน้าเรือซึ่งมีพื้นที่ให้ได้ถ่ายรูปเซลฟี่กันเต็มที่และคนก็เยอะแบบที่เต็มมาก
เรากับครอบครัวเลยไปสิงกันอยู่ที่ชั้น 3 ของเรือ หนาวสะท้านฟ้าสะท้านลมไปเลยค่า แต่ฟินดีนะวิวสวยไม่มีคนบัง
เต็มอิ่มกับลมหนาวที่ทะเลแล้วเราก็ไปต่อกันที่ “วัดซันบังซา” (Sanbangsa Temple)
ตั้งอยู่ที่เขาซังบันหันหน้าออกสู่ทะเล มีพระประธานองค์ใหญ่ ให้เราได้กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลกัน
ทำบุญกันอิ่มอกอิ่มใจแล้วเราก็ไปอิ่มท้องกันต่อที่ “พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค” (o'sulloc)
มาชม ชิม ชิล ที่ไร่ชา
ไอศกรีมชาเขียวเจ้มจ้นเวอร์ เค้กโรลก็อร่อย ~
วิวก็สวย บรรยากาศดี สดชื่นมากกกกกก ~ ~
หลังจากโดนคาถาชิมเมโจได๋แปลงร่างเป็นหนอนชาเขียวแล้วนั้น
เราก็จะไปแปลงร่างเป็นแมวกันต่อที่ “Hello Kitty Island” 헬로키티아일랜드 หม๊าววว
เอ๊ะ!! เดี๋ยวสิ คิตตี้ไม่ใช่แมวนะแค่คิตตี้เป็นคน เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ สูงเท่าแอปเปิล 5ลูก หนักเท่าแอปเปิล3ลูกเอง
หลังจากชื่นชมความน่ารัก สดใสของคิตตี้แล้ว เราก็หิวเพราะว่าคิตตี้น่ากินมาก?? เดี๋ยว!! ไม่ใช่!! หิวธรรมดาก็พอ เราก็ไปจัดมื้อเย็นกับ “พุลโกกิ” ( Bulgogi ) 불고기หมูหมักชิ้นบางๆ ต้มในหม้อไฟ และมีเครื่องเคียงเป็น ถั่วงอก ไชเท้าดอง สาหร่าย กิมจิ และข้าว พร้อมแล้วเชิญ!
อิ่มจากอาหารมื้อสุดท้ายของวันกันแล้วฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทพอดี
บอกเลยว่าบนเกาะนี่โคตรเงียบสงบมากก มืดมากถ้าไม่ใช่ส่วนของ Downtown
พออิ่มแล้วหนังตาก็เริ่มหย่อน เรียกร้องหาเตียงนอนกันแล้ว แต่!!!
พี่ไกด์ของเราก็ได้พาเราไปเที่ยวต่อ!! สู้ไปอีก!!
และที่ต่อไปที่เราจะไปนั้นคืออออ “น้ำตกซอนจียอน” เที่ยวน้ำตกตอนกลางคืน อะเมซิ่งมากก
พอกลางคืนแล้วอากาศก็เย็นลง ปะทะไอน้ำจากน้ำตกอีก ยะเยือกเลย

ปล.ถ่ายน้ำตกตอนกลางคืนนี่โคตรยาก ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้เอาไป
โอเค หมดทริปวันนี้แล้วทริปแน่นมากก ไปที่ซุกหัวนอนของเรากันดีกว่า
คืนนี้เราก็ได้มาซุกหัวอยู่ที่ “Rhanju Hotel” รางจู โฮเตล
ก่อนที่จะ ซึ่มม ~ ~ ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนที่นุ่มและอุ่นนั้น ความอยากรู้อยากเห็นก็เข้ามาแทนที่ความเหนื่อย เลยชวนพี่มาเดินสำรวจรอบๆโรงแรมกันซะหน่อย
แล้วก็ได้ของกินมากระแทกปากก่อนนอนจากเซเว่นแล้วเอาปลาหมึกกับปลาริวกิวจากน้ำตกมารวมแจมในมื้อดินเนอร์นี้
มีแต่ของกินแบ๊วๆทั้งนั้นเลย (มองข้ามๆขวดข้างหลังไปนะ)
พออิ่มและเพิ่มอุณหภูมิจากโซจูกันแล้วก็ชัดดาวน์ ปิดสวิทช์ หลับ Z z z
[CR] เที่ยวเชจู เกาะสวรรค์ วันฟินๆ ในราคาสบายๆ
มั่วๆมึนๆไปหน่อยนะ เพราะเป็นกระทู้แรกของเราเลย 555 ตื่นเต้นๆ เอาหละๆเข้าเรื่อง!
ทริปนี้เดินทาง 29 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน 2558 จ้า เหมือนไป 4 วันนะ แต่เอาจริงๆไปแค่สามวันเท่านั้นเองง
ขาออก บินกลางคืนวันที่ 29 ตุลาคม ไฟล์ทบิน 02.00 น. ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ขาเข้า บินกลางคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน ไฟล์ทบิน 21.30 แต่เครื่องดีเลย์เป็น 22.30 (ของเวลาที่เกาหลีนะจ๊ะ) ณ สนามบินนานาชาติเชจู ถึงไทย 02.00 น. (เวลาไทยจ้า)
โกทูเชจู!! ปะๆเที่ยวกันๆ *แอบกระซิบช่วงนี้เชจู Autumn นะขอบอก ใบไม้เปลี่ยนสีสวยทีเดียวเชียว*
ด้วยความตื่นเต้นของเราที่จะได้ไปเที่ยวเกาหลีในครั้งแรก ทัวร์นัด 5 ทุ่ม ข้าพเจ้ากับพี่ก็มาซะ 3 ทุ่มครึ่งไม่เวอร์เน๊อะๆ แล้วพ่อกับแม่ก็เดินทางตามมาอีกทีตอนสี่ทุ่ม
ถึงเวลาก็โหลดกระเป๋าเดินเล่น duty free อะไรก็ว่าไป พอเหนื่อยแล้วก็นอน? ใช่แล้วนอนนั้นแหละ
ก็เครื่องออกตี 2 แลนดิ้งถึงเชจูแล้วเที่ยวเลย เราก็ต้องเก็บพลังงานสิ Z z z
และเราก็ได้มีการเดินทางโดยสายการบิน Eastar Jet 이스타항공 ถ้านึกภาพตามก็ Airasia บ้านเรานั้นเอง Eastar Jet เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่มีการบุกรุก?ตลาดการท่องเที่ยวไทย เพราะเป็นสายการบินเดียวที่บินตรงจากกรุงเทพไปเชจูเลย ไม่ต้องมีการไปเปลี่ยนเครื่องที่โซลนะจ๊ะๆ นอกเหนือจากนั้นสายการบินนี้เป็นสายการบินที่ช่วยปรับบุคลิกภาพเราให้ดูดี ดูสมาร์ทขึ้นอีก เนื่องจากตลอดการเดินทางเราจะนั่งหลังตรงไปตลอดทางเลย 555
30 ตุลาคม 2558 อุณหภูมิวันแรกประมาณ 13 °C ใครไม่หนาวแต่ข้าพเจ้าสั่นหงั่กๆ
ณ เวลา 10.00 น.(เวลาเกาหลีซึ่งเร็วกว่าไทย 2 ชม.) เราก็ได้มีการเดินทางมาถึงดินแดนแห่งโสมแล้วว เย้!!
เธอเห็นแผ่นดินนั้นไหม อยากจะโดดลงจากเครื่องตอนนั้นแล้วลงไปวิ่งเล่นเลย(คิดได้ไม่ดูอายุเล้ย)
หลังจากผ่านตม.เรียบร้อยแล้ว ก็รื้อกระเป๋าเดินทางทำการชำระล้างช่องปากกันสักหน่อย เพราะหลังจากนี้เราจะเที่ยวแบบยิงยาวทั้งวันเลย ~ ~
พอสายตายได้พบปะกับแสงแดด กระเพาะก็เริ่มทำงานเลยค่า หิวเลยค่า สายแหลกเลยค่า
เหมือนพี่ไกด์เขารับรู้ถึงความหิวโหยของเราที่จะแทะพื้นสนามบินกินแล้ว พี่เขาก็เลยพาเราไปให้อาการกันที่โรงแรม Sea & Hotel
โดยอาหารมื้อแรกของเราได้แก่ แท่มแทมมมมม ~ ~
“จิมดัก” ( Jim dak) ออกเสียงดีๆนะคะ จิมดัก! ดูปากเรานะคะ*เอานิ้วชี้* จิมดัก ออกเสียงผิดนี่เสียอรรถรสในการกินเลยทีเดียว 555 จิมดักคือก็ไก่อบซีอิ๊ววุ้นเส้นนั้นเอง จะทานเปล่าๆหรือทานคู่กับข้าวก็ได้นะ แต่ถ้าไม่อิ่มไม่พอก็ขอข้าวเพิ่มได้ ให้ยกมือขึ้นแล้วขอ “ผับ” (ข้าว) ถ้าอยากได้ข้าวมากๆก็ “ผับ ผับ ผับ” ถ้าอยากได้มากอีกก็ “ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ ผับ” แล้วตีบิกบินขึ้นไปเลย 555
น่ากินใช่มะ ซูมเข้าไปซูมเข้าไปอีกก เอาให้ได้กลิ่นเลย
หลังจากอิ่มท้องเติมพลังงานจนเต็มเราก็ไป “นั่งเรือชมทะเล!!” (Jeju Cruise)
ต้องบอกเลยว่าเป็นการนั่งเรือชมทะเลที่หนาวที่สุดที่เคยไปมา
ทะเลที่นี่ไม่เหมือนทะเลบ้านเราเลย ด้วยสภาพแวดล้อมที่แต่ต่างกันด้วยแหละ
ถ้าเป็นบ้านเราก็หาดทรายขาวสวยฟรุ้งฟริ้ง ฝรั่งนอนอาบแดดกันอากาศร้อนๆ
แต่ทะเลที่เชจูนี่ส่วนมากชายฝั่งเป็นโขดหินไม่มีทรายขาวๆ อากาศนี่ร้อนสุดก็ 25 °C
เย็นกว่าหน้าหนาวประเทศไทยหลายขุม
เรือที่เราจะล่องทะเลนั้นมี 3 ชั้น ชั้นที่1จะเป็นห้องรับรองภายในเรือไม่ต้องโต้ลมไม่หนาว
ส่วนชั้นที่ 2 จะมีด้านหน้าเรือซึ่งมีพื้นที่ให้ได้ถ่ายรูปเซลฟี่กันเต็มที่และคนก็เยอะแบบที่เต็มมาก
เรากับครอบครัวเลยไปสิงกันอยู่ที่ชั้น 3 ของเรือ หนาวสะท้านฟ้าสะท้านลมไปเลยค่า แต่ฟินดีนะวิวสวยไม่มีคนบัง
เต็มอิ่มกับลมหนาวที่ทะเลแล้วเราก็ไปต่อกันที่ “วัดซันบังซา” (Sanbangsa Temple)
ตั้งอยู่ที่เขาซังบันหันหน้าออกสู่ทะเล มีพระประธานองค์ใหญ่ ให้เราได้กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลกัน
ทำบุญกันอิ่มอกอิ่มใจแล้วเราก็ไปอิ่มท้องกันต่อที่ “พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค” (o'sulloc)
มาชม ชิม ชิล ที่ไร่ชา
ไอศกรีมชาเขียวเจ้มจ้นเวอร์ เค้กโรลก็อร่อย ~
วิวก็สวย บรรยากาศดี สดชื่นมากกกกกก ~ ~
หลังจากโดนคาถาชิมเมโจได๋แปลงร่างเป็นหนอนชาเขียวแล้วนั้น
เราก็จะไปแปลงร่างเป็นแมวกันต่อที่ “Hello Kitty Island” 헬로키티아일랜드 หม๊าววว
เอ๊ะ!! เดี๋ยวสิ คิตตี้ไม่ใช่แมวนะแค่คิตตี้เป็นคน เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ สูงเท่าแอปเปิล 5ลูก หนักเท่าแอปเปิล3ลูกเอง
หลังจากชื่นชมความน่ารัก สดใสของคิตตี้แล้ว เราก็หิวเพราะว่าคิตตี้น่ากินมาก?? เดี๋ยว!! ไม่ใช่!! หิวธรรมดาก็พอ เราก็ไปจัดมื้อเย็นกับ “พุลโกกิ” ( Bulgogi ) 불고기หมูหมักชิ้นบางๆ ต้มในหม้อไฟ และมีเครื่องเคียงเป็น ถั่วงอก ไชเท้าดอง สาหร่าย กิมจิ และข้าว พร้อมแล้วเชิญ!
อิ่มจากอาหารมื้อสุดท้ายของวันกันแล้วฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทพอดี
บอกเลยว่าบนเกาะนี่โคตรเงียบสงบมากก มืดมากถ้าไม่ใช่ส่วนของ Downtown
พออิ่มแล้วหนังตาก็เริ่มหย่อน เรียกร้องหาเตียงนอนกันแล้ว แต่!!!
พี่ไกด์ของเราก็ได้พาเราไปเที่ยวต่อ!! สู้ไปอีก!!
และที่ต่อไปที่เราจะไปนั้นคืออออ “น้ำตกซอนจียอน” เที่ยวน้ำตกตอนกลางคืน อะเมซิ่งมากก
พอกลางคืนแล้วอากาศก็เย็นลง ปะทะไอน้ำจากน้ำตกอีก ยะเยือกเลย
ปล.ถ่ายน้ำตกตอนกลางคืนนี่โคตรยาก ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้เอาไป
โอเค หมดทริปวันนี้แล้วทริปแน่นมากก ไปที่ซุกหัวนอนของเรากันดีกว่า
คืนนี้เราก็ได้มาซุกหัวอยู่ที่ “Rhanju Hotel” รางจู โฮเตล
ก่อนที่จะ ซึ่มม ~ ~ ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนที่นุ่มและอุ่นนั้น ความอยากรู้อยากเห็นก็เข้ามาแทนที่ความเหนื่อย เลยชวนพี่มาเดินสำรวจรอบๆโรงแรมกันซะหน่อย
แล้วก็ได้ของกินมากระแทกปากก่อนนอนจากเซเว่นแล้วเอาปลาหมึกกับปลาริวกิวจากน้ำตกมารวมแจมในมื้อดินเนอร์นี้
มีแต่ของกินแบ๊วๆทั้งนั้นเลย (มองข้ามๆขวดข้างหลังไปนะ)
พออิ่มและเพิ่มอุณหภูมิจากโซจูกันแล้วก็ชัดดาวน์ ปิดสวิทช์ หลับ Z z z
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น