สวัสดีค่ะ
คือ วันนี้เรามีเรื่องอยากปรึกษาอ่ะค่ะ คือเรารู้สึกว่ากำลังถูกญาติทางฝ่ายแม่ดูถูกและปรามาสอยู่ เราอายุ26ปีแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรีนะคะเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้จบช้า แต่กำลังจะจบแล้วล่ะค่ะ ทีนี้ประมาณ4-5ปีมาแล้วพ่อเราป่วย คือ มีปัญหาเรื่องการเดินและอายุก็มากแล้วคือ67ปี เกริ่นก่อนว่าเราอยู่กับพ่อโดยลำพังมาได้10กว่าปีแล้วเพราะแม่เราเสียไปตอนเราอยู่ชั้น ม5 เราไม่มีพี่น้องเป็นลูกสาวคนเดียวอ่ะค่ะ ช่วงแรกๆหลังจากแม่เสียชีวิตก็ยังไม่ค่อยเท่าไร ก็อยู่มาได้เรื่อยๆ เพียงแต่ญาติบางคนก็คอยดูๆแต่ยังไม่ถึงกับเข้ามาจุ้นจ้านในครอบครัวเรานะคะ และตอนนั้นเราก็ยังเด็กและพ่อก็ยังร่างกายแข็งแรงอยู่ พ่อก็เลยทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้านแทนแม่และตอนนั้นเราก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้มีปมในใจอะไรมากมายเพราะเราก็ยังไม่เห็นธาตุแท้ของญาติอีกอย่างพ่อเราก็ไม่ได้ไปพึ่งพาอะไรเขามากเกินไปคือพวกเราก็อยู่กันได้โดยมีเพียงน้าผู้หญิงคนเดียวซึ่งเป็นน้องสาวของแม่แบ่งเงินให้ค่าใช้จ่ายประจำเดือนในจำนวนที่ก็ไม่ได้มากนัก คือเดือนล่ะประมาณ15,000-20,000บาท พ่อก็บริหารจัดการเงินส่วนนี้ไป เราก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไรเพราะตอนนั้นพ่อเป็นคนจ่ายกับข้าว แต่พอวันเวลาผ่านไปสัก6-7ปีให้หลัง น้าผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ว่าจะช่วยเหลือครอบครัวเราจนกว่าเราจะเรียนจบมีงานทำ แต่วันแล้ววันเล่าเราไม่จบภายใน4ปี ก็ต้องยืดเวลาออกไปอีก ไม่ใช่เพราะว่าเราเกเร ไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่เพราะมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนและการลงทะเบียนอีกหลายๆอย่างทำให้จบช้า เข้าเรื่องต่อ วิบากกรรมอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา อยู่ดีๆพ่อก็มีอาการป่วยตอนเราอยู่ปี3 คือช่วงนั้นก็ยังไม่ได้ปรากฎอาการอะไรมากมายแค่คลื่นไส้ เวียนศรีษะ ปวดท้ายทอย แต่พอผ่านไปสัก2ปีอาการพ่อทรุดลง ร่างการพ่อเกิดซูบผอมอย่างน่าแปลกใจ พ่อก็ไปหาหมอเฉพาะทางหลายๆสาขาที่ศิริราช หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไร ทำไมถึงซูบผอมส่งผลให้กล้ามเนื้อดูลีบ และเดินทรงตัวไม่ได้ พอผ่านไปหลายๆปีเข้าพ่อดูอาการแย่ลง แต่ก็ยังพอทรงตัวได้โดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ก็ลุ่มๆดอนๆกันมาได้ ช่วง2-3ปีให้หลังที่ผ่านมานี้ พอพ่อช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้จากที่น้าคนนี้ช่วยเหลือแค่เงินประจำเดือนกลับต้องมามีบทบาทในครอบครัวเรามากขึ้น คือต้องหาซื้อผ้าอ้อมให้พ่อเพราะพ่อมีปัญหาการขับถ่าย ยา และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพราะพ่อไม่สามารถขับรถออกไปซื้อเองได้แล้ว พอเมื่อต้นปีที่ผ่านมาช่วงที่เราไม่อยู่บ้านอยู่ดีๆพ่อก็สะดุดหกล้มหัวแตก ต้องไปเย็บเพื่อนบ้านพาไปหลังจากนั้นมันไม่น่าจะเกี่ยวแต่กลับทำให้พ่อดูอ่อนแอลง ทีนี้จากที่น้าคนนี้เดิมก็มีบทบาทอยู่แล้วแต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้น้าคนนี้เข้ามาแสดงบทบาทเต็มตัวเลย กลับกลายเป็นว่าทั้ง2พ่อลูกกลายเป็นลูกไก่ในกำมืออย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะ2พ่อลูกก็ต้องพึ่งคนๆนี้ทั้งสองคนเลย เราก็ยังไปช่วยให้เขาดูเรื่องเรียน2-3วิชาสุดท้ายก่อนจบอีกมันกลายเป็นความอัปยศอย่างน่าอดสูที่สุด น้าคนนี้เป็นอาจารย์สอนคณะแพทย์ที่ศิริราช เป็นถึงรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์แต่ถ้าถามว่าเรารู้สึกถูกชะตากับน้าคนนี้ไหม ไม่เลยเราไม่ชอบเอามากๆเพราะเป็นคนดุ พูดจาไม่ถนอมน้ำใจคนอื่นๆ คิดจะพูดอะไรก็พูดโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดนั้นมันทำร้ายความรู้สึกคนอื่น คือพูดง่ายๆ มีปากไว้พูด ใช้สมองซีกเดียวในการคิด แถมวิจารณ์อะไรก็ชอบวิจารณ์ตรงๆซึ่งจะผิดกับแม่เรา แม่เราเป็นคนอ่อนโยน ใจดี พูดจาถนอมน้ำใจ เข้าใจเราทุกอย่าง แต่โชคชะตากลับตาลปัด เราต้องมานั่งขอความช่วยเหลือเสวนากับน้าคนนี้ แล้วพอช่วงหลังๆพ่อเรายิ่งมีปัญหาคนๆนี้กลับเข้ามามีบทบาทเต็มตัวแถมเรายังต้องขอให้ความช่วยเหลือเรื่องเรียนอีก เราไม่ใช่ นศ แพทย์นะ แต่ด้วยความที่น้าคนนี้เป็นอาจารย์ ก็เลยพอแนะนำได้ ทีนี้พอยิ่งพึ่งพาคนอื่นมากขึ้นมันทำให้เขาและญาติอีกคนแสดงกริยาอาการแปลกๆ คือ ช่วยก็ยังช่วยอยู่นะแต่เรารู้สึกและสัมผัสได้ว่าช่วงปีนี้มีอะไรเปลี่ยนไป พ่อเราเองก็รู้สึก คือมันมีอะไรแปลกๆ คือคำพูดที่ไม่เคยได้ยินก็กลับได้ยิน หรือสีหน้าท่าทางอะไรหลายๆอย่างมันส่อแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าโดนญาติอีกคนเป่าหูหรือเปล่า แต่เราเริ่มเครียดมาก เรารู้สึกการเปลี่ยน มันส่อด้วยอาการที่ไม่เข้าใจเรา เรารู้สึกว่าเราโดนปรามาสอย่างอ้อมๆ ประมาณว่า

ยืนได้ด้วยขาตัวเองไม่ได้

ไม่เอาไหน พวก

ต้องพึ่งกรูตลอด พ่อ

เป็นภาระให้กรู ด้วยคำพูดหลายๆอย่างที่ส่อประมาณนั้น มาตอนนี้เรารู้สึกคับแค้นใจมาก ทำไมต้องให้พวกมันมาดูถูก แถมญาติอีกคนที่เป็นลุงนั่นยิ่งแล้วใหญ่คำพูดยิ่งออกมาชัดเจน ตอนนี้สภาพจิตใจเราย่ำแย่มาก จากคนที่ดูมีความหวังในชีวิต ทำให้เราเริ่มท้อแท้ หมดความเชื่อถือในตนเอง แต่เราก็อยากพิสูจน์ตัวเองให้พวกนั้นเห็น แต่เสียดายที่เราโดนรัศมีพวกนั้นมาบดบัง ลูกของลุงที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง ครอบครัวลุงก็ดันให้ไปเรียนโมืองนอกอีก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเราดูด้อยค่าที่สุด ดูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับชีวิต เราบอกตง ตอนนี้เราอยากหนีออกจากสภาพแบบนี้ สภาพที่ไม่มีใครเข้าใจเรา ต้องมาดูพ่อที่ป่วย แถมโดนญาติดูถูกปรามาสอีก เป็นความอัปยศที่สุด เราเคยบอกพ่อว่าขอร้องเถอะถ้าเราทำงานเมื่อไรเราจะแบ่งเงินให้พ่อเอง เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนี้สักที แต่พ่อบอกตอนนี้ก็ยังต้องพึ่งอยู่ถ้าไม่พึ่งก็อดตาย แต่พ่อเรามีเงินส่งเราเรียน มหาลัยนานาชาตินะ แต่เรารู้สึกเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองมากเพราะคนเหล่านี้อ่ะ ต่อให้จบ ม.นานาชาติดังๆเราก็เริ่มรู้สึกเฉยๆไม่ดีใจมาก แต่เราอยากยืนได้ด้วยขาตัวเอง ไม่ต้องพึ่งใครอีก ทุกวันนี้เครียดมาก ต้องเป็นลูกแหง่ไปอีกนานแค่ไหน
อยากยืนได้ด้วยขาตัวเองไม่ต้องพึ่งใคร
คือ วันนี้เรามีเรื่องอยากปรึกษาอ่ะค่ะ คือเรารู้สึกว่ากำลังถูกญาติทางฝ่ายแม่ดูถูกและปรามาสอยู่ เราอายุ26ปีแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรีนะคะเพราะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้จบช้า แต่กำลังจะจบแล้วล่ะค่ะ ทีนี้ประมาณ4-5ปีมาแล้วพ่อเราป่วย คือ มีปัญหาเรื่องการเดินและอายุก็มากแล้วคือ67ปี เกริ่นก่อนว่าเราอยู่กับพ่อโดยลำพังมาได้10กว่าปีแล้วเพราะแม่เราเสียไปตอนเราอยู่ชั้น ม5 เราไม่มีพี่น้องเป็นลูกสาวคนเดียวอ่ะค่ะ ช่วงแรกๆหลังจากแม่เสียชีวิตก็ยังไม่ค่อยเท่าไร ก็อยู่มาได้เรื่อยๆ เพียงแต่ญาติบางคนก็คอยดูๆแต่ยังไม่ถึงกับเข้ามาจุ้นจ้านในครอบครัวเรานะคะ และตอนนั้นเราก็ยังเด็กและพ่อก็ยังร่างกายแข็งแรงอยู่ พ่อก็เลยทำหน้าที่เป็นเสาหลักของบ้านแทนแม่และตอนนั้นเราก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้มีปมในใจอะไรมากมายเพราะเราก็ยังไม่เห็นธาตุแท้ของญาติอีกอย่างพ่อเราก็ไม่ได้ไปพึ่งพาอะไรเขามากเกินไปคือพวกเราก็อยู่กันได้โดยมีเพียงน้าผู้หญิงคนเดียวซึ่งเป็นน้องสาวของแม่แบ่งเงินให้ค่าใช้จ่ายประจำเดือนในจำนวนที่ก็ไม่ได้มากนัก คือเดือนล่ะประมาณ15,000-20,000บาท พ่อก็บริหารจัดการเงินส่วนนี้ไป เราก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไรเพราะตอนนั้นพ่อเป็นคนจ่ายกับข้าว แต่พอวันเวลาผ่านไปสัก6-7ปีให้หลัง น้าผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ว่าจะช่วยเหลือครอบครัวเราจนกว่าเราจะเรียนจบมีงานทำ แต่วันแล้ววันเล่าเราไม่จบภายใน4ปี ก็ต้องยืดเวลาออกไปอีก ไม่ใช่เพราะว่าเราเกเร ไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่เพราะมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับวิชาที่เรียนและการลงทะเบียนอีกหลายๆอย่างทำให้จบช้า เข้าเรื่องต่อ วิบากกรรมอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา อยู่ดีๆพ่อก็มีอาการป่วยตอนเราอยู่ปี3 คือช่วงนั้นก็ยังไม่ได้ปรากฎอาการอะไรมากมายแค่คลื่นไส้ เวียนศรีษะ ปวดท้ายทอย แต่พอผ่านไปสัก2ปีอาการพ่อทรุดลง ร่างการพ่อเกิดซูบผอมอย่างน่าแปลกใจ พ่อก็ไปหาหมอเฉพาะทางหลายๆสาขาที่ศิริราช หมอก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไร ทำไมถึงซูบผอมส่งผลให้กล้ามเนื้อดูลีบ และเดินทรงตัวไม่ได้ พอผ่านไปหลายๆปีเข้าพ่อดูอาการแย่ลง แต่ก็ยังพอทรงตัวได้โดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน ก็ลุ่มๆดอนๆกันมาได้ ช่วง2-3ปีให้หลังที่ผ่านมานี้ พอพ่อช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้จากที่น้าคนนี้ช่วยเหลือแค่เงินประจำเดือนกลับต้องมามีบทบาทในครอบครัวเรามากขึ้น คือต้องหาซื้อผ้าอ้อมให้พ่อเพราะพ่อมีปัญหาการขับถ่าย ยา และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพราะพ่อไม่สามารถขับรถออกไปซื้อเองได้แล้ว พอเมื่อต้นปีที่ผ่านมาช่วงที่เราไม่อยู่บ้านอยู่ดีๆพ่อก็สะดุดหกล้มหัวแตก ต้องไปเย็บเพื่อนบ้านพาไปหลังจากนั้นมันไม่น่าจะเกี่ยวแต่กลับทำให้พ่อดูอ่อนแอลง ทีนี้จากที่น้าคนนี้เดิมก็มีบทบาทอยู่แล้วแต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้น้าคนนี้เข้ามาแสดงบทบาทเต็มตัวเลย กลับกลายเป็นว่าทั้ง2พ่อลูกกลายเป็นลูกไก่ในกำมืออย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะ2พ่อลูกก็ต้องพึ่งคนๆนี้ทั้งสองคนเลย เราก็ยังไปช่วยให้เขาดูเรื่องเรียน2-3วิชาสุดท้ายก่อนจบอีกมันกลายเป็นความอัปยศอย่างน่าอดสูที่สุด น้าคนนี้เป็นอาจารย์สอนคณะแพทย์ที่ศิริราช เป็นถึงรองศาสตราจารย์ดอกเตอร์แต่ถ้าถามว่าเรารู้สึกถูกชะตากับน้าคนนี้ไหม ไม่เลยเราไม่ชอบเอามากๆเพราะเป็นคนดุ พูดจาไม่ถนอมน้ำใจคนอื่นๆ คิดจะพูดอะไรก็พูดโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดนั้นมันทำร้ายความรู้สึกคนอื่น คือพูดง่ายๆ มีปากไว้พูด ใช้สมองซีกเดียวในการคิด แถมวิจารณ์อะไรก็ชอบวิจารณ์ตรงๆซึ่งจะผิดกับแม่เรา แม่เราเป็นคนอ่อนโยน ใจดี พูดจาถนอมน้ำใจ เข้าใจเราทุกอย่าง แต่โชคชะตากลับตาลปัด เราต้องมานั่งขอความช่วยเหลือเสวนากับน้าคนนี้ แล้วพอช่วงหลังๆพ่อเรายิ่งมีปัญหาคนๆนี้กลับเข้ามามีบทบาทเต็มตัวแถมเรายังต้องขอให้ความช่วยเหลือเรื่องเรียนอีก เราไม่ใช่ นศ แพทย์นะ แต่ด้วยความที่น้าคนนี้เป็นอาจารย์ ก็เลยพอแนะนำได้ ทีนี้พอยิ่งพึ่งพาคนอื่นมากขึ้นมันทำให้เขาและญาติอีกคนแสดงกริยาอาการแปลกๆ คือ ช่วยก็ยังช่วยอยู่นะแต่เรารู้สึกและสัมผัสได้ว่าช่วงปีนี้มีอะไรเปลี่ยนไป พ่อเราเองก็รู้สึก คือมันมีอะไรแปลกๆ คือคำพูดที่ไม่เคยได้ยินก็กลับได้ยิน หรือสีหน้าท่าทางอะไรหลายๆอย่างมันส่อแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่าโดนญาติอีกคนเป่าหูหรือเปล่า แต่เราเริ่มเครียดมาก เรารู้สึกการเปลี่ยน มันส่อด้วยอาการที่ไม่เข้าใจเรา เรารู้สึกว่าเราโดนปรามาสอย่างอ้อมๆ ประมาณว่า