แชร์เรื่องราวในแบบเรื่องเล่า เกี่ยวก้อยมากับภาพถ่ายจากกล้องตัวเล็ก ลองเลื่อนอ่าน เลื่อนดูรูปกันก่อนนะครับ
(ต่อจากกระทู้เก่า)
ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 1)
http://pantip.com/topic/34350997
เรื่องเล่าจากดินแดนท่องเที่ยวในฝัน ตอนฝรั่งเศส (Intro)
http://pantip.com/topic/34118843
ฝากเพจไว้ติดตาม พูดคุยกันได้ที่ FB: GO2 >>
https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/
วันที่ 2 เกาะมงแซ็งมีแชล (Mont-Saint-Michel) มรดกโลกจากยูเนสโก

“กี่โมงแล้วนี่ .... ห๊า!!! 6 โมงครึ่งแล้ว!” ผมกระโดดเด้งออกจากเตียง อะดรีนาลีนพุ่งพล่านปลุกให้ตื่นตัวในฉับพลัน “น้ำท่าไม่อาบแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนชุด แล้วยัดโทรศัพท์และกล้องที่ชาร์ตไว้เมื่อคืนใส่กระเป๋าเป้ วิ่งไปใส่รองเท้า เปิดปิดล็อกกุญแจห้องและกดลิฟท์อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าลิฟท์ แต่ใจคิดไปยืนอยู่บนรถไฟแล้ว
ถ้าไปไม่ทันผมต้องเสียค่าวันเดย์ทริป 4,000 กว่าบาทไปฟรีๆ ความเป็นไปได้แทบจะไม่มีเลย เวลานัดหมาย 7:15 น. เวลาตอนนี้ 6:40 น. แล้ว อย่างน้อยผมต้องใช้เวลาเดินทางราว 40 นาที ไม่ทันแน่ ไม่ทันแน่
“ติ๊ง...” เสียงลิฟท์ดังขึ้น ผมรีบเข้าไปและกดปุ่มปิดลิฟท์ถี่ๆ พอประตูเปิด ผมวิ่งโกยอ้าวข้ามแยกถนน วิ่งกันสุดชีวิตราวกับวิ่งอยู่บนลู่แข่ง ผมหยุดวิ่งและหอบระยะหนึ่ง ก่อนวิ่งมุดลงสถานีรถไฟใต้ดิน แล้วรีบซื้อบัตร รอเทียบที่ชานชลา ผมหยิบเอกสารเส้นทางการเดินรถขึ้นมาดู พร้อมพลิกข้อมือดูเข็มวินาทีที่เดินไปเรื่อยๆ ผมต้องขึ้นและต่อรถแบบห้ามพลาดสักขบวน โชคยังเข้าข้างผมบ้าง รถไฟเข้ามาจอดพอดี ผมรีบก้าวเข้าไปยืน รถไฟออกตัววิ่งไปตามเส้นทาง ในที่สุดก็มาถึงสถานีจุดหมาย ลูฟร์ ริโวลี่ (Louvre Rivoli) ... ผมจ้ำอ้าวอีกครั้ง วิ่งขึ้นบันไดทางออกเดิมเหมือนเมื่อวานนี้ เห็นบริษัทเอเย่นต์ francetourisme อยู่ข้างหน้าแล้ว
ด้านหน้าบริษัทฯ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่หลายคน ผมรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์สอบถามทริปที่จะไปมงแซ็งมีแชล “รถยังมาไม่ถึงค่ะ” พนักงานบอก นาทีนั้นผมอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “โอ้ว มาย ก็อด” ผมมาทันจนได้!
หลังจากนั้นผมลงไปชั้นใต้ดินเพื่อเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย พอขึ้นมาด้านบนแล้วเดินออกมานอกบริษัทฯ ก็เห็นรถแวนจอดนิ่งอยู่ริมฟุตบาท พร้อมกับได้ยินเสียงของหนุ่มใหญ่รูปร่างสูงโปร่งกับทรงผมที่ดูเซอร์ๆ สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำตาล สะพายกระเป๋าเอกสารยืนเรียกชื่ออยู่ เค้าขานชื่อผม ผมยกมือรายงานตัว มองไปรอบๆ นับผู้ร่วมทริปนี้ได้ทั้งหมด 11 คน เป็นฝรั่งผมทองกันหมด
ไกด์ของผมในวันนี้ควบตำแหน่งคนขับรถไปด้วย ผมนั่งได้ที่แล้ว ใจก็พะวงคิดถึงแต่เรื่องน้ำและอาหาร "แล้วจะกินอะไรเนี่ย เช้านี้" ...ไกด์พูดภาษาอังกฤษ สลับกับภาษาสแปนิช พอจับใจความได้ว่า จะมีการแวะปั๊มระหว่างทางเพื่อหาอาหารเช้าทานกัน ความกังวลของผมเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่แล้วก็มีเรื่องให้ผมต้องกังวลอีกเรื่องคือฝนทำท่าจะตก บรรยากาศอึมครึมขมุกขมัวตลอดเส้นทาง
“เผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย?” ผมตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย คงเพราะเพลียจัดจากการเดินทางเมื่อวานนี้ ไกด์ขับรถเข้าปั้ม แล้วจอดที่หน้าร้านมินิมาร์ท ลูกทัวร์ต่างทะยอยลงจากรถ ผมเดินดิ่งไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในก่อน จากนั้นค่อยมายืนต่อแถวหน้าเคาน์เตอร์เซกาเฟรโด (Segafredo) ผมสั่งกาแฟ และครัวซ็องมาทาน ชั่วพริบตาผมก็เสกครัวซ็องชิ้นนั้นให้หายวับไป หลังจากนั้นเดินสำรวจโซนที่เป็นมินิมาร์ท ผมได้แซนด์วิชแซลมอน โยเกิร์ต น้ำส้ม และน้ำเปล่าเป็นเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง วิวผ่านกระจกด้านข้างผมตอนนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้าง ไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าไรนัก อยู่ๆ ก็มีน้ำเป็นเส้นริ้วมาบังวิวของผม และก็เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ฝนตกปรอยๆ แบบนี้ คาดว่าจะตกทั้งวัน เฮ้อ..อ.. ทำใจแล้วกันนะวันนี้
ไกด์ของเราพามาที่จุดชมวิว ผมลงจากรถสัมผัสได้ถึงละอองฝน เงยหน้ามองไปยังทุ่งกว้างด้านหน้า นั่นไง เกาะมงแซ็งมีแชลอยู่ไกลลิบๆ เหมือนเป็นภูเขาลูกหนึ่งโดดเด่นมาก บนยอดสูงเห็นวิหารโบสถ์โบราณขนาดใหญ่ ไกด์บอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน ซึ่งจะได้ฉากหน้าเป็นทุ่งหญ้าและฝูงแกะ ส่วนฉากหลังเป็นเกาะมงแซ็งมีแชลที่สามารถเก็บภาพได้ทั้งเกาะ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะได้ภาพประทับใจเหมือนอย่างโปสการ์ด
คณะทัวร์ขึ้นบนรถเรียบร้อยแล้ว ล้อหมุนและหักเลี้ยวเข้าถนนที่แคบลงเหลือความกว้างให้รถสวนกันไปมา ... 10 นาทีผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงลานจอดรถกลางแจ้ง ไกด์บอกว่า “มีความจำเป็นที่จะต้องจอดรถไว้ที่นี่ เพราะมีกฎใหม่ห้ามนำรถส่วนตัวเข้าไปจอดที่หน้าเกาะ จะต้องนั่งชัทเทิลบัสที่จัดเตรียมไว้ ใช้ระยะเวลาเดินทางอีก 2 กิโลเมตร”
ประตูรถถูกแง้มออก ต่างคนต่างลงมาเดินฝ่าเม็ดฝนเพื่อไปยังรถชัทเทิลบัสที่จอดห่างออกไปประมาณ 50 เมตร ก้าวขึ้นรถเห็นผู้คนยืนอยู่ในสภาพผมเปียกกระเซอะกระเซิง พื้นนองไปด้วยน้ำ รถคันนี้ไม่ค่อยมีเก้าอี้นั่ง จึงเห็นนักท่องเที่ยวยืนเต็มไปหมด รถได้ออกตัวอย่างช้าๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 นาที ในที่สุดเกาะใหญ่ก็อยู่ตรงหน้าผมอย่างเต็มตา ทุกคนต่างลงจากรถแล้วเดินอย่างรวดเร็วข้ามสะพานคอนกรีตที่เหมือนเพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นานเพื่อไปยังตัวเกาะ และนี่คงอยู่ในช่วงน้ำลง ผมจึงเห็นตะกอนดินเป็นผืนกว้างใหญ่ ลูกทัวร์เดินสาวเท้าตามไกด์ไปเรื่อยๆ ย่ำบนตรอกหินที่ค่อยๆ ลาดชันเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จะเจอหมู่บ้านที่เปิดร้านอยู่เต็มสองฝั่งถนน ทั้งร้านของที่ระลึก และร้านอาหารต่างๆ ระหว่างทางไกด์ได้ชี้ไปยังซอกตึกทางด้านซ้ายมือแล้วบอกว่าเป็นตรอกที่แคบที่สุดในเกาะนี้ แคบมากจริงๆ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่คงหมดสิทธิ์แน่ๆ
ผ่านโซนหมู่บ้านมาจะเจอขั้นบันไดที่จะพาผมขึ้นไปยังวิหารโบราณในศตวรรษที่ 10 และแล้วก็มาถึงห้องขายตั๋ว ไกด์บอกให้ลูกทัวร์หยุดและยืนรอก่อน สักพักเขากลับมาพร้อมให้ตั๋วเข้าชมระบุราคาไว้ 3 ยูโร หรือประมาณ 120 บาท และเครื่องฟังออดิโอไกด์คนละหนึ่งชุด ไกด์กล่าวลากันตรงนี้พร้อมแจ้งเวลานัดหมายไว้ 4 โมงเย็น ที่ลานจอดรถที่เดิม
ผมเริ่มต้นสำรวจสำนักสงฆ์โบราณขนาดใหญ่ (Mont-Saint-Michel Abbey) ด้านในแบ่งออกเป็นห้องเล็ก ห้องใหญ่เดินทะลุกันไปมาได้ ลักษณะของห้องส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งไม่มีสิ่งของสำคัญจัดแสดง กำแพง เพดาน และพื้นส่วนมากเป็นอิฐจากหินแกรตนิตขนาดใหญ่สีเทา ไม่ค่อยมีงานตกแต่งเสาหิน หรือบริเวณเพดานมากนัก จากประวัติที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคุกในช่วงสมัยปฎิวัติฝรั่งเศส หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1874
ผมเดินผ่านโถงที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา (Abbey Church) เห็นบาทหลวง แม่ชี และชาวคริสเตียนกำลังสวดมนต์กันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ โถงนี้ช่างมีเสน่ห์มนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก เสาซุ้มโค้งปลายแหลมหลายสิบต้นอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา มองขึ้นไปข้างบนเห็นระเบียง และบานหน้าต่างสูงตามศิลปะแบบโกธิค ป้ายห้ามถ่ายรูปเข้ามาปะทะสายตาอย่างจัง ผมเลยอดเก็บภาพความงดงามของโถงขนาดย่อมแห่งนี้
ผมเดินผ่านออกมาเจอทางแยก “ไปซ้ายหรือขวาดี” ผมเลือกไปทางซ้าย ทางที่เห็นแสงสีขาวที่อยู่ด้านหน้า ปลายทางนำผมมาสู่ลานระเบียงกว้าง เสมือนเป็นจุดชมวิวดีๆ อีกจุดหนึ่ง และแน่นอนไม่ใช่ในเวลาที่ฝนตกพรำๆ เช่นนี้ ผมได้แต่ชะโงกมองลงไปด้านล่าง แล้วก็วิ่งจ้ำน้ำสาดกระเซ็นยามเมื่อรองเท้ากระทบพื้น
ผมเดินกลับเข้ามาด้านใน ผ่านจุดตัดแยกเมื่อสักครู่นี้ มุ่งหน้าเดินตรงต่อไป ไปเจอลานสนามหญ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดย่อม พอดีกับช่องที่เปิดโล่งจากด้านบนที่เปิดรับแดด รับฝนลงมาด้านล่างได้ มีเสาหินค้ำยันในสไตล์โกธิคตั้งอยู่รายล้อมลานนี้กว่า 100 ต้น ดูคลาสสิคดีจริงๆ ถือได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน
ผมเดินไปเรื่อยๆ เข้าห้องนั้น ทะลุห้องนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งๆ บางห้องเล็ก บางห้องใหญ่ บางห้องมีบานหน้าต่างกระจกที่สามารถมองเห็นวิวน้ำทะเลด้านล่างได้ ถ้านับจำนวนห้องที่เดินผ่านมาก็เกือบๆ 20 ห้องได้ สุดท้ายมาเจอห้องขายของที่ระลึก มีทั้งเหรียญที่ระลึกปั๊มนูนเป็นรูปเกาะ มีหนังสือประวัติการก่อสร้าง และของที่ระลึกอื่นๆ อีกหลายสารพัด ผมได้แต่มองแล้วก็จากไป
คราวนี้ถึงเวลาออกจากวิหารแล้ว ถ้าผมเปิดประตูบานข้างหน้านี้ออกไป คงถึงคราวที่ต้องไปผจญกับฝนรอบใหม่อีกแล้วสินะ ประตูถูกเปิดออก “ว้าวว! ฝนหยุดตกแล้ว" เมฆดำที่เคยเกาะตัวกันอยู่ ตอนนี้เริ่มคลี่ออกพอให้เห็นสีฟ้าสว่างได้บ้าง แดดอ่อนๆ เริ่มส่องลงมา ผมดีใจมากจริงๆ
ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 2)
(ต่อจากกระทู้เก่า)
ลุงยิ้มเล่าเรื่อง : แพ็คกระเป๋าเข้าเช็คอิน @ฝรั่งเศส (ตอนที่ 1) http://pantip.com/topic/34350997
เรื่องเล่าจากดินแดนท่องเที่ยวในฝัน ตอนฝรั่งเศส (Intro) http://pantip.com/topic/34118843
ฝากเพจไว้ติดตาม พูดคุยกันได้ที่ FB: GO2 >> https://www.facebook.com/Go2-x-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1-1632477510328553/
วันที่ 2 เกาะมงแซ็งมีแชล (Mont-Saint-Michel) มรดกโลกจากยูเนสโก
“กี่โมงแล้วนี่ .... ห๊า!!! 6 โมงครึ่งแล้ว!” ผมกระโดดเด้งออกจากเตียง อะดรีนาลีนพุ่งพล่านปลุกให้ตื่นตัวในฉับพลัน “น้ำท่าไม่อาบแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนชุด แล้วยัดโทรศัพท์และกล้องที่ชาร์ตไว้เมื่อคืนใส่กระเป๋าเป้ วิ่งไปใส่รองเท้า เปิดปิดล็อกกุญแจห้องและกดลิฟท์อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าลิฟท์ แต่ใจคิดไปยืนอยู่บนรถไฟแล้ว
ถ้าไปไม่ทันผมต้องเสียค่าวันเดย์ทริป 4,000 กว่าบาทไปฟรีๆ ความเป็นไปได้แทบจะไม่มีเลย เวลานัดหมาย 7:15 น. เวลาตอนนี้ 6:40 น. แล้ว อย่างน้อยผมต้องใช้เวลาเดินทางราว 40 นาที ไม่ทันแน่ ไม่ทันแน่
“ติ๊ง...” เสียงลิฟท์ดังขึ้น ผมรีบเข้าไปและกดปุ่มปิดลิฟท์ถี่ๆ พอประตูเปิด ผมวิ่งโกยอ้าวข้ามแยกถนน วิ่งกันสุดชีวิตราวกับวิ่งอยู่บนลู่แข่ง ผมหยุดวิ่งและหอบระยะหนึ่ง ก่อนวิ่งมุดลงสถานีรถไฟใต้ดิน แล้วรีบซื้อบัตร รอเทียบที่ชานชลา ผมหยิบเอกสารเส้นทางการเดินรถขึ้นมาดู พร้อมพลิกข้อมือดูเข็มวินาทีที่เดินไปเรื่อยๆ ผมต้องขึ้นและต่อรถแบบห้ามพลาดสักขบวน โชคยังเข้าข้างผมบ้าง รถไฟเข้ามาจอดพอดี ผมรีบก้าวเข้าไปยืน รถไฟออกตัววิ่งไปตามเส้นทาง ในที่สุดก็มาถึงสถานีจุดหมาย ลูฟร์ ริโวลี่ (Louvre Rivoli) ... ผมจ้ำอ้าวอีกครั้ง วิ่งขึ้นบันไดทางออกเดิมเหมือนเมื่อวานนี้ เห็นบริษัทเอเย่นต์ francetourisme อยู่ข้างหน้าแล้ว
ด้านหน้าบริษัทฯ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่หลายคน ผมรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์สอบถามทริปที่จะไปมงแซ็งมีแชล “รถยังมาไม่ถึงค่ะ” พนักงานบอก นาทีนั้นผมอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “โอ้ว มาย ก็อด” ผมมาทันจนได้!
หลังจากนั้นผมลงไปชั้นใต้ดินเพื่อเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย พอขึ้นมาด้านบนแล้วเดินออกมานอกบริษัทฯ ก็เห็นรถแวนจอดนิ่งอยู่ริมฟุตบาท พร้อมกับได้ยินเสียงของหนุ่มใหญ่รูปร่างสูงโปร่งกับทรงผมที่ดูเซอร์ๆ สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำตาล สะพายกระเป๋าเอกสารยืนเรียกชื่ออยู่ เค้าขานชื่อผม ผมยกมือรายงานตัว มองไปรอบๆ นับผู้ร่วมทริปนี้ได้ทั้งหมด 11 คน เป็นฝรั่งผมทองกันหมด
ไกด์ของผมในวันนี้ควบตำแหน่งคนขับรถไปด้วย ผมนั่งได้ที่แล้ว ใจก็พะวงคิดถึงแต่เรื่องน้ำและอาหาร "แล้วจะกินอะไรเนี่ย เช้านี้" ...ไกด์พูดภาษาอังกฤษ สลับกับภาษาสแปนิช พอจับใจความได้ว่า จะมีการแวะปั๊มระหว่างทางเพื่อหาอาหารเช้าทานกัน ความกังวลของผมเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่แล้วก็มีเรื่องให้ผมต้องกังวลอีกเรื่องคือฝนทำท่าจะตก บรรยากาศอึมครึมขมุกขมัวตลอดเส้นทาง
“เผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย?” ผมตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย คงเพราะเพลียจัดจากการเดินทางเมื่อวานนี้ ไกด์ขับรถเข้าปั้ม แล้วจอดที่หน้าร้านมินิมาร์ท ลูกทัวร์ต่างทะยอยลงจากรถ ผมเดินดิ่งไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในก่อน จากนั้นค่อยมายืนต่อแถวหน้าเคาน์เตอร์เซกาเฟรโด (Segafredo) ผมสั่งกาแฟ และครัวซ็องมาทาน ชั่วพริบตาผมก็เสกครัวซ็องชิ้นนั้นให้หายวับไป หลังจากนั้นเดินสำรวจโซนที่เป็นมินิมาร์ท ผมได้แซนด์วิชแซลมอน โยเกิร์ต น้ำส้ม และน้ำเปล่าเป็นเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง วิวผ่านกระจกด้านข้างผมตอนนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้าง ไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าไรนัก อยู่ๆ ก็มีน้ำเป็นเส้นริ้วมาบังวิวของผม และก็เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น ฝนตกปรอยๆ แบบนี้ คาดว่าจะตกทั้งวัน เฮ้อ..อ.. ทำใจแล้วกันนะวันนี้
ไกด์ของเราพามาที่จุดชมวิว ผมลงจากรถสัมผัสได้ถึงละอองฝน เงยหน้ามองไปยังทุ่งกว้างด้านหน้า นั่นไง เกาะมงแซ็งมีแชลอยู่ไกลลิบๆ เหมือนเป็นภูเขาลูกหนึ่งโดดเด่นมาก บนยอดสูงเห็นวิหารโบสถ์โบราณขนาดใหญ่ ไกด์บอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน ซึ่งจะได้ฉากหน้าเป็นทุ่งหญ้าและฝูงแกะ ส่วนฉากหลังเป็นเกาะมงแซ็งมีแชลที่สามารถเก็บภาพได้ทั้งเกาะ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะได้ภาพประทับใจเหมือนอย่างโปสการ์ด
คณะทัวร์ขึ้นบนรถเรียบร้อยแล้ว ล้อหมุนและหักเลี้ยวเข้าถนนที่แคบลงเหลือความกว้างให้รถสวนกันไปมา ... 10 นาทีผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงลานจอดรถกลางแจ้ง ไกด์บอกว่า “มีความจำเป็นที่จะต้องจอดรถไว้ที่นี่ เพราะมีกฎใหม่ห้ามนำรถส่วนตัวเข้าไปจอดที่หน้าเกาะ จะต้องนั่งชัทเทิลบัสที่จัดเตรียมไว้ ใช้ระยะเวลาเดินทางอีก 2 กิโลเมตร”
ประตูรถถูกแง้มออก ต่างคนต่างลงมาเดินฝ่าเม็ดฝนเพื่อไปยังรถชัทเทิลบัสที่จอดห่างออกไปประมาณ 50 เมตร ก้าวขึ้นรถเห็นผู้คนยืนอยู่ในสภาพผมเปียกกระเซอะกระเซิง พื้นนองไปด้วยน้ำ รถคันนี้ไม่ค่อยมีเก้าอี้นั่ง จึงเห็นนักท่องเที่ยวยืนเต็มไปหมด รถได้ออกตัวอย่างช้าๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 นาที ในที่สุดเกาะใหญ่ก็อยู่ตรงหน้าผมอย่างเต็มตา ทุกคนต่างลงจากรถแล้วเดินอย่างรวดเร็วข้ามสะพานคอนกรีตที่เหมือนเพิ่งสร้างขึ้นได้ไม่นานเพื่อไปยังตัวเกาะ และนี่คงอยู่ในช่วงน้ำลง ผมจึงเห็นตะกอนดินเป็นผืนกว้างใหญ่ ลูกทัวร์เดินสาวเท้าตามไกด์ไปเรื่อยๆ ย่ำบนตรอกหินที่ค่อยๆ ลาดชันเลาะขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จะเจอหมู่บ้านที่เปิดร้านอยู่เต็มสองฝั่งถนน ทั้งร้านของที่ระลึก และร้านอาหารต่างๆ ระหว่างทางไกด์ได้ชี้ไปยังซอกตึกทางด้านซ้ายมือแล้วบอกว่าเป็นตรอกที่แคบที่สุดในเกาะนี้ แคบมากจริงๆ ถ้าเป็นคนตัวใหญ่คงหมดสิทธิ์แน่ๆ
ผ่านโซนหมู่บ้านมาจะเจอขั้นบันไดที่จะพาผมขึ้นไปยังวิหารโบราณในศตวรรษที่ 10 และแล้วก็มาถึงห้องขายตั๋ว ไกด์บอกให้ลูกทัวร์หยุดและยืนรอก่อน สักพักเขากลับมาพร้อมให้ตั๋วเข้าชมระบุราคาไว้ 3 ยูโร หรือประมาณ 120 บาท และเครื่องฟังออดิโอไกด์คนละหนึ่งชุด ไกด์กล่าวลากันตรงนี้พร้อมแจ้งเวลานัดหมายไว้ 4 โมงเย็น ที่ลานจอดรถที่เดิม
ผมเริ่มต้นสำรวจสำนักสงฆ์โบราณขนาดใหญ่ (Mont-Saint-Michel Abbey) ด้านในแบ่งออกเป็นห้องเล็ก ห้องใหญ่เดินทะลุกันไปมาได้ ลักษณะของห้องส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งไม่มีสิ่งของสำคัญจัดแสดง กำแพง เพดาน และพื้นส่วนมากเป็นอิฐจากหินแกรตนิตขนาดใหญ่สีเทา ไม่ค่อยมีงานตกแต่งเสาหิน หรือบริเวณเพดานมากนัก จากประวัติที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคุกในช่วงสมัยปฎิวัติฝรั่งเศส หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1874
ผมเดินผ่านโถงที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา (Abbey Church) เห็นบาทหลวง แม่ชี และชาวคริสเตียนกำลังสวดมนต์กันอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ โถงนี้ช่างมีเสน่ห์มนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก เสาซุ้มโค้งปลายแหลมหลายสิบต้นอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา มองขึ้นไปข้างบนเห็นระเบียง และบานหน้าต่างสูงตามศิลปะแบบโกธิค ป้ายห้ามถ่ายรูปเข้ามาปะทะสายตาอย่างจัง ผมเลยอดเก็บภาพความงดงามของโถงขนาดย่อมแห่งนี้
ผมเดินผ่านออกมาเจอทางแยก “ไปซ้ายหรือขวาดี” ผมเลือกไปทางซ้าย ทางที่เห็นแสงสีขาวที่อยู่ด้านหน้า ปลายทางนำผมมาสู่ลานระเบียงกว้าง เสมือนเป็นจุดชมวิวดีๆ อีกจุดหนึ่ง และแน่นอนไม่ใช่ในเวลาที่ฝนตกพรำๆ เช่นนี้ ผมได้แต่ชะโงกมองลงไปด้านล่าง แล้วก็วิ่งจ้ำน้ำสาดกระเซ็นยามเมื่อรองเท้ากระทบพื้น
ผมเดินกลับเข้ามาด้านใน ผ่านจุดตัดแยกเมื่อสักครู่นี้ มุ่งหน้าเดินตรงต่อไป ไปเจอลานสนามหญ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดย่อม พอดีกับช่องที่เปิดโล่งจากด้านบนที่เปิดรับแดด รับฝนลงมาด้านล่างได้ มีเสาหินค้ำยันในสไตล์โกธิคตั้งอยู่รายล้อมลานนี้กว่า 100 ต้น ดูคลาสสิคดีจริงๆ ถือได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน
ผมเดินไปเรื่อยๆ เข้าห้องนั้น ทะลุห้องนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งๆ บางห้องเล็ก บางห้องใหญ่ บางห้องมีบานหน้าต่างกระจกที่สามารถมองเห็นวิวน้ำทะเลด้านล่างได้ ถ้านับจำนวนห้องที่เดินผ่านมาก็เกือบๆ 20 ห้องได้ สุดท้ายมาเจอห้องขายของที่ระลึก มีทั้งเหรียญที่ระลึกปั๊มนูนเป็นรูปเกาะ มีหนังสือประวัติการก่อสร้าง และของที่ระลึกอื่นๆ อีกหลายสารพัด ผมได้แต่มองแล้วก็จากไป
คราวนี้ถึงเวลาออกจากวิหารแล้ว ถ้าผมเปิดประตูบานข้างหน้านี้ออกไป คงถึงคราวที่ต้องไปผจญกับฝนรอบใหม่อีกแล้วสินะ ประตูถูกเปิดออก “ว้าวว! ฝนหยุดตกแล้ว" เมฆดำที่เคยเกาะตัวกันอยู่ ตอนนี้เริ่มคลี่ออกพอให้เห็นสีฟ้าสว่างได้บ้าง แดดอ่อนๆ เริ่มส่องลงมา ผมดีใจมากจริงๆ