เป็นปกติที่พี่ปีอาวุโสที่สุด เป็นแม่งานในการจัดรับน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลือกสถานที่รับน้อง
พวกเราไม่ได้รับน้องอะไรกันพิสดารมากมายนัก วัตถุประสงค์ใหญ่ๆ เพียงเพื่อน้องๆ ปี๑ คุ้นหน้าพี่ๆ บ้าง... ดูไปดูมา เหมือนพากันมาเที่ยวมากกว่า
น่าจะราวๆ ปี๔๕ มั้งครับ ปีนั้นเหมือนพี่ปีรองๆ อยากไปทะเล พี่ใหญ่ก็จัดให้ ได้รีสอร์ทแห่งหนึ่งในระยอง ผมเองเป็นทีมช่างไฟและสื่อสารของคณะ เลยได้ไปดูลาดเลาก่อนกับพี่ๆ
เฮ้ย น่ากลัวแฮะ
เอาล่ะ มันคงถูกสตางค์หน่อยล่ะมั้ง เด็กๆ กัน ก็เอาเท่าที่จ่ายไหวล่ะนะ
ถึงวันรับน้องจริง ความสนุกสนานวุ่นวายช่วงกลางวัน ก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกอะไรเท่าไร แต่พอเริ่มมืดขึ้นมา งานกลางคืนเริ่มไม่สนุก ต่างคนต่างเริ่มหลอน นักศึกษาเกือบพันคน เดินไปมาวุ่นวายในรีสอร์ท ก็ยังรู้สึกน่าขนลุก จะไปไหนมาไหน ไม่ค่อยมีใครเดินคนเดียว ต้องพากันไปเป็นกลุ่มๆ
ผมเองเหนื่อยมากกับการจัดการงานให้เรียบร้อย ไม่ได้สนุกเท่าไร ตกดึกก็พากันนอน ที่นอนผู้ชายก็ดิบๆ หน่อย คล้ายๆ โรงนอน นอนติดกันเป็นแถวยาวๆ ข้างซ้ายผมเหมือนจะเป็นไอ้วัฒ ข้างขวาเหมือนจะเป็นไอ้สุทธ เหนื่อยมากจนไม่ได้คิดอะไรยังไง นอนเลย
แบบ ตามสูตรครับ เคลิมๆ จะหลับ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นภาพชายหาดหน้ารีสอร์ท ช่วงเย็นๆ ครึ้มๆ มีผู้หญิงชุดขาว ผมเปียกยาวปิดหน้า เหมือนหนังสยองขวัญทั่วไป เดินขึ้นมาจากทะเล จนกระทั่งมานั่งหรือยืนทับผมนี่แหละครับ ขยับไม่ได้เลย ทั่วๆ ไปก็เรียกกันผีอำล่ะนะครับ มองด้วยหางตาเห็นสุทธนอนตะแคงอยู่ พยายามขยับมือไปสะกิดมัน แต่แค่คืบเดียวก็ขยับไม่ได้
อยู่มาเกือบ ๒๐ ปี เจอผีสางมาเรื่อยๆ กลัวนะครับ กลัวทุกครั้ง แต่คราวนี้เหนื่อยครับ อยากนอน ดิ้นรนได้แป๊ปนึงก็หมดแรง นึกโวยวายว่าแบบ โอย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว จะอะไรกันนักกันหนา อย่ามายุ่งได้มั้ย
เท่านั้นเองครับ ได้ผลทันที
จากที่ขยับไม่ได้ โดนทับนิ่งๆ กลายเป็นกระแทก กดแรงๆ คล้ายๆ บีบคอ แล้วเขย่าแรงๆ จนหายใจไม่ออก และเหมือนตะคอกใส่ จนหูอื้อ
โอย ยอมแล้วจ้าาาา
นะโมสามจบอย่างทุลักทุเล... เบาลงนิดหน่อย
อิติปิโส... เบาลงอีก แต่ก็ยังหนักกว่าตอนแรกอยู่
เอาไงดี? เหลืออะไรอีก?
แผ่เมตตา
สัพเพสัตตา... จนครบ เธอก็จากไป
เช้ามาอย่างกับคนไม่ได้นอน
มาหลังๆ เพิ่งเข้าใจ
พระท่านสอนว่า เจอแบบนี้มีอยู่ ๒ อย่าง
๑.อุทิศบุญ แปลง่ายๆ คือเอาบุญให้เค้า ดังนั้น ก็ต้องมีบุญก่อน จะจากทำทาน คือ ให้ของคนอื่นก็ได้ จากการถือศีล คือ ไม่เบียดเบียนใคร หรือจากการปฏิบัติก็ได้ เยอะแยะ
พอเจอสัมภเวสีที่ไหน นึกถึงบุญที่เคยทำจนใจมีความสุขเหมือนตอนกำลังทำ นึกแบ่งปันความสุขนั้นๆ ให้เค้าไป นั่นคือการอุทิศบุญ
จะว่าไป ถ้าสวดมนต์เป็น สวดแล้วนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ว่าท่านอดทนพยายาม ลำบากเพื่อคนอื่นมาขนาดไหน พระธรรม พระสงฆ์ ตามคำแปลของบทอิติปิโส สวดอย่างนั้นก็ได้บุญ แล้วก็แบ่งส่วนบุญนั้นให้เค้าไป
ไม่ใช่สวดไล่ ^^''
๒.แผ่เมตตา ลองแปลตามคำแปลแผ่เมตตาดู จะสามารถสรุปง่ายๆ ว่า อย่าโกรธ อย่าเกลียด อย่าอาฆาตกันเลย มาเป็นเพื่อนกันเถอะ
มีปัญหานิดๆ ว่า จะแยกยังไง ว่ารายนั้นอุทิศบุญ รายนี้แผ่เมตตา
กว้างๆ นะครับ ผมว่า ถ้ามาดีๆ ไม่สยดสยองมาก อันนี้น่าจะมาขอส่วนบุญ
ถ้ามาหลอกหลอน สยดสยอง อันนี้ให้แผ่เมตตา
แต่ถ้าไม่แน่ใจ ผมว่า ทำพร้อมกันก็ได้นะครับ ที่พูดกันบ่อยๆ ว่า แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
เอวัง...
https://mobile.facebook.com/Were-all-friends-887134834673363/?ref=bookmarks
ไปรับน้องที่รีสอร์ทสุดสยอง... จะแผ่เมตตาให้ หรือจะสวดมนต์ไล่ดี???
พวกเราไม่ได้รับน้องอะไรกันพิสดารมากมายนัก วัตถุประสงค์ใหญ่ๆ เพียงเพื่อน้องๆ ปี๑ คุ้นหน้าพี่ๆ บ้าง... ดูไปดูมา เหมือนพากันมาเที่ยวมากกว่า
น่าจะราวๆ ปี๔๕ มั้งครับ ปีนั้นเหมือนพี่ปีรองๆ อยากไปทะเล พี่ใหญ่ก็จัดให้ ได้รีสอร์ทแห่งหนึ่งในระยอง ผมเองเป็นทีมช่างไฟและสื่อสารของคณะ เลยได้ไปดูลาดเลาก่อนกับพี่ๆ
เฮ้ย น่ากลัวแฮะ
เอาล่ะ มันคงถูกสตางค์หน่อยล่ะมั้ง เด็กๆ กัน ก็เอาเท่าที่จ่ายไหวล่ะนะ
ถึงวันรับน้องจริง ความสนุกสนานวุ่นวายช่วงกลางวัน ก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกอะไรเท่าไร แต่พอเริ่มมืดขึ้นมา งานกลางคืนเริ่มไม่สนุก ต่างคนต่างเริ่มหลอน นักศึกษาเกือบพันคน เดินไปมาวุ่นวายในรีสอร์ท ก็ยังรู้สึกน่าขนลุก จะไปไหนมาไหน ไม่ค่อยมีใครเดินคนเดียว ต้องพากันไปเป็นกลุ่มๆ
ผมเองเหนื่อยมากกับการจัดการงานให้เรียบร้อย ไม่ได้สนุกเท่าไร ตกดึกก็พากันนอน ที่นอนผู้ชายก็ดิบๆ หน่อย คล้ายๆ โรงนอน นอนติดกันเป็นแถวยาวๆ ข้างซ้ายผมเหมือนจะเป็นไอ้วัฒ ข้างขวาเหมือนจะเป็นไอ้สุทธ เหนื่อยมากจนไม่ได้คิดอะไรยังไง นอนเลย
แบบ ตามสูตรครับ เคลิมๆ จะหลับ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นภาพชายหาดหน้ารีสอร์ท ช่วงเย็นๆ ครึ้มๆ มีผู้หญิงชุดขาว ผมเปียกยาวปิดหน้า เหมือนหนังสยองขวัญทั่วไป เดินขึ้นมาจากทะเล จนกระทั่งมานั่งหรือยืนทับผมนี่แหละครับ ขยับไม่ได้เลย ทั่วๆ ไปก็เรียกกันผีอำล่ะนะครับ มองด้วยหางตาเห็นสุทธนอนตะแคงอยู่ พยายามขยับมือไปสะกิดมัน แต่แค่คืบเดียวก็ขยับไม่ได้
อยู่มาเกือบ ๒๐ ปี เจอผีสางมาเรื่อยๆ กลัวนะครับ กลัวทุกครั้ง แต่คราวนี้เหนื่อยครับ อยากนอน ดิ้นรนได้แป๊ปนึงก็หมดแรง นึกโวยวายว่าแบบ โอย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว จะอะไรกันนักกันหนา อย่ามายุ่งได้มั้ย
เท่านั้นเองครับ ได้ผลทันที
จากที่ขยับไม่ได้ โดนทับนิ่งๆ กลายเป็นกระแทก กดแรงๆ คล้ายๆ บีบคอ แล้วเขย่าแรงๆ จนหายใจไม่ออก และเหมือนตะคอกใส่ จนหูอื้อ
โอย ยอมแล้วจ้าาาา
นะโมสามจบอย่างทุลักทุเล... เบาลงนิดหน่อย
อิติปิโส... เบาลงอีก แต่ก็ยังหนักกว่าตอนแรกอยู่
เอาไงดี? เหลืออะไรอีก?
แผ่เมตตา
สัพเพสัตตา... จนครบ เธอก็จากไป
เช้ามาอย่างกับคนไม่ได้นอน
มาหลังๆ เพิ่งเข้าใจ
พระท่านสอนว่า เจอแบบนี้มีอยู่ ๒ อย่าง
๑.อุทิศบุญ แปลง่ายๆ คือเอาบุญให้เค้า ดังนั้น ก็ต้องมีบุญก่อน จะจากทำทาน คือ ให้ของคนอื่นก็ได้ จากการถือศีล คือ ไม่เบียดเบียนใคร หรือจากการปฏิบัติก็ได้ เยอะแยะ
พอเจอสัมภเวสีที่ไหน นึกถึงบุญที่เคยทำจนใจมีความสุขเหมือนตอนกำลังทำ นึกแบ่งปันความสุขนั้นๆ ให้เค้าไป นั่นคือการอุทิศบุญ
จะว่าไป ถ้าสวดมนต์เป็น สวดแล้วนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ว่าท่านอดทนพยายาม ลำบากเพื่อคนอื่นมาขนาดไหน พระธรรม พระสงฆ์ ตามคำแปลของบทอิติปิโส สวดอย่างนั้นก็ได้บุญ แล้วก็แบ่งส่วนบุญนั้นให้เค้าไป
ไม่ใช่สวดไล่ ^^''
๒.แผ่เมตตา ลองแปลตามคำแปลแผ่เมตตาดู จะสามารถสรุปง่ายๆ ว่า อย่าโกรธ อย่าเกลียด อย่าอาฆาตกันเลย มาเป็นเพื่อนกันเถอะ
มีปัญหานิดๆ ว่า จะแยกยังไง ว่ารายนั้นอุทิศบุญ รายนี้แผ่เมตตา
กว้างๆ นะครับ ผมว่า ถ้ามาดีๆ ไม่สยดสยองมาก อันนี้น่าจะมาขอส่วนบุญ
ถ้ามาหลอกหลอน สยดสยอง อันนี้ให้แผ่เมตตา
แต่ถ้าไม่แน่ใจ ผมว่า ทำพร้อมกันก็ได้นะครับ ที่พูดกันบ่อยๆ ว่า แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
เอวัง...
https://mobile.facebook.com/Were-all-friends-887134834673363/?ref=bookmarks