เมื่อคนตาบอดนำทางผมวิ่ง ก้าวเล็กๆที่เปลี่ยนชีวิต



เคยไหมครับ ที่อยู่ดีดีชีวิตก็มาเจอจุดเปลี่ยนโดยที่เราเองก็ไม่ได้ตั้งใจ และบางครั้งก็ไม่คิดว่าไม่ฝันมาก่อนว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับเหตุการณ์ที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความคิดในชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อประมาณปลายปี 2555 ผมในตอนนั้นมีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโล แถมเป็นภูมิแพ้ รู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มมีปัญหา ทำอะไรก็ไม่คล่องตัว บางครั้งหายใจไม่สะดวกเวลานอนเอามากๆ เหมือนจะขาดใจ บางคืนต้องสะดุ้งตื่นเพราะหายใจไม่ออกมาแล้ว เคยถึงขั้นที่นั่งหลับเพราะล้มลงนอนไม่ได้

ในตอนนั้นผมเองไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพ หรือรูปร่างของตัวเองเลย แต่พออาการเหล่านั้นเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มหันมาออกกำลังกายเพราะคำว่า “กลัวตาย” และกลัว โรงพยาบาล ชีวิตผมวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลบ่อยมากเพราะพ่อผมป่วยเป็น โรคหัวใจ (จากการสูบบุหรี่) สิ่งที่ทำให้ผมเห็นทุกวันคือคนป่วยนั่งรอหมอ คนเจ็บนอนรอการรักษา คนตายที่กำลังเข็นผ่านไป ผมว่านี่แหละคือจุดที่ทำให้ผมเปลี่ยนชีวิต คนเรามักมีก้าวแรกเป็นของตัวเองแล้ววันนั้นก็มาถึงผมตั้งปฏิญาณกับตนเองว่าผมจะเปลี่ยนชีวิตทั้งที่ไม่รู้หลอกว่ามันจะเป็นไปทางไหน แต่ผมเลือกเอาวันเกิดผมคือวันแรกที่จะทำอะไรดีๆ วันที่ 1  กย. 2555 ผมตื่นตี 5 ผลักประตูบ้านออกไปและนั่นคือก้าวแรกที่ผมวิ่งจากวันนั้นจนวันนี้ 2558 และผมก็คงยังวิ่งไปตลอดชีวิตแน่นอน **มันน่าขำมากนะครับใน  ตอนนั้นในระยะที่ผมวิ่งได้ 100 เมตร เท่านั้นผมปากเขียวแล้ว** ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมก็ออกกำลังกายทั่วไป เตะบอลบ้าง ตีแบตบ้าง อาทิตย์ละวันสองวัน แต่มันก็ไม่มีผลอะไรต่อผมมากนัก



ซึ่งผมไม่เคยย่อท้อ พยายามวิ่งเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุด ผมไม่ต้องพึ่งยาภูมิแพ้อะไรอีกแล้ว ผมไม่ต้องตื่นมาพร้อมอาการจามตั้งแต่เช้าจนถึง 10 โมง อาการที่หายใจติดขัด ทุกอย่างมันหายไปเองโดยที่ตัวผมไม่ได้ มารู้สึกอีกทีมันก็แปลกดีจริงๆ ผมวิ่งมาได้ 2-3 ปี จนน้ำหนักมาหยุดที่ 64 กก. ผมวิ่งอย่างเดียวไม่สนใจด้วยซ้ำว่าวิ่งจะช่วยลดน้ำหนัก มารู้ตัวก็ตอนเพื่อนๆ ทัก ถึงจะผอมลงแต่ก็ยังเริ่มรู้สึกว่าบางส่วนของร่ายกายไม่กระชับ และยังคงมีหน้าท้องหรือไขมันสะสม อาจเพราะน้ำหนักที่ลงเร็ว หรือยิ่งวิ่งยิ่งกินหนัก 555 ผมเลยหันมาสนใจเรื่องอาหาร และการเล่นเวทมากขึ้นเพื่อเสริมกล้ามเนื้อพร้อมทั้งเริ่มคุมอาหารไปด้วย ตอนนี้ผมกลายเป็นคนรักสุขภาพขึ้นมาทันที



หลังจากที่วิ่งแล้วเห็นผลดีเกินคาด ส่งผลให้ผมเป็นคนรักในการวิ่ง และการออกกำลังกายไปเลย เริ่มซ้อมหนักมากขึ้นเพื่อไปลงสมัครตามงานวิ่งต่างๆ มีกลุ่มเพื่อนมากขึ้นที่ไปวิ่งด้วยเริ่มจัดหากิจกรรมต่างๆ ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อชวนกันไปทำกิจกรรม เช่นจัดงานวิ่งตามแต่ละโอกาส ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมนั้นก็คือ “กิจกรรมวิ่งกับผู้ที่พิการทางสายตา”



กลุ่มเพื่อนๆ ผมเริ่มทำกิจกรรมนี้มาแล้วประมาณสองปี บอกตามตรงว่าครั้งแรกที่ผมเข้าร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ เพื่ออยากจะช่วยเหลือคนที่พิการทางสายตา ให้มีโอกาสได้ออกกำลังกาย ได้วิ่งแบบคนปกติสักครั้ง จึงทำให้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้นมา ต้องขอบคุณกลุ่มเพื่อนที่เป็นหัวแรงจัดกิจกรรมนี้ “กลุ่มรองเท้าหาย” ผมว่าการวิ่งที่ผ่านมาได้สอนอะไรผมหลายอย่าง ได้เปลี่ยนผมเป็นคนละคน และทำให้ผมรู้สึกอย่างแบ่งปันสิ่งดีๆ ที่ได้จากการวิ่งให้คนอื่น

ในการวิ่งแต่ละครั้ง ครูพี่เลี้ยงจะพาน้องๆ มาเจอกับกลุ่มพวกผมที่สวนลุม ก่อนวิ่งแต่ละครั้ง ก็จะแนะนำน้องๆ ให้อบอุ่นร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย บริหารกล้ามเนื้อกันก่อน เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น



จากนั้นก็จับคู่กันไป โดยน้องหนึ่งคนจะมีบัดดี้ประจำตัวคอยพาวิ่ง โดยเทคนิคคร่าวๆ ของการพาผู้พิการทางสายตาวิ่งก็คือ
1. เชือกเส้นเดียวกันยาวสัก 40 ซม ให้น้องจับคนละด้านกับเรา
2. การที่น้องแตะเราที่แขนใต้ซอกข้างใดข้างหนึ่ง โดยบัดดี้จะคอยบอกทางว่าอีกประมาณกี่เมตรเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เพื่อให้ผู้พิการทางสายตารับรู้ถึงทุกสถานการณ์ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น สถานที่วิ่งก็เป็นที่สวนลุม




หนึ่งในความสำคัญที่สุดของกิจกรรมนี้ก็คือความปลอดภัย เพราะน้องๆไม่สามารถมองเห็นทางได้ เราต้องคอยบอกรายละเอียดเส้นทางตลอด ก่อนจะเริ่มวิ่งนั้นผมมองไปรอบๆตัว เห็นแต่ละคู่กำลังเตรียมความพร้อมสีหน้าของแต่ละคู่มีแต่รอยยิ้ม บางคู่ก็หัวเราะคุยเล่นกันอย่างสนุก รวมทั้งคู่ของผมด้วยเราทั้งคู่คุยกันไว้ก่อนจะวิ่ง ทำความเข้าใจกันอย่างดีถึงวิธีการวิ่ง ผมบอกน้องเขาตลอดว่าให้วิ่งช้าๆ วิ่งให้ถูกวิธี ถ้าวิ่งไม่ไหวก็ให้บอก อย่าฝืนตัวเอง เราคุยกันตลอดทางครับ ระยะวิ่งก็ 1 รอบสวนลุมหรือประมาณ 2.5 กิโลเมตร

มีครั้งนึงผมจำได้ดี ผมได้พาน้องคนนึงวิ่ง ซึ่งน้องที่วิ่งคู่กับผมเป็นคนค่อนข้างอ้วนผมเข้าใจโจทย์ดีเพราะผมก็ผ่านจุดนั้นมา ผมก็เริ่มวิ่งช้า 1 นาที เดิน 1 นาที (ตามเทคนิควิชาการวิ่งที่ผมได้รับจากครูดิน อาจารย์สถาวร จันทร์ผ่องศรี ครูที่ผมเคารพรัก) ระหว่างวิ่งไปเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ แต่วิ่งมาได้สักพักน้องดูท่าว่าจะวิ่งไม่ไหว เสียงหายใจถี่ขึ้น เพราะเพิ่งเคยออกมาวิ่งแบบนี้ครั้งแรก ก็เลยมีเดินบ้างวิ่งบ้างสลับกันไป จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงได้ คู่อื่นๆก็เข้าเส้นชัย กันหมดแล้ว เหลือผมเป็นคู่สุดท้าย ผมก็ถามน้องเขาตลอดว่าไหวไหม แต่น้องเขาก็ยืนยันว่าจะวิ่งไปให้จบให้ครบรอบเหมือนคนอื่นๆครับ ถึงช้าหน่อยไม่เป็นไรแต่น้องเขาอยากเข้าเส้นชัยครับ มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้วน่านับถือหัวใจมากๆครับ ผมประทับใจจริงๆที่น้องเขาไม่ยอมแพ้ เขาสู้จนนาทีสุดท้าย จนเมื่อใกล้จะถึงเส้นชัยก็ได้ยินเสียงเฮ เสียงเชียร์ ดังขึ้นมาจากเพื่อนๆ ที่มาร่วมกิจกรรม ทำให้น้องมีแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบและเข้าเส้นชัยไปพร้อมเสียงปรบมือจากพี่ๆและเพื่อนๆ ผมยินดี และมีความสุขที่น้องเขาทำได้ผ่านเส้นชัยที่สร้างขึ้นจากใจเรา แล้วก็นั่งกินน้ำ กินอาหาร พักเหนื่อยกันเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น เป็นประสบการณ์ที่ดีและประทับใจมากครับ



หลังจากวันนั้นก็มีจัดกิจกรรมเพื่อผู้พิการทางสายตาอีก ผมก็ได้เข้าร่วมและได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ อยู่หลายครั้ง เพราะวิ่งแต่ละครั้งก็จะเปลี่ยนบัดดี้ไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำหน้ากัน วิ่งไปคุยไป แลกเปลี่ยนความคิดกันไป

แรกๆที่เริ่มจัดกิจกรรมแล้วได้คุยกันกับน้องๆแต่ละคนก็รู้สึกสงสารที่เขาเป็นแบบนี้  แต่ก็มีหลายครั้งที่พอคุยไปคุยมาแล้วผมก็รู้สึก “สงสารตัวเอง” ขึ้นมาซะงั้น เพราะบางทีตัวเราเอง เวลาที่ท้อแท้ จะคิดว่าตัวเองสิ้นหวังหมดหนทาง เราอาจคิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นหนักหนา แต่ตอนได้ไปวิ่ง และพูดคุยเรื่องราวต่างๆของน้องๆเหล่านี้ ทำให้ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมกำลังรู้สึกท้อแท้มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ผมเคยคุยกับน้องที่พิการทางสายตาคนนึงคนนึง อายุน่าจะประมาณ 10 ปี น้องก็เล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้วไม่ได้พิการมาตั้งแต่เกิด แต่มาเจออุบัติเหตุทำให้เสียดวงตาทั้งสองข้างไป เขาเจอมาหนักยิ่งกว่าเราอีกไม่รู้กี่เท่าเขายังสู้

ผมกลับมาคิดถึงเรื่องของตัวเองแล้ว รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาทันที เจอปัญหานิดหน่อยกลับมานั่งท้อแท้ เชื่อไหมว่าวิ่งจบแต่ละครั้งผมก็ได้ข้อคิดดีๆมามากมาย บางครั้งได้แนวทางมุมมองในการใช้ชีวิตใหม่ๆ รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าการวิ่งแบบนี้ ทำให้เราได้กลับมานั่งคิดและมองสะท้อนตัวเอง และการที่เราไปช่วยเขา ทำให้เขามีรอยยิ้ม มีความสุข ได้ยินเสียงหัวเราะนั้น ตัวผมเองก็มีความสุขไปด้วย เรานำทางเขาวิ่งแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เขากลับนำทางให้เราในเรื่องอื่นๆอีกมาก จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าในแต่ละครั้งที่เราออกไปวิ่งด้วยกันนั้น "ใครเป็นคนนำทางให้ใครกันแน่"    



ผมเองไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแค่การวิ่งออกกำลังกายจะให้อะไรผมได้มากขนาดนี้ เหมือนการได้ วิ่งเปลี่ยนมุมมองใหม่ จากตอนแรกก็วิ่งเพื่อตัวเอง ให้แข็งแรง ให้หายจากโรค ให้ห่างจากโรงพยาบาล พอมาเจอกิจกรรมหลายๆกิจกรรมก็กลายเป็นการวิ่งเพื่อคนอื่น บางครั้งก็มีโอกาสได้เป็นวิทยากรณ์นำความรู้ที่ได้รับจากครูผู้ให้ "ครูดิน" ไปแนะนำ ในเรื่องการวิธีการวิ่งต่างๆ นานากับมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้น เป็นการแบ่งปันที่ผมได้ทำประโยชน์ต่อยอดจากคำสอนที่ครูและพี่ชายที่ผมเคารพรักมากอีกท่าน พี่ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ เคยสอนผมไว้ “ส่งต่อสิ่งดีๆ” ซึ่งผมเต็มใจทุกครั้งที่ได้ไปร่วมกิจกรรม เพราะผมรู้ว่าการวิ่งเป็นสิ่งที่ดี มันช่วยให้เราแข็งแรงได้ทั้งร่างกายและจิตใจ



ส่วนกิจกรรม วิ่งนำทางผู้พิการทางสายตา ก็มีจัดขึ้นอยู่เป็นระยะครับ ยิ่งครั้งหลังๆกลุ่มที่จัด มีไกด์นำทางมากกว่าน้องๆอีก บางคนพอรู้ว่าพี่เลี้ยงเกินก็ยังมาช่วยเตรียมน้ำเตรียมขนม ผมว่ากลุ่มนักวิ่งมีอีกหลายมุมที่น่ารักมากนะครับ มาวิ่งแล้วคุณจะรู้

ใครที่สนใจอยากจะเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรมแบบนี้ หรืออยากหัดวิ่งอย่างถูกวิธีก็ลองมา ที่ลานจามจุรี สวนลุม ทุกๆวันเสาร์ ได้ครับ จะมีกลุ่มชื่อ “สถาวรรันนิ่งคลับ” อยู่ครับ ช่วงนี้ก็มีการนัดซ้อมวิ่งกันอยู่ เตรียมไปวิ่งงาน " วิ่งสู่ชีวิตใหม่ " ของ สสส. ที่จะจัดวันที่ 8 พ.ย. นี้ ลองเข้าไปคุยกับกลุ่มนี้ได้เลยครับ อยากให้ทุกคนหันมาทำสิ่งดีๆเพื่อตัวเอง และสังคมไปด้วยกัน



ทิ้งท้ายไว้ให้สำหรับคนที่อยากจะเริ่มต้นวิ่งนะครับว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอยกตัวอย่างแฟนผมละกันครับ ที่เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ผมก็อยากให้เธอออกกำลังกายแต่ไม่อยากบังคับก็เลยสร้างแรงบันดาลใจให้เธอเห็นไปเรื่อยๆ เล่าให้เธอฟังเวลาที่ผมไปวิ่งหรือทำกิจกรรมต่างๆ ให้เธอซึมซับเรื่องราวค่างๆ ว่าเจอใครมา ทำอะไรบ้าง ประทับใจตรงไหน เล่าให้ฟังอยู่เกือบปีได้ สุดท้ายแฟนผมก็ลุกขึ้นมาวิ่งเองโดยที่ผมไม่ได้บังคับอะไรเธอเลยสักนิด มันคืออีกความประทับใจที่ทำให้แฟนผมได้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายได้ แต่ที่สำคัญคือคุณต้องใจสู้ สู้กับตัวเอง ยากที่สุดของการวิ่งไม่ใช่วิ่งให้เร็วที่สุด วิ่งให้ไกลที่สุด แต่คือ “การลุกขึ้นจากเตียงนอนแอร์ที่เย็นฉ่ำ” นั้นแหละครับ ขอเพียงขยับตัวออกมาจากเตียง และเริ่มวิ่งวันแรกให้ได้คุณนั่นแหละคือผู้ชนะ และมันก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  

ขอบคุณครูและพี่ชายที่ผมเคารพรัก และพี่ๆ เพื่อนๆ ครูบาอาจารย์อีกหลายท่านที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงด้วยครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่